กองทัพคันโต (7) การทิ้งระเบิดเมืองจินโจว
วันที่ 8 เดือนตุลาคม ปี 1931 ด้วยคำสั่งของ อิจิวะระ คันจิ (石原莞爾) เครื่องบินทิ้งระเบิด 12 ลำของกองทัพคันโตทะยานสู่น่านฟ้าเหนือ มณฑลเหลียวหนิง (遼寧省) เมืองจินโจว (錦州市) ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งใหม่ของ จาง เสฺวเหลียง (張学良)
อิจิวะระ คันจิ ทหารฝ่ายเสนาธิการ ผู้อยู่เบื้องหลังอุบัติการณ์แมนจูเรีย
จาง เสฺวเหลียง ผู้นำจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือและจีนตอนเหนือส่วนใหญ่
อิจิวะระ วางแผนปฏิบัติการเพื่อสอดแนมครั้งนี้ แต่เครื่องบินได้ทิ้งระเบิดทั้งหมดซึ่งในแต่ละลำบรรทุกระเบิดขนาด 25 kg อยู่ 5-6 ลูกรวมทั้งสิ้น 75 ลูก
รัฐมนตรีกองทัพบกของญี่ปุ่น มินะมิ จิโระ (南次郎) ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรี วะคะซึคิ เรจิโระ (若槻禮次郎) ว่า “เรามิอาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้เพราะว่าเราถูกปืนต่อต้านอากาศยานของกองทัพจีนโจมตีก่อน”
วะคะซึคิ เรจิโระ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
กองทัพคันโตออกแถลงการณ์ว่า จาง เสฺวเหลียงสะสมกองกำลังไว้ที่เมืองจินโจว หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นภัยคุกคามต่อประเทศญี่ปุ่น เพื่อจะแก้ไขปัญหาของแมนจูเรียกับมองโกเลียให้ไวที่สุดการกำจัดรัฐบาลจินโจวจึงเป็นสิ่งจำเป็น
บนกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าการป้องกันไว้ก่อน (Precaution) อยู่ในขอบข่ายของสิทธิในการปกป้องตนเอง แต่ทว่าเมื่อหน่วยสำรวจ Lytton ที่ถูกส่งมาจากสันนิบาตชาติเข้ามาสำรวจข้อเท็จจริงในจีนและสรุปว่า เหตุการณ์ริวโจโคะ (ระเบิดรางรถไฟใกล้เมืองมุกเดน) และกิจกรรมของกองทัพญี่ปุ่นนั้น ยากที่จะบอกว่ามันเข้าข่ายการปกป้องตนเอง
วันที่ 24 กันยายน รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงการณ์ว่าจะไม่แผ่อาณาเขตไปกว้างไกลกว่านี้ แต่นี่ก็เป็นการบ่งบอกถึงการขาดแคลนภาวะผู้นำทั้งในและนอกประเทศของญี่ปุ่นซึ่งส่งผลเสียหายอันใหญ่หลวงต่อการฑูตของ ชิเดะฮะระ คิจูโร่ (幣原喜重郎) ที่เน้นความร่วมมือระดับนานาชาติ
วันที่ 8 พฤศจิกายน มีการปะทะกันระหว่างกองทัพจีนและญี่ปุ่นที่เทศบาลนครเทียนจิน (天津), โดะอิฮะระ เคนจิ (土肥原健二) ผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเมืองมุกเดน ได้ทำการติดต่อไปยัง เพิ่งหยีเชียง (Feng Yü-hsiang : 馮玉祥) ขุนศึกของกลุ่มต่อต้านจาง เสฺวเหลียง, ให้พาอดีตจักรพรรดิผู่อี๋หนีออกมาจากเทียนจินเข้ามาอยู่ในแมนจูเรีย
ขุนศึก เพิ่งหยีเชียง
จักรพรรดิผู่อี๋ และ จักรพรรดินี วั่นหรง ในสมัยที่พำนักอาศัยในเทียนจิน
วันที่ 19 เดือนพฤศจิกายน กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าไปควบคุมเมืองฉีฉีฮาร์
วันที่ 28 เดือนธันวาคมกองทัพญี่ปุ่นเข้าประชิดเมืองจินโจว นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น อินุไค ซึโยะชิ(犬養毅) เรียกร้องไปยังจาง เสฺวเหลียงให้ถอนกำลังทหารออกจากเมืองจินโจว จาง เสฺวเหลียงยอมรับข้อเรียกร้อง วันที่ 3 มกราคมปีค.ศ. 1932 กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าไปยึดป้อมปราการของเมืองจินโจว
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น อินุไค ซึโยะชิ
จีนขอร้องให้เริ่มการประชุมคณะมนตรีสันนิบาตชาติก่อนกำหนด 1 วันตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมและเสนอให้มีการพิจารณากำหนดวันถอนกำลังทหารญี่ปุ่นกลับไปยังพื้นที่ของตนเองตามเส้นทางรถไฟ แต่ก็ถูกคัดค้านจาก 1 เสียงโหวตของญี่ปุ่น
วันที่ 15 ตุลาคมมีการประชุมลับของคณะมนตรีและรับรองให้เชื้อเชิญอเมริกามาเป็นผู้สังเกตการณ์
จากการทิ้งระเบิดลงบนเมืองจินโจวนั้นทำให้ความรู้สึกต่อญี่ปุ่นเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม แต่สาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นแทบจะไม่มีที่ยืน เพราะความสามารถที่ไม่เพียงพอของ โยะชิซะวะ เคนคิจิ (芳澤謙吉) เอกอัคราชฑูตญี่ปุ่นประจำฝรั่งเศสและตัวแทนประเทศญี่ปุ่นในสันนิบาตชาติ ซึ่ง โรเบิร์ต เซซิล (Robert Cecil) ตัวแทนจากประเทศอังกฤษระลึกถึงความหลังว่า
“หากตัวแทนประเทศหนึ่ง (จีน) ไม่ได้พูดเก่งขนาดนั้น และถ้าตัวแทนอีกประเทศหนึ่ง (ญี่ปุ่น) สามารถแสดงออกได้ดีกว่านี้การแก้ไขปัญหาก็จะลุล่วงได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งขนาดนี้”
ทักทายพูดคุยกับวสุ ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– กองทัพคันโต (6) : สู่เมืองฮาร์บิน
– กองทัพคันโต (5) : บุกรุกเมือง Mukden
– กองทัพคันโต (4) ระเบิดสร้างสถานการณ์สู่ปฏิวัติแมนจูเรีย
– กองทัพคันโต (3) การวางระเบิดสังหาร จางจั้วหลิน
– กองทัพคันโต (2) : ความร่วมมือกับผู้นำจีน ก่อนการลอบสังหาร
อ้างอิง
– http://old-book.ru.ac.th
– https://ja.m.wikipedia.org/wiki/満州事変
– https://th.wikipedia.org/wiki/จักรพรรดิผู่อี๋
– https://en.wikipedia.org/wiki/Jinzhou_Operation
#กองทัพคันโต (7) การทิ้งระเบิดเมืองจินโจว