โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง
ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (3) ชีวิตในมหาลัย
มาพูดถึงชีวิตการเรียนกันดีกว่า การขอทุนมาเรียนตรงนี้ แน่นอนว่าการจะมาได้ก็ต้องมี “อาจารย์ที่ปรึกษา” ที่เขาอ่าน “เค้าโครงงานวิทยานิพนธ์” ที่เราเขียนส่งไปว่า ถ้าเราได้ทุน ได้มาเรียนปริญญาโทหรือเอกกับทางมหาวิทยาลัยนี้ๆ เราอยากจะทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อนี้ๆ เมื่อเขียนส่งไปแล้วการจะได้ทุนหรือไม่ก็แล้วแต่ว่า มีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยท่านใด สนใจจะรับเราเข้าเป็นนักเรียนที่จะมาทำวิทยานิพนธ์ภายใต้การให้คำปรึกษาของอาจารย์ท่านนั้นบ้าง เรียกว่าจะได้ทุนเรียนหรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ว่ามีอาจารย์รับเป็นที่ปรึกษาให้เราหรือไม่ และจะเรียนจบหรือไม่ก็อยู่ที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเราเช่นกันว่าจะช่วยเหลือ ผลักดันเราแค่ไหน เรียกว่าชีวิตการเรียนของเราอยู่ที่อาจารย์ที่ปรึกษาล้วนๆ
และเมื่อวันแรกที่ผมเข้าไปรายงานตัวเพื่อเป็นนักศึกษา ผมก็ได้รับการจัดให้พบกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะดูแลวิทยานิพนธ์ผมไปจนจบก็คือ อ.นิตตะ ซึ่งผมต้องรับข้อตกลงสองข้อคือ
1. ผมต้องอยู่เข้าชั้นเรียนห้องสัมมนาในวิชาของอาจารย์ไปตลอดหลักสูตร
2. ผมต้องเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาญี่ปุ่น
โอ แม่เจ้า ความสามารถภาษาญี่ปุ่นผมแค่ระดับ 2 เองนะ (เทียบกับสมัยนี้ก็ N2 บอกไว้เผื่ออาจงง) แต่ชีวิตมันต้องเดินหน้าใช่ไหม ปัญหามีไว้พุ่งชน (ส่วนชนแล้วจะทะลุกำแพงได้หรือหัวเราจะแตกเองก็อีกเรื่อง 55)
เอาเข้าจริงๆ ชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายปานนั้น เพราะทางอาจารย์ได้จัด “ติวเตอร์” (พี่เลี้ยง) ให้ (อีกละ) ติวเตอร์ของผมเป็นพี่นักศึกษา ป.เอก ซึ่งสิ่งที่เขาช่วยที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือการตรวจภาษานี่หละครับ ที่เรียกว่า Native Check คือผมเป็นคนต่างชาติที่ยังไงก็ต้องเขียนภาษาญี่ปุ่นออกมาแปร่งๆ แน่ๆ ก็จะต้องมีติวเตอร์นี่หละที่คอยช่วยเกลาภาษาให้ ส่วนการเขียนเค้าโครงข้อเสนอวิทยานิพนธ์ สอบหัวเรื่องและอะไรอื่นๆ ที่ผมจะต้องผ่านความเห็นชอบทำไปจนจบเล่มให้ได้นั้น ก็ต้องแสดง “ความพยายาม” ให้อาจารย์ที่ปรึกษาเห็น นั่นแหละครับ
บางท่านอาจงงกับคำว่า ผมต้อง “อยู่เข้าชั้นเรียนห้องสัมมนาในวิชาของอาจารย์ไปตลอดหลักสูตร” มันหมายความว่าอย่างไร คืออย่างนี้ครับ หลักสูตรที่ผมเรียน มันจะมีวิชาที่เราจะลงกับอาจารย์ท่านหนึ่งๆ ได้ 2 ตัว (2 เทอม) เช่น ผมลงทะเบียนเข้าห้องเรียนวิชา “สัมมนาวากยสัมพันธ์ภาษาญี่ปุ่น” ของอาจารย์ที่ปรึกษาของผม มันก็จะมี “สัมมนาวากยสัมพันธ์ภาษาญี่ปุ่น 1” ““สัมมนาวากยสัมพันธ์ภาษาญี่ปุ่น 2” ซึ่งผมจะลงทะเบียนเก็บหน่วยกิตได้เท่านั้น เท่ากับ 2 เทอม (1 ปี) พูดง่ายๆ คือ นอกนั้นถึงผมจะเก็บหน่วยกิตแล้ว ก็ต้องมานั่งอยู่ในห้องสัมมนาไปตลอด 3 ปีของการเรียนในหลักสูตร นั่นหละครับ
แต่จะบอกว่า นอกจากชั้นเรียนของอาจารย์นิตตะแล้ว ยังมีอีกชั้นเรียนหนึ่งซึ่งถึงแม้ผมจะลงเก็บหน่วยกิตไปครบ 2 เทอมแล้ว แต่ผมก็ยังสนุกที่จะไปนั่งเรียนแบบออดิทอยู่ดี ชั้นเรียนนั้นคือ ชั้นเรียนวิชา “แนวคิดทางสังคม” ซึ่งสอนโดย อ.ชิมาโมโต้
ผมชอบชั้นเรียนของ อ.ชิมาโมโต้มากๆๆๆๆๆ (ไม้ยมกหลายๆ ตัว) ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1. เป็นวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมันดีกับผมมากโดยเฉพาะในเทอมแรกซึ่งภาษาญี่ปุ่นของผมยังไม่ค่อยแข็งแรง
2. เนื่องจากสอนเป็นภาษาอังกฤษ จึงมีเพื่อนฝรั่งที่มาด้วยทุนลักษณะเดียวกันสองคน คือ เฟรดกับราชิด เท่ากับวิชานี้แหละนี่จะได้อยู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ทั้งสองคนนี้ได้ทุนมาเรียนโดยเสนอเค้าโครงวิทยานิพนธ์ว่าด้วยแนวคิดสังคม-ประวัติศาสตร์ สนุกเลยทีนี้ เพราะบรรยากาศการเรียนจะกลายเป็นสไตล์ฝรั่ง เถียงกันไล่บี้กันตามสบาย เอาให้เละกันไปข้าง เรื่องไล่บี้กันในห้องเรียนเดี๋ยวตอนหน้าจะขยายให้ฟังกัน
3. เรียนสนุกลุกนั่งสบาย มีชาให้เลือกดื่มหลากหลาย มีขนมจำพวกกูลิโกะให้กินด้วย
4. เรียนกันพอจบคอร์สจบเทอมทีก็ชวนกันไปกินเหล้ายาปลาปิ้งกันที (อาจารย์ชิมาโมโต้เลี้ยงนะ) อันนี้แหละ ดีงาม
ถ้าจะถามว่าห้องเรียนสัมมนาของอาจารย์ที่ปรึกษาผมมีอะไรกิน ขอตอบว่า “กาแฟดำ” ครับ
การเรียนในเทอมแรกนั้น อย่างที่บอกว่าผมมาใหม่ๆ ภาษาญี่ปุ่นไม่แข็งแรง เขาเลยให้เทอมแรกนั้นเป็นการเรียนวิชาปรับพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น (แบบไม่นับหน่วยกิต) ซึ่งผมก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจอะไร หาเรื่องลงเรียนวิชากิจกรรมจำพวกคัดพู่กันญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ก็ถือว่าได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เป็นกำไรชีวิตไป
พูดถึงชีวิตในรั้วมหาลัยสักนิด นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว สิ่งที่ผมประทับใจก็มีสองสามเรื่องดังนี้
1. เรื่องตู้อัตโนมัติขายขนม เท่าที่เคยซื้อกินก็มีตู้ชายไอติมกูลิโกะ Seventeen Ice กับตู้ขายขนมปัง พูดถึงคำว่าขนมปัง คนไทยเรียก “ขนมปัง” เพราะคิดว่ามันเป็น “ขนม” มากกว่าอาหารกระมัง แต่ภาษาญี่ปุ่น เรียกขนมปังว่า “ปัง” เลียนภาษาฝรั่งเศส และแบ่งแยกคำเรียกระหว่างคำว่า “โชคุปัง” 食パン คือขนมปังแผ่นแบบขนมปังแซนด์วิชที่กินเป็นอาหาร กับ 菓子パン คือขนมปังที่กินเป็น “ขนม” เช่นชนมปังใส้ถั่วแดงอะไรทำนองนี้ ร้านขนมปังหลายร้านในญี่ปุ่นชอบตั้งชื่อร้านให้ฟังดูเป็นฝรั่งเศส แต่เฟรดซึ่งเป้นคนฝรั่งเศสบอกผมว่า ร้านเบเกอรี่ในญี่ปุ่นน่ะ ทำขนมปังเบเกอรี่ออกมาเป็น “สไตล์อังกฤษ” ผมก็เชื่อตามนั้น เพราะเห็นเขาขายขนมสโคนด้วย
2. เรื่องตึกพละหลังมหาลัย เข้าไปมีทั้งคาราเต้ ไอคิโด รู้สึกจะมีสนามยิงธนูด้วย เคยลองไปเล่นในทั้งสองชมรมพักเดียวเลิก อ.ชิมาโมโต้บอกเล่นพวกชมรมแบบนี้มันเด็กเล่นกับเด็ก ไม่ค่อยจะได้วิชาอะไรนัก ไปหาที่เรียนแบบจ่ายสตางค์ข้างนอกดีกว่า ซึ่งผมเองภายหลังก็ได้ไปหาเรียนอะไรพวกนี้ตามบูโดคัง (โรงฝึกวิชาบู๊ของอำเภอ อารมณ์คล้ายๆ สนามกีฬาเทศบาลแต่แค่ไปเน้นพวก “บูโด” 武道 หรือวิชาศิลปะการต่อสู้ตามแบบแผนประเพณีญี่ปุ่น) ดังที่จะได้เล่ากันต่อไปอีก ยาวๆ นะครับ
3. ห้องพักครูที่นี่เขาไม่เรียกห้องพักครู เขาเรียกว่า “ห้องค้นคว้า” 研究室 ซึ่งเข้าไปแล้วเป็นห้องค้นคว้าจริงๆ เพราะจะมีตู้เก็บหนังสือ เอกสารสื่อต่างๆ เรียกว่าเป็นห้องสมุดย่อมๆ หรือห้องสมุดส่วนตัวของอาจารย์เจ้าของห้องท่านนั้นๆ ได้เลยทีเดียว
4. ห้องสมุดที่นี่มี “ห้องเก็บแผนที่” ด้วย ผมนี่เห็นแล้วขนลุก “แผนที่” นั้นสื่อความหมายได้ถึงความกระหายอยากในการสำรวจโลก ความอยากรู้อยากเห็นที่จะนำพาเราไปเจอกับชนชาติใหม่ๆ ภาษาและวัฒนธรรมใหม่ๆ แต่ มันก็สื่อถึงลัทธิอาณานิคมด้วยมิใช่หรือ?
อาคารห้องสมุด ตึกสีน้ำตาลทางซ้ายมือของรูปนะครับ
5. ที่ชั้นล่างตึกเรียนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าตึกไหน มีรูปลูกโลกอยู่บนพื้น โดยมีประเทศญี่ปุ่นอยู่ตรงศูนย์กลางวงกลมพอดี…
….ผมว่าผมจินตนาการเยอะไปละ ไปเข้าห้องเรียน อ.ชิมาโมโต้ดีกว่า คอยติดตามอ่านนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (2) ชีวิตในหอ
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (1) เมื่อแรกเข้าหอ
#ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (3) ชีวิตในมหาลัย