โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง
ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (2) ชีวิตในหอ
หลังจากที่ได้เข้ามาที่หอพักแล้ว มาว่ากันเรื่องชีวิตในหอพักดีกว่า
เมื่อแรกเข้ามาผมก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมหลักสูตรเดียว รุ่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เรียนในวิชาเอกเดียวกัน สองคน นั่นคือ เฟรด กับ ราชิด เฟรดเป็นหนุ่มฝรั่งเศสผมหยักศกผอมบางยิ้มหวาน ส่วนราชิดเป็นอเมริกันดำ กล้ามล่ำ เสียงแปดหลอด พูดทีดังสนั่นห้อง ทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนในวิชาเรียนเดียวกันซึ่งจะเป็นห้องเรียนที่ controversial ที่สุดในสถาบัน (ขนาดนั้นเลย) เฮกันลั่นไปยันตอบจบ (การศึกษา) กันเลยทีเดียว มันสุดๆ ไม่เชื่อต้องตามอ่าน
ทั้งสองคนก็นอนหอพักนักเรียนต่างชาติที่ซุยตะนี่หละครับ อยู่ชั้นเดียวกับผมด้วย ราชิตนี่ ลั่นจริงๆ ครับแต่เนื่องจากเป็นเพื่อนเรียนที่เดียวกันผมออกแนวจะขำมันมากกว่า หนึ่ง มันชอบเปิดเพลงฮิปฮอป ลั่นมากกก สอง มันพาหญิงเข้าห้อง ผมได้ยินเสียงมันลอยมาเลยว่า “….You are beautiful….” ผมก็ไม่รู้ว่า มันบิวตี้ฟูลกันไปถึงไหน 555
ในการอยู่หอพักนักเรียนต่างชาติที่เต็มไปด้วยคนร้อยพ่อพันแม่ที่จับมาอยู่รวมกัน (เพราะว่าเวลาเดินทางมาใหม่เขาก็ให้อยู่ที่นี่ไปก่อน ซึ่งให้สิทธิ์อยู่ได้เต็มที่สองปี จากนั้นก็ต้องไปหาหออยู่เอง แต่จะหาหออยู่เองก่อนก็ได้ เว้นแต่อยากจะอยู่อย่างประหยัดเพราะหอนักเรียนต่างชาติค่าหอถูกกว่าห้องเช่าอพาร์ทเมนต์ข้างนอกแน่นอน) ซึ่งบางคนอาจจะเหงา โฮมซิก รู้สึกเหว่ว้ากับชีวิตในต่างประเทศ (แต่ผมว่าราชิดไม่เหงาแน่นอนเพราะมีคนให้บิวตี้ฟูล) เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทางหอพักจึงจัดให้มี “ติวเตอร์” ซึ่งหมายถึงพี่เลี้ยงที่จะกินนอนอยู่ในหอด้วย ช่วยเป็นที่ปรึกษา พูดคุยแก้เหงา
ในปีแรกที่ผมไปอยู่ มีติวเตอร์สองคนคือ “อาซาโกะซัง” กับ “เมงุมิซัง” ทั้งคู่เรียนที่โอซาก้าไกไดด้วย ก็เหมือนเรามีคนในพื้นที่เป็นเพื่อนคุยนั่นแหละครับ
ก่อนจะพูดถึงเรื่องห้องพักและห้องน้ำห้องส้วม ผมขอเปิดประเด็นเรื่องนักเรียนชาติต่างๆ “ในทัศนะของข้าพเจ้า” พ่วงไปเลยละกันนะครับเพื่อความกระชับและได้รสชาติ
คนจีน : คนจีนแผ่นดินใหญ่จัดว่ามีจำนวนมากเป็นอันดับหนึ่งในบรรดานักเรียนต่างชาติในญี่ปุ่น และเรื่องความไม่มีมารยาททางสังคมก็จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน ที่เคยเจอกับตัว เช่น ในห้องครัว (ที่นี่มีห้องครัวข้างล่างเอาไว้ให้ใช้ทำอาหารกินได้) เที่ยวหยิบของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาต (ถึงจะแค่หยิบดูก็เถอะ ไม่ใช่ของคนอื่นคนไกลหรอก ของผมเอง) ชอบพูดคุยเสียงดังในห้องนอน ต่อมาจากนั้นไม่นานเกิดคดีขึ้นคดีหนึ่ง (ไม่เกี่ยวกับคนในหอนี้หรอกนะครับ) ว่าคนจีนที่เข้ามาแบบวีซ่านักเรียน (มาเรียนภาษา) ฆ่าคนญี่ปุ่นแบบฆ่าล้างครัวพ่อแม่ลูก ผลคือการพิจารณาให้ผ่านวีซ่านักเรียนแก่คนจีน ลดจำนวนลงไปเห็นๆ
คนเกาหลี: คนเกาหลีจัดว่ามีจำนวนมากเป็นอันดับสองในบรรดานักเรียนต่างชาติในญี่ปุ่น แต่เป็นที่หนึ่งในเรื่องการชอบเกาะกลุ่มกันเอง เหมือนไม่อยากสังสรรค์กับคนชาติอื่น ยังไงก็ไม่รู้ (เรื่อง controversy ระหว่างชนชาติเกาหลีกับญี่ปุ่นนี่ไว้มีโอกาสจะมาเล่าแบบแซบๆ) แต่เคยมีปรากฎการณ์เรื่อง “สามผู้สาวเกาหลี” ที่เป็นประเด็นให้เป็นที่ฮือฮาสำหรับผมและเพื่อนๆ ชาวหอคนลาว (มีคนนึงนี่ สไตล์สาวแว่นขาวหมวยเลย ใครชอบแนวนี้รับรอง คลิก) เท่าที่เจอมาที่โน่น ผู้หญิงเกาหลีเหมือนจะมนุษยสัมพันธ์จะดีกับคนต่างชาติหน่อยหนึ่ง พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีมาก (แต่ภาษาอังกฤษไม่เอานะ) ส่วนผู้ชายชอบทำหน้าเหมือนไม่อยากคุยกับคนทั้งโลก
คนบังคลาเทศ: พวกแขกบังคลาเทศนี่สร้างความ culture shock ให้ผมสองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องยกตีน ขอโทษครับ เท้าขึ้นมาพาดอ่างล้างหน้า (ที่หอเป็นห้องน้ำรวม) แล้วล้างเท้าด้วย อ่าง-ล้าง-หน้า นั่น สอง คือ อันนี้ไม่ได้เจอกับตัวแต่มีคนมาพูดให้ผมฟัง คือพวกชอบไปใช้ดาดฟ้าที่เขาตากผ้าเป็นที่ละหมาด แต่ไปร่นผ้าคนอื่นเขากระจุยเลย
ห้องน้ำชาย (ห้องน้ำรวม) ดูดีใช่ไหมล่ะ แต่ มันเป็นภาพตอนที่ไม่มีคนมาใช้นะ ถ้ามาเห็นส้วมที่มีคนใช้แล้วจะหนาวว แต่ พอดีไม่ได้ถ่ายมานะครับ มันไม่น่าดูเท่าไหร่ (หึหึ)
คนเวียดนาม: ไม่ค่อยมีอะไรเท่าที่เจอ ไม่มีอะไรแปลก
คนเขมร: เคยได้เห็นสองสามคน แต่ไม่มีโอกาสได้คุยกัน พอดีตอนนั้นมีคดีที่คนเขมรบุกเผาสถานทูตไทยในพนมเปญ สถานการณ์เลยไม่ชวนให้คุยด้วย
คนพม่า: เคยเจออยู่คนหนึ่ง เป็นผู้หญิง ผิวคล้ำ ตาโต ยิ้มทีฟันขาว มีคนมาเล่าให้ผมฟัง (ก็คนไทยน่ะหล่ะ) บอกว่าเท่าที่เขาเจอ คนพม่าที่ได้มาเรียนญี่ปุ่นมักเป็นพม่าเชื้อสายจีน มีฐานะดี
คนลาว: เป็นคนต่างชาติที่คุยกันได้ราวกับไม่ใช่คนต่างชาติ เพราะคุยกันเป็นภาษาไทย ผมเองก็ถือโอกาสหัดอ่านภาษาลาวไปด้วย คุยกันเฮฮาดีมาก ทะลึ่งตึงตัง ไปชุมนุมปาร์ตี้กินเหล้ากัน พวกก็ร้องเพลงเสกโลโซกันไป (กระซิบว่าในหมู่นั้นมีอยู่คนหนึ่ง ชื่อ อะแหล่ง เคยตั้งวงออกอัลบั้มเทปเพลงที่เมืองลาวด้วย โอ้) กินเบียร์กับแหนม (ไปเอามาจากไหนหว่า) กินไปกินมา พวกเอา “เหล้าข้าวก่ำ” ให้กินอีก (อันนี้เอามาจากเมืองลาวแน่ๆ) ผมกลายเป็นสิงโตคำรามทันที (โอ้กกกก) คนที่คุยเล่นกันเยอะที่สุดชื่อ “จ่อย” ซึ่งตัวก็ จ่อย (ผอม) จริงๆ นั่นแหละ พวกหนุ่มๆ คนลาวพวกนี้มักจะได้ทุนสายอาชีวะ (สายช่าง) มาเรียนซึ่งถ้าขยันๆ หน่อยก็เข้าวิศวะปริญญาตรีต่อได้ ขออย่างเดียว อย่าเมามากไปละกัน เป็นห่วง
เรื่องเกี่ยวกับนักศึกษาลาวในญี่ปุ่น มีอีกเรื่องที่ลังเลใจอยู่ว่าจะเขียนดีไหมเพราะเกรงใจภรรยา แต่คิดอีกที มันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว (เกินสิบปีแล้ว) สมควรจะเล่าได้ นั่นคือ ในตอนที่ในงานปาร์ตี้ครั้งหนึ่งในมหาลัย ได้เจอกับสาวลาวคนหนึ่ง ตัวเล็กๆ ซึ่งเรียนที่สถาบันภาษานั่นหละ (เรียนแบบนักเรียนเตรียมที่จะไปสอบเข้ามหาลัยอีกที) ได้คุยกันอยู่ในปาร์ตี้ยาวๆ ไปแบบผมพูดไทยน้องเว้าลาวแต่ก็ โอเค สื่อสารเข้าใจ มีมิตรไมตรี ขอเบอร์อีเมลไว้ด้วย พอกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้จ่อยแอนด์เดอะแก๊งฟัง จ่อยบอก “จีบเลยๆ” แต่ผมก็บอกว่า น้องเค้าสอบได้ไปเรียนปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮิโตสึบาชิ (ซึ่งอยู่โน่น โตเกียว) แล้ว คงยากที่จะสานต่อเพราะไกลกันเกิน จ่อยก็บอก เออจริงด้วย (ถึงภรรยาที่รัก หากได้อ่านถึงตรงนี้ โปรดเข้าใจว่า มันคือ ประวัด-ติ-ส๊าดดดดดดดดดด)
ส่วนพวกฝรั่งนั้นโดยมากก็ไม่ได้มีอะไรให้พูดถึงเนื่องจากไม่ได้มีอะไรมากระทบผม ส่วนเพื่อนร่วมหลักสูตรอีกสองคน คือ เฟรด กับ ราชิด นี่ต่อไปจะได้มีเรื่องเผา เอ้ย พูดถึงแบบฮาๆ อีกยาว จึงขอตัดจบแต่เพียงเท่านี้
ก่อนจากกัน ผมขอฝากรูปบรรยากาศภายในห้องนอนของหอให้ดูกัน สวัสดีครับ
อย่าตกใจนั่นน่ะ หัวเข่าผมเองแหละครับ เชื่อหรือยังว่าห้องไม่กว้าง (ฮา)
เรื่องแนะนำ :
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (1) เมื่อแรกเข้าหอ
#ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (2) ชีวิตในหอ