โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง
ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (1) เมื่อแรกเข้าหอ
…จดหมายหนึ่งฉบับที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตไปตลอดกาล…
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับจดหมายแจ้งการยอมรับเข้าเป็นนักศึกษาในหลักสูตรภาษาและสังคม (สาขาญี่ปุ่นศึกษา) จากทางมหาวิทยาลัยโอซาก้าวิชาภาษาต่างประเทศ ซึ่งจะต้องเริ่มไปเรียนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2003 ข้าพเจ้าก็ใช้ชีวิตที่เหลือแบบสบายๆ ในการเตรียมตัว คือไปยื่นเรื่องขอวีซ่า จัดกระเป๋าเสื้อผ้า รับตั๋วเครื่องบินแล้วก็ บ๊ายบายก่อนประเทศไทย หวังว่าสามปีคงจะต้องเรียนให้จบ คว้าปริญญามาให้ได้ เพราะทุนเขาให้แค่นั้น (ฮา)
พอถึงวันเดินทาง (จำไม่ได้แน่ๆ ว่า วันที่ 1 หรือ 2 ตุลาคม แต่ต้องไม่เกินนั้นเพราะผมต้องเข้าไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยในวันที่ 3 ตุลาคม) ก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ไปสนามบินดอนเมือง นั่งเครื่องบินสายการบิน….(จุดจุดจุด) โชคดีที่มีเพื่อนที่ทำงานในสายการบินอย่างว่า อาสาเดินไปส่งเป็นเพื่อนให้จนถึงเกทขึ้นเครื่องบิน (เพื่อนคนนี้ขอเรียกว่า “เฮียก๊อบ” ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่มีส่วนอย่างมากในการชักนำผมเข้าสู่เส้นทางของศิลปะการต่อสู้ โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปยาวๆ นะครับ) แล้วเครื่องบินก็พุ่งทะยานขี้นฟ้า มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานคันไซ บินสูงขึ้นห่างจากแผ่นดินไทย ทิ้งให้ผมได้พบกับแอร์โฮสเตสผู้มีใบหน้า ทรงผมและบุคลิกชวนให้ผมนึกถึงครูใหญ่โรงเรียนประถมที่ผมเคยเรียนเลย (ฮา)
เมื่อถึงสนามบินคันไซแล้ว ก็มีคนมารับผมและบรรดานักเรียนต่างชาติทั้งหลายที่มารอหลังจากลงเครื่องมาจากที่ต่างๆ นั่งรถมุ่งไปสู่ที่หมายเดียวกัน นั่นคือ “หอพักนักเรียนนานาชาติคันไซ” (ซึ่งยุคนั้นดำเนินงานโดย AIEJ) ที่อำเภอซุยตะ ดังภาพที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้
ภาพด้านหน้าหอพัก
ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายเองด้วยกล้องกระดาษใส่ฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้ง ถ่ายเมื่อราวเดือนตุลาคม ปี 2003 (สแกนมาเพื่อลงเผยแพร่ในเว็บที่นี่โดยเฉพาะ ไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน)
ปัจจุบัน (กันยายน 2020) อาคารเดียวกันนี้กลายเป็นหอพักนักเรียนนานาชาติ มหาวิทยาลัยคันไซ ไปเสียแล้ว
ขอบคุณภาพจาก Google Maps
เมื่อมาอยู่หอที่นี่แล้ว การเดินทางสัญจรนั้น ไม่ว่าจะไปมหาวิทยาลัย หรือไปที่ไหนๆ ก็ต้องอาศัยการเดินเท้าข้ามผ่านสวนสาธารณะเซ็นริมินามิ ไปนั่งรถไฟสายฮันควิ สถานี “มินามิเซ็นริ” ฟังดูสลับกันดี เหมือน “เช้ากินผัดฟัก เย็นกินฟักผัด” ยังไงยังงั้น
ภาพบรรยากาศสวนสาธารณะเซ็นริมินามิ
รถไฟฮันคิวสายเซ็นริ
บนสถานีรถไฟฟ้าจะมีร้านรวงให้ได้ซื้อของกินใช้ มีซูเปอร์มาร์เก็ตที่ชอบไปซื้อข้าวปั้นกิน มีร้านร้อยเยน มีร้านแว่นตา ร้านอาหารจีน
การเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยนั้น วิธีก็คือ นั่งรถไฟสายฮันคิวจาก สถานี “มินามิเซ็นริ” ขึ้นไปจนสุดทางที่ “คิตะเซ็นริ” ประมาณสามสถานี (มินามิเซ็นริ ยามาดะ คิตะเซ็นริ) พอถึงคิตะเซ็นริซึ่งเป็นชุมทางที่อลังการกว่า ก็จะได้พบกับแมคโดนัลด์ ที่ทำการไปรษณีย์ ร้าน Daily Yamazaki ขายของสะดวกซื้อแต่มีขนมปังยามาซากิด้วย ทั้งแบบแพ็กถุงสำเร็จ (อารมณ์ฟาร์มเฮาส์บ้านเรา) และแบบทำใหม่ๆ จากเตา มีห้างสรรพสินค้า (ขออภัย ลืมชื่อ) มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ (กลิ่นกาแฟหอมมาก เคยเดินตอนเย็นกลิ่นกาแฟออกมานอกร้านเลย)
เสร็จแล้วให้เดินมาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์หน้าห้าง นั่งรถเมล์ “ฮันคิว” (อีกละ) ไปที่ปลายทางมหาวิทยาลัย “โอซาก้าไกได” ซึ่งตอนบ่ายวันถัดมาจากที่เดินทางมาถึงหอ ผมก็ได้ต้องนั่งรถไฟรถเมล์ไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยพร้อมกับบรรดานักเรียนต่างชาติที่อยู่หอเดียวกัน แล้วก็ได้พบกับภาพดังนี้
ป้ายรถเมล์หน้าห้าง มีรถที่สุดสายไปถึง “โอซาก้าไกได”
บันไดขึ้นสู่ลานหน้าตึกเรียนและหอสมุด
ถ้าเดินลงบันไดมาจะพบกับตึกโรงอาหาร ซึ่งเดินเข้ามาแล้ว พบกับโรงอาหาร (ใช่สินี่มันตึกอาหารไม่ใช่เหรอ) ซึ่งอาหารราคาถูกดีมาก (สามสี่ร้อยเยนก็ได้อิ่มหนึ่งมื้อ ประกอบด้วยข้าวสวยหนึ่งชาม (เลือกไซส์ได้ด้วยนะ มีตั้งแต่ s ถึง xl เลย) กับข้าวหนึ่งจาน (หมูทอดไก่ทอดก็ว่ากันไป มีวันหนึ่งเคยเจอ “แกงแบบไทย” ด้วย จิงดิ แต่ใส่มะเขือม่วงแทนมะเขือยาวซะงั้น 555) กับเล็กๆ จำพวกเครื่องเคียง (เช่น ผักปวยเล้งคลุกงา เต้าหู้เย็น มักกะโรนีสลัด ฯลฯ) ซุปมิโสะหนึ่งถ้วย ถ้าไม่อยากกินข้าว โซบะอุด้งก็มีนะจ๊ะ เดี๋ยว พอก่อนๆ ขอเบรคเท่านี้ก่อนเดี๋ยวถึงตอนที่จะเขียนเรื่องชีวิตอาหารการกิน เดี๋ยวไม่มีอะไรจะเขียน (ฮา) อุตส่าห์บอก บก. ว่าจะเขียนให้ได้สักหนึ่งปี (โม้)
โอเค เดินออกจากบริเวณโรงอาหารจะพบกับร้านสะดวกซื้อ Chery ขายขนมปัง ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน เครื่องดื่ม (ไม่มีเบียร์นะจ๊ะ) และร้านค้าสหกรณ์ Santi (ศานติ!!!) ขายสมุดดินสอปากกายางลบไปจนถึงบริการขายทัวร์ท่องเที่ยว และนายหน้าหาห้องเช่า (จิงดิ) ออกจากโรงอาหารก่อนเถอะ
ตึกโรงอาหาร
บรรยากาศในโรงอาหาร
ที่ๆ ผมจะต้องไปรายงานตัวคืออาคารศูนย์ภาษา ซึ่งด้านล่างจะมีออฟฟิศสำหรับติดต่องาน ซึ่งจากนี้ไปทุกๆ เดือนจะต้องมาเซ็นชื่อเพื่อรับเงินเดือน ซึ่งเป็นเงินจากทุนรัฐบาลญี่ปุ่นนั่นหละครับแต่รับผ่านมหาวิทยาลัย
ตอนแรกเริ่มเลยนี่ รับเงินเดือนผ่านบัญชีธนาคารสุมิโตโมะ (ซึ่งต้องไปเปิดบัญชีเอง ซึ่ง ก่อนจะเปิดบัญชีธนาคารนั้น ทางมหาวิทยาลัยต้องทำ “ตราประทับ” ชื่อสกุลให้ไว้ใช้ก่อน) แต่ภายหลังเปลี่ยนมาให้รับผ่านบัญชีเงินฝากของการไปรษณีย์ญี่ปุ่นแทน สิ่งที่จะต้องทำอันดับต่อไปคือทำบัตรนักศึกษา (ซึ่งใช้เป็นบัตรห้องสมุดในตัว) ยินดีต้อนรับสู่รั้วมหาวิทยาลัยครับ
อาคารศูนย์ภาษา
กิจอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องทำเมื่อแรกเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นคือ ไปที่ว่าการอำเภอครับ (ฮา) ไปติดต่อเรื่องทำบัตรประจำตัวคนต่างด้าว (ซึ่งจะต้องระบุที่อยู่ปัจจุบัน หากย้ายอำเภอ ก็ต้องไปติดต่อสลักหลังอัพเดทข้อมูลที่อยู่ที่อำเภอที่อยู่ใหม่ แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ) และก็ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพ
ป้ายรถเมล์ในมหาวิทยาลัย
เอาล่ะครับ กิจธุระที่ต้องทำนอกบ้านสองเรื่อง คือการรายงานตัวเป็นนักศึกษาเพื่อขึ้นทะเบียนนักศึกษาและรับทุน (เงินเดือน) และเรื่องบัตรประจำตัวคนต่างด้าวและประกันสุขภาพ ก็เรียบร้อยแล้ว เข้าหอไปนอนพักดีกว่าครับ ฮ้าววว (ง่วงนอน) แล้วเดี๋ยวจะเล่าเรื่องชีวิตในหอให้ฟังนะครับ
#ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (1) เมื่อแรกเข้าหอ