雲 [คุโมะ] เมฆ และ ปรัชญาของเมฆ
รูปประกอบโดย WALK on CLOUD
เมื่อมองบนฟ้า เราก็เห็นเมฆบนท้องฟ้า
เวลาที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก เราเรียกว่า
曇り
くもり
[คุโมะริ]Cloudy
มีเมฆ
ส่วนคำว่าเมฆนั้นเราใช้คำว่า
雲 [คุโมะ] “เมฆ”
หากสังเกตดีๆ คำว่า 曇り [คุโมะริ] นั้นมีตัวคันจิ
日 [ฮิ] ดวงอาทิตย์
雲 [คุโมะ] เมฆ
ผสมกัน
ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์อยู่เหนือก้อนเมฆ ตัวเมฆนั้นบังพระอาทิตย์ เป็นอากาศมีเมฆ 曇り[คุโมะริ]
คำศัพท์เกี่ยวกับเมฆที่น่าสนใจอย่างอื่น อย่างเช่น
雲行き
くもゆき
[คุโมะยุคิ]การเคลื่อนตัวของเมฆ
เวลาเราเงยหน้ามองเมฆ เห็นเมฆลอยตามกระแสลม การเคลื่อนไหวของเมฆเหล่านั้นคือ 雲行き [คุโมะยุคิ] นั่นเอง
มีสำนวนประโยคอย่างเช่น
雲行きが怪しい
[คุโมะยุคิ กะ อะยะชี่]การเคลื่อนไหวของเมฆดูช่างน่าสงสัย
เป็นการแสดงว่า อาการกำลังแปรปรวน ฝนอาจจะกำลังมาก็เป็นได้
นึกถึงในวันที่ลมพัดมาแรง เห็นเมฆเคลื่อนไหวบนท้องฟ้าอย่างชัดเจนเป็นสัญญาณว่าฝนน่าจะตกเทลงมา
คันจิตัวเมฆ 雲 [คุโมะ] สมัยก่อนเขียนว่า
云 [อุน]
คันจิตัวเมฆนี้ประกอบมาจากคันจิตัว
雨 [อะเมะ] ฝน
云 [อุน] เมฆ
คำว่าเมฆฝนนั้นใช้คำว่า
雨雲
あまぐも
[อะมะกุโมะ]เมฆฝน
ซึ่งก็เกิดจากเอาคันจิคำว่า ฝน [อะเมะ] 雨 กับ เมฆ [คุโมะ] 雲 มาผสมกันตรงๆ
ในภาษาญี่ปุ่นมีการใช้สำนวนเกี่ยวกับเมฆลักษณะหนึ่งว่า
雲の上の人
くものうえのひと
[คุโมะ โนะ อุเอะ โนะ ฮิโตะ]คนที่อยู่บนเมฆ, คนที่อยู่เหนือเมฆ
คำว่า “คนที่อยู่บนเมฆ” 雲の上の人 [คุโมะ โนะ อุเอะ โนะ ฮิโตะ] เป็น Metaphor เพื่ออ้างอิง
ในสมัยโบราณ คนที่อยู่บนเมฆ หมายถึง คนที่อยู่ในที่ยากจะเอื้อมถึง มักหมายถึงคนในวรรณะกษัตริย์
ในปัจจุบัน อาจจะมีการใช้สำนวน “คนที่อยู่บนเมฆ” หมายถึงคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆในหน้าที่การงานที่ยากจะเอื้อมไปถึง
อาจจะเป็นลูกน้องลูกกระจ๊อกตัวเล็กๆที่พูดถึงประธานบริษัท
ซึ่งการใช้ Metaphor “คนที่อยู่บนเมฆ” นี้เข้ากับลักษณะสังคมปัจจุบันที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในบริษัท
สำหรับภาษาไทยเรามีสำนวนว่า “มาเหนือเมฆ” ซึ่งมาถึงคนที่ใช้วิธีการเหนือชั้น คาดไม่ถึง มาแบบเหนือๆ
จากการเขียนคำศัพท์เกี่ยวกับ “เมฆ” ในวันนี้ ผมไปเจอบทความหนึ่งของคนญี่ปุ่นที่เขียนเกี่ยวกับเมฆ ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์อาจารย์ของมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งชื่อ คุณ โคบายาชิ ยะสุโอะ ผู้ศึกษาทางด้านปรัชญาและมีงานเขียนหนังสือหลายเล่ม
จากบทความสัมภาษณ์ของคุณโคบายาชิ เขาวิเคราะห์ไว้ว่า เมื่อสมัยก่อนตามภาพวาดต่างๆเมฆเปรียบเสมือนเป็นพาหะ ที่เชื่อมระหว่าง มนุษย์ กับ เหล่าเทวดาที่อาศัยอยู่บนเมฆ เราจะเห็นได้ตามภาพวาดตะวันตกที่เกี่ยวข้องกับคริสตศาสนา
แต่พอมาอีกยุคสมัยหนึ่ง เหล่าจิตรกรชาวตะวันตก เริ่มละทิ้งการวาดรูปเมฆที่อ้างอิงเกี่ยวกับศาสนา แต่ใช้เมฆเป็นภาพบรรยายถึง “ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ” มันจะวาดรูปเมฆเพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของอากาศ วาดเป็นภาพทิวทัศน์ Landscape แทน
เมฆที่ดูสงบนิ่งในบางครั้งที่เราเห็นก้อนสีขาวเหมือนปุยนุ่น ลอยนิ่งๆบนฟ้าสีฟ้า
แต่ในบางคราวที่เราเห็นเมฆดำทะมึนก้อนยักษ์สีดำ และ เห็นสายฟ้า ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ทำให้เรารู้สึกเกรงกลัวและตื่นตะลึงถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
เมฆที่สงบกับเมฆฝนที่ก้าวร้าวนั้นและดูขัดแย้งกันราวกับ ความโกลาหล (Chaos)
คุณโคบายาชิกล่าวว่ามี คำสอนของลัทธิเซน คำนึงคำว่า
行雲流水
こううんりゅうすい
[โคอุนริวซุย]ซึ่งประกอบด้วยคันจิ
行 [โค] ไป
雲 [อุน] เมฆ
流 [ริว] กระแส, ไหล
水 [ซุย] น้ำ
คำนี้ 行雲流水 [โคอุนริวซุย] เป็นการเปรียบเทียบชีวิตที่เหมือนก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้า ว่าเกิดมาเป็นก้อนเมฆเป็นบนฟ้า ล่องลอยไปตามลม แล้วก็สลายหายไป เปรียบได้เช่นเดียวกับชีวิตที่เกิดมา แล้วชีวิตเราก็ไหลไปตามกระแสของการเวลา แล้วก็ดับไป
อาจจะด้วยเหตุนี้ทำให้มนุษย์เราเงยหน้ามองฟ้ามองหาเมฆ เพื่อให้เราได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ มองว่าเราเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆในโลกใบนี้
รูปประกอบโดย WALK on CLOUD
เรื่องแนะนำ :
– 悲しみ [คะนะชิมิ] ความเศร้าโศก
– ก่อนเป็นโอะกินะวะโดยสังเขป
– ‘ร้อนแทบตาย” ในภาษาญี่ปุ่น
– มหาวิทยาลัย “หนึ่งสะพาน” ฮิโตะซึบาชิ
– อดีตนายก 元総理 [โมะโตะโซริ]
อ้างอิง
– https://news.kodansha.co.jp/20161029_b03
– https://www.mizu.gr.jp/kikanshi/no56/09.html
#雲 [คุโมะ] เมฆ และ ปรัชญาของเมฆ