โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง
ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (4) ห้องเรียน อ.ชิมาโมโต้
ห้องเรียน อ. ชิมาโมโต้ (ถ้าออกเสียงสำเนียงฝรั่ง ราชิตจะออกเสียงว่า “ฉิ-ม้า-โม-โทว์” อะไรประมาณนี้) เป็นห้องค้นคว้าของอาจารย์เอง อยู่บนตึกศูนย์ภาษาของมหาลัย
ตึกศูนย์ภาษา (รูปนี้ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลละ ถ่ายเองครับ ตึกสีน้ำตาลนั่นหละครับ)
เป็นห้องเรียนที่สนุกมาก เพราะเป็นห้องเรียนที่ชวนให้มีดราม่าได้เถียงกันลั่นห้องได้ทุกที เนื่องจากปัจจัย 2 ประการ
1. ไม่นับผมนี่เป็นคนไทย ห้องเรียนนี้ประกอบด้วยตัวแทนจากประเทศมหาอำนาจและประเทศคนเคยเป็นมหาอำนาจ ดังนี้ นิโคลัสจากอังกฤษ (รุ่นพี่) เฟรดจากฝรั่งเศส ราชิดจากอเมริกา (ตอนหลังมีจูลิโอสุดหล่อจากอิตาลีมาเป็นรุ่นน้องด้วย)
2. ห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนวิชา “แนวคิดสังคม” ฉะนั้นเนื้อหาการเรียนจะว่าด้วยปรัชญาแนวคิดทางสังคมจากโลกตะวันตกและผลของมันที่มีต่อโลกตะวันออก ในการมาคุยกัน เราต้องอ่านงานของ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ เราต้องมาพูดกันเรื่องแนวคิดการทำประเทศให้ทันสมัย (Modernization) พูดเรื่องการล่าอาณานิคม ซึ่งนำมาสู่ความสนุกสนานดังนี้
ในประวัติศาสตร์ แน่นอนอังกฤษกับฝรั่งเศสต่างก็ไม่ชอบกัน (เขาชอบรบกันมานานนมละ และชอบแข่งกันล่าอาณานิคมด้วย) อังกฤษไม่ชอบใจอเมริกาด้วยเพราะอเมริกาคือลูกน้อง (อาณานิคม) ที่ตีจาก
เวลาพูดเรื่องล่าอาณานิคม คงไม่ต้องพูดนะครับว่าอังกฤษกับฝรั่งเศสเคยทำอะไรกับประเทศสยามไว้บ้าง คำที่ผมโดนล้อแรงมากคือ ประเทศไทย (สยาม) น่ะ “…….were pushed by everyone” จำไว้เลย เฮียก๊อบเพื่อนผมบอกวันหลังพูดคำว่า “เดียนเบียนฟู” ใส่เจ้าคนฝรั่งเศสซะบ้าง (“เดียนเบียนฟู” คือสมรภูมิที่กลายเป็นความพ่ายแพ้แบบอัปยศสุดๆ ของฝรั่งเศสในเวียดนาม) แถมบอกว่าวันหลังก็หาเรื่องขุดประวัติศาสตร์มาแหย่ให้คนอังกฤษกับคนฝรั่งเศสตีกันเองบ้าง แทนที่จะให้มันมารุมตีผมฝ่ายเดียว
ว่างๆ บางทีผมก็หาเรื่องแหย่พวกนี้กลับไปบ้าง เช่นเอาประเด็นเรื่องที่ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลท์ เคยออกกฎเรื่องบังคับให้คนที่อพยพมาอยู่อเมริกาต้องใช้ “ภาษาอังกฤษเท่านั้น” (English-only movement) ปรากฎว่าราชิดโดนมุกนี้เข้าไป ถึงกับเป๋ ไปไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่นับการทะลึ่งพูดเบี่ยงไปอีกประเด็นหนึ่งกลางคันในห้องเรียน จนราชิดถึงกับร้องว่า SH*TTT!!! ได้ข่าวว่าราชิดเสียงแปดหลอดมากทะลุห้องค้นคว้า จนนักศึกษาสาวๆ ตกอกตกใจ กันเลยทีเดียว
อะไรก็ไม่สุดยอด ล้ำอนาคตเท่ากับที่ราชิตเคยตั้งกระทู้ขึ้นมาว่า ถ้าเกิดว่า คนดำ ได้เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา จะเป็นอย่างไร ตอนนั้นอยู่ในห้องยังคิดกันเลยว่ เฮ้ย เป็นไปได้หรือ เพราะภาพลักษณ์ของอเมริกาในความคิดของเราๆ ตอนนั้นมันคือเป็นประเทศที่ “คนขาวเป็นใหญ่” (ย้ำว่านี่คือคำพูดในห้องเรียน ณ ปี 2004)
อ.ชิมาโมโต้บอกว่าอาจเป็นได้ แต่เป็นแล้วก็จะต้องมาคอยเอาอกเอาใจคนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้วุ่นวายไปหมด หาได้มีอำนาจเด็ดขาดไม่ (ผมเรียนจบปี 2006 ใครจะคิดว่าหลังจากผมเรียนจบได้สามปี จะมีประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า)
เราคุยกันสไตล์ฝรั่งจริงๆ คือ อยู่ในห้องอยากจะเถียงอยากจะใส่กันก็เอาเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ ไม่ต้องยั้ง แต่เสร็จแล้วเราก็เฮฮาทักทายตามปกติ จบคอร์สจบเทอมทีอาจารย์ก็พาเราไปเลี้ยงเหล้า (อันนี้ชอบมาก) ครั้งที่ไปแล้วฮาสุดคือ ไปกินคุชิคัตสึ (พวกเสียบไม้ชุบเกล็ดขนมปังทอด) แบบถูกๆ แนวไม้ละร้อยเยน ตรงย่าน “ชินเซไค” ซึ่งได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเอาไว้ดังนี้ โปรดเชิญชม
………..แต่เดี่ยวก่อน ผมหารูปไม่เจอ (ฮา) ไว้หาเจอจะมาโชว์นะครับ
ในการกินคุชิคัตซึแบบร้านราคาถูกเช่นนี้ เนื่องจากน้ำจิ้มเขาจะใส่กะละมังรวมแบบหนึ่งโต๊ะหนึ่งกะละมัง ดังนั้นจึงมีกฎว่า “ห้ามจิ้มสองที” (หมายถึง ห้ามกัดแล้วจิ้ม) โอ้โฮ จะบอกว่าของที่เขาเอามาเสียบไม้แล้วชุบเกล็ดขนมปังทอดนั้น มีกระทั่งไข่ต้ม (ไข่ไก่นะ ใหญ่ๆ เลยนะ ไม่ใช่ไข่นกกระทาเล็กๆ นะ)
ซึ่งพอสั่งมา นิโคลัสมันบังคับให้ผมกินอ่าาา ผมนี่สงสัยจะไม่กินเส้นกับคนอังกฤษจริงๆ โดนแกง เอ้ย แกล้ง ตลอด แม้แต่ปี 2019 เล่นบราซิลเลี่ยนยูยิตสูยังโดนคนอังกฤษที่ชื่อเอ็ดดี้อัดเอาบ่อยๆ 55 (ขำขื่น)
การใช้ชีวิตและเรียนหนังสือในต่างแดนนั้น ผมว่าเราต้องสตรอง เพราะการไปอยู่ประเทศที่เจริญกว่า มีปฏิสัมพันธ์กับคนจากประเทศที่มีอำนาจมากกว่า มีแนวโน้มที่เราจะถูกแกง เอ้ย แกล้ง ถูกเลือกปฏิบัติในบางเรื่อง หลายคนจึงพยายามทำตัวอยู่ในเซฟโซนด้วยการสมาคมแต่กับคนชาติเดียวกันในต่างแดนเสีย ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิด แต่ถ้ารักจะเรียนรู้โลกให้มากกว่านี้ บางทีเราก็ต้องเดินออกมาจากเซฟโซนตรงนี้เสียบ้าง
สำหรับผมการที่ได้อยู่กับห้องเรียน อ.ชิมาโมโต้ สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือการที่ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นทั้งสามคือนิโคลัส เฟรด และราชิต เขียนบทความกันเป็นภาษาอังกฤษกันคนละ 1 บทความ (นิโคลัสเป็นคนตรวจภาษาให้) แล้วตีพิมพ์เผยแพร่กันในมหาลัยโดยมี อ.ชิมาโมโต้คอยกำกับ สิ่งนี้ทำให้ผมเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝรั่งร่วมชั้นมากขึ้น
เราอาจเลือกประเทศที่เกิดหรือสีผิวไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะพยายามทำอะไรให้เป็นผลเป็นชิ้นเป็นอันให้คนยอมรับเราได้ ฉะนั้นจงลุกขึ้นมาทำ อย่างน้อยครั้งหนึ่งเราก็ได้พยายามแล้ว
เป็นอันว่าห้องเรียนของ อ.ชิมาโมโต้ ให้อะไรกับผมมากกว่าความรู้ในวิชา อาจารย์ได้สอนให้ผมแม้แต่วิธีการคิด ทัศนคติ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมได้รับเอาไว้
ตอนหน้าผมจะเล่าเรื่องที่ผมกับเฟรด (ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มีความเป็นมิตรกับผมที่สุดละ) ได้รับการเชิญชวนให้ไปงาน “วันนานาชาติ” ที่โรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัดเฮียวโกะนะครับ
ปล. ที่พูดตะกี้ว่าหาไม่เจอ ตอนนี้ หาเจอแล้วครับ คนไหนหล่อดูกันเองนะครับ (ฮา)
อันนี้ก็ถ่ายเองด้วยกล้องดิจิตอล (อีกละ) ถ่ายเมื่อปีไหน 2004 หรือ 2005 ไม่แน่ใจ คุชิคัตสึอร่อย เบียร์ก็อร่อย เห็นกินกันอย่างนี้เสร็จพอแยกทางกับอาจารย์แล้ว พวกก็ชวนไปนั่งดริ๊งในผับกันต่ออีกหน่อย เอาน่ายังขึ้นรถไฟกลับห้องได้ (ฮา)
เรื่องแนะนำ :
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (3) ชีวิตในมหาลัย
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (2) ชีวิตในหอ
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (1) เมื่อแรกเข้าหอ
#ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (4) ห้องเรียน อ.ชิมาโมโต้