ประเทศแมนจูของคนญี่ปุ่น ความหวัง และสิ้นสุดประเทศ
สำหรับชีวิตในประเทศแมนจู (ค.ศ. 1932 – 1945) สำหรับคนญี่ปุ่นที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่นั้น ก็หวังว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าเดิม
มีการเชิญชวนให้คนญี่ปุ่นย้ายไปอยู่ประเทศแมนจู ด้วยเงินเดือนที่มอบให้สูงกว่าที่ได้บนเกาะญี่ปุ่น 2-3 เท่า ทำให้หลายคนตัดสินใจหอบข้าวของและครอบครัวย้ายไปประเทศแมนจู
สังคมในเมืองต่างๆ ของประเทศแมนจูนั้น คนญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในชุมชนคนญี่ปุ่น เด็กเรียนในโรงเรียนที่มีแต่เพื่อนคนญี่ปุ่นแทบจะไม่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างคนญี่ปุ่นและคนท้องถิ่นอย่างเช่นคนจีนแต่อย่างใด
ในสายตาของเด็กญี่ปุ่นแล้ว บางคนอาจจะมองคนจีนในท้องถิ่นต่ำต้อยกว่าตนเอง มีการใช้คำพูดดูหมิ่น ใช้หินขว้างปาใส่ และถ้าหากหือรือมองหน้ากลับ ก็จะถูกแหย่ว่า “เดี๋ยวจะไปแจ้งตำรวจนะ”
แม้นเป็นช่วงปีค.ศ. 1944 ที่ญี่ปุ่นเริ่มเพลี่ยงพล้ำในสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับคนญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศแมนจูแล้วกลิ่นไอแห่งความวุ่นวายของสงครามนั้นอาจจะห่างไกลจากชีวิตประจำวันของตนเอง ด้วยความที่ผืนดินในประเทศแมนจูมีความอุดมสมบูรณ์ รอบๆ เมืองมีไร่ข้าวฟ่าง ข้าวโพด แตงโมที่โตเป็นลูกใหญ่ในชั่วข้ามคืน มันไม่มีความอดอยากในชีวิตที่ประเทศแมนจู ทุกวันนั้นราวกับวันแสนสงบสุข
หลายต่อหลายคนเชื่อในความแข็งแกร่งของญี่ปุ่น และไม่เชื่อว่าญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้ได้
ในช่วงเวลาก่อนสิ้นสุดสงคราม ผู้ชายหลายคนในประเทศแมนจูเริ่มถูกเกณฑ์ไปเป็นกองกำลังสุดท้าย หลงเหลือเพียงแต่เด็กและสตรีอยู่ในเมือง
ผู้คนได้ยินข่าวลือว่า “ญี่ปุ่นอาจจะแพ้ได้” และเปลี่ยนมาได้ยินว่า “ฮิโรชิม่าเจอระเบิดชนิดใหม่เล่นงานเข้า”
แล้วทหารรัสเซียก็ฉีกสัญญาสงบศึกในวันที่ 9 สิงหาคมค.ศ. 1945 แล้วบุกเข้ามาในประเทศแมนจู
และแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปีค.ศ. 1945 ก็เป็นวันสิ้นสุดสงคราม แต่สำหรับคนญี่ปุ่นที่หลงเหลืออยู่ที่ประเทศแมนจูหรือว่าเป็นประเทศในอดีต เพราะเมื่อสิ้นสุดสงครามแล้วความเป็นประเทศแมนจูก็สิ้นสุดลง หลากหลายชีวิตกว่าหนึ่งล้านคนชาวญี่ปุ่นตั้งกับคำถามต่อตัวเองว่าแล้วจะเอายังไงต่อไปดีกับชีวิตนี้
คนญี่ปุ่นที่หลงเหลือในประเทศแมนจูกว่าหนึ่งล้านคน ต้องประสบกับความยากจนไม่มีจะกิน การถูกข่มขู่ทำร้ายจากทหารกองทัพสหภาพโซเวียต การถูกลักขโมยจากคนจีน
เมื่อไม่มีอาหารจะกิน ร่างกายก็เริ่มอ่อนแอ ไม่มีโอกาสจะได้อาบน้ำ เพราะน้ำและไฟฟ้าโดนตัด มีหลายต่อหลายคนเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีหลังจากสงครามสิ้นสุดลง ณ ปีค.ศ. 1946 ที่การถอนตัวกลับประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้น แต่ด้วยระยะทางที่ยาวไกลบนรถไฟที่พาไปสู่เมืองท่า และ บนเรือที่พาผู้คนกลับเกาะญี่ปุ่น ก็ได้คร่าชีวิตเด็กและสตรีที่มิอาจทานทนต่อการเดินทางระยะไกล บางคนเสียชีวิตกลางทาง ด้วยภาวะขาดสารอาหาร ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
นี่คือสภาพอันโหดร้ายที่คนญี่ปุ่นหลายคนที่รอดกลับมายังแผ่นดินญี่ปุ่นได้เล่าเอาไว้ แม้นจะผ่านไปเกิน 70 ปีแต่ก็เป็นความปวดร้ายที่ลึกอยู่ในใจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ได้เล่ากล่าวออกมาถึงเหตุการณ์ที่พานพบประสบเจอ
เพื่อเงินทองเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเลยเดินทางไปยังแมนจู
ใช้ชีวิตที่มีความสุข เชื่อมันว่าญี่ปุ่นจะชนะตลอดไป
แล้ววันหนึ่งที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ ผู้คนหนีกลับเกาะญี่ปุ่น อยู่ด้วยความหวาดกลัว หัวใจแตกสลายสูญเสียครอบครัวระหว่างทางกลับบ้าน
เมื่อมาถึงญี่ปุ่น เป็นความทรงจำฝังลึก เป็นฝันร้ายที่แบกมาจวบจนถึงวันนี้
แต่พวกเขาก็ออกมาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง เพราะอยากให้ทุกคนทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม
และเพื่อที่จะปลดปล่อยตัวเขาจากฝันร้ายสักนิดนึง พวกเขาไม่ควรต้องแบกรับมันไว้คนเดียวอีกต่อไปในช่วงชีวิตเวลาที่เหลือ
ทักทายพูดคุยกับวสุ ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– กองทัพคันโต (9) : ประเทศแมนจูรัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่น
– กองทัพคันโต (8) : การก่อตั้งประเทศแมนจู
– กองทัพคันโต (7) : การทิ้งระเบิดเมืองจินโจว
– กองทัพคันโต (6) : สู่เมืองฮาร์บิน
– กองทัพคันโต (5) : บุกรุกเมือง Mukden
อ้างอิง
– https://www.heiwakinen.go.jp
– https://www.doki-life.com
– https://shizuoka.repo.nii.ac.jp
– https://www.buzzfeed.com
#ประเทศแมนจูของคนญี่ปุ่น ความหวัง และสิ้นสุดประเทศ