นกกระเรียนแทนคุณ: การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
“นกกระเรียนแทนคุณ”(鶴の恩返し)เป็นนิทานพื้นบ้านที่โด่งดังของประเทศญี่ปุ่น
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อนานมาแล้วมีชายหนุ่มฐานะยากจนอาศัยอยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ เขาทำอาชีพตัดไม้และขายของป่า วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตัดต้นไม้ มีนกกระเรียนสีขาวแสนสวยบินตกลงมาใกล้ๆ กับที่เขาอยู่ ท่ามกลางปีกสีขาวนั้นมีเลือดไหลแดงฉานออกมา ชายหนุ่มเห็นลูกธนูปักอยู่ เขาสงสารนกกระเรียนที่กำลังบาดเจ็บ หากไม่รีบช่วยนายพรานจะต้องตามมาจับมันไปแน่ ชายหนุ่มดึงลูกธนูออกมาอย่างเบามือและทำแผลให้ จนนกกระเรียนเริ่มขยับปีกได้ “เจ็บหน่อยนะ แต่เดี๋ยวเจ้าจะกลับไปบินได้เหมือนเดิม รักษาตัวด้วย”
นกกระเรียนค่อยๆ กระพือปีกจนบินได้ ก่อนที่มันจะจากไปมันส่งเสียงร้องแทนคำขอบคุณ ชายหนุ่มรู้สึกดีที่อย่างน้อยได้ช่วยชีวิตนกกระเรียนที่น่าสงสารให้ไม่ต้องกลายเป็นอาหารของนายพราน
ค่ำวันนั้นชายหนุ่มเดินทางกลับมาที่กระท่อม เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งยืนรออยู่ที่บ้าน เธอถือถุงใบหนึ่งมาด้วย
“กลับมาแล้วหรือคะ ฉันขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นภรรยาของคุณ ฉันอยากดูแลคุณให้ดีที่สุดค่ะ” เธอยิ้มและโค้งคำนับเขา
ชายหนุ่มรู้สึกเก้อเขินและคิดว่าตัวเองต่ำต้อยไม่ดีพอที่จะได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นภรรยา “คือ…คือผมยากจนมากๆ ผมไม่น่าจะดูแลคุณได้”
หญิงสาวเปิดถุงที่มีข้าวสารและอาหารอย่างอื่นอยู่เต็มให้เขาดู “ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะช่วยดูแลคุณเอง”
หญิงสาวเดินเข้าไปในครัวแล้วเริ่มทำอาหาร ทั้งสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยากัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชายหนุ่มออกไปทำงานได้อย่างสบายใจ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้านเพื่อที่จะกินอาหารที่ภรรยาทำและพูดคุยกัน น่าแปลกใจที่ถุงใบนั้นจะมีข้าวสารและวัตถุดิบอย่างอื่นอยู่ข้างในเสมอ
เย็นวันหนึ่งระหว่างที่กำลังกินข้าวภรรยาบอกสามีว่า “ฉันอยากให้คุณช่วยสร้างห้องทอผ้าให้หน่อย ช่วงระหว่างที่ฉันทอผ้าคุณห้ามเข้ามาเด็ดขาดนะคะ”
แม้สามีเกิดความสงสัยว่าภรรยาจะทำอะไร แต่เขาก็ทำตามที่เธอร้องขอ “ฉันขอเวลา 7 วัน ขอให้คุณไปทำงานของคุณเถิด”
แล้วภรรยาก็เข้าไปอยู่ในห้องนั้นโดยไม่เปิดประตูเลย เมื่อครบวันที่ 7 ภรรยาออกมาด้วยสภาพร่างกายที่ซูบผอมพร้อมผ้างามผืนหนึ่ง “ผ้าผืนนี้ถ้าคุณนำไปขายที่ตลาดน่าจะได้เงินไม่น้อย”
สามีนำผ้าไปขายและกลับมาพร้อมกับเงินก้อนโต หลังจากนั้นภรรยาจะเข้าไปอยู่ในห้องทอผ้าเป็นระยะเวลานาน มีแต่เสียงเครื่องทอผ้าที่ดังตลอดเวลา สามีได้แต่สงสัยว่าภรรยานำเส้นใยราคาแพงที่ใช้ถักทอผ้ามาจากไหน สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นทำให้ชายหนุ่มผิดสัญญาเปิดห้องทอผ้าเข้าไป
สิ่งที่เขาเห็น คือ นกกระเรียนที่กำลังใช้ขนของตัวเองทอผ้าอยู่ นกตัวนั้นมีเสียงเหมือนกับภรรยาของตน “จำฉันได้มั้ยคะ ฉันเป็นนกกระเรียนตัวที่คุณเคยช่วยไว้ ฉันมาเป็นภรรยาเพื่อตอบแทนบุญคุณ ฉันตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่คุณทำผิดสัญญา คุณเห็นร่างจริงของฉันแล้ว เราคงมีวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้”
นกกระเรียนยื่นผ้าผืนสุดท้ายที่เพิ่งทอเสร็จ “อย่าลืมฉันนะคะ ลาก่อน” แล้วนกกระเรียนก็บินจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
การที่ชายหนุ่มได้ช่วยนกกระเรียนด้วยจิตเมตตาสงสารโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนเป็นสิ่งที่ดี ซึ่ง “การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน” ฟังดูแล้วเป็นเรื่องในอุดมคติมาก เพราะคนส่วนใหญ่เลือกทำดีกับคนอื่นเพราะคาดหวังที่จะได้รับอะไรกลับคืนซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ผิดอะไร คติความเชื่อส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคติท้องถิ่น, ความเชื่อทางศาสนา มักจะพูดเรื่อง “ทำอะไรไปจะได้แบบนั้นกลับคืนมา” (The Law of Reciprocity) เพื่อเป็นการบังคับคนทางอ้อมให้ทำดีต่อกัน สังคมจะได้มีความสงบสุข
>> ข้อเสียจากการทำดีเพื่อหวังผล
คนที่ทำดีกับคนอื่นโดยมีความคาดหวังว่าจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม เช่น สิ่งของ, คำชม, การช่วยเหลือ หากคนที่เราไปทำดีด้วยไม่ได้ตอบแทนตามที่เราคาดหวัง คนที่รู้สึกแย่จะเป็นตัวเราเอง บางครั้งความผิดหวังกลายเป็นความโกรธแค้น ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง แทนที่ทำดีแล้วจะมีความสุขกลับกลายเป็นเกิดความทุกข์ไปเสีย
>> ข้อดีของการทำดีโดยไม่หวังผล
การทำดีเพราะสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่สมควรทำด้วยวิธีคิดแบบ “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” (Empathy) เช่น การช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน เพราะคิดว่าถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเราจะลำบากแค่ไหน เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ช่วยนกกระเรียนเพราะความเมตตาโดยไม่ได้คาดคิดว่ามันจะกลับมาตอบแทนคุณ
คนที่ทำดีจะได้รับผลดีจากความสุข ความภาคภูมิใจในการทำตนให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น ซึ่งก็ถือว่าได้รับผลที่ดีแล้ว หากได้รับสิ่งตอบแทนอย่างอื่นด้วยถือเป็นโบนัส
>> หากเขาอยากตอบแทนเขาจะทำให้เอง
ความเชื่อในหลายท้องที่ / ศาสนามีการพูดถึง “การต้องตอบแทนสิ่งที่คนอื่นทำดีให้กับตน” เช่น มีการอธิบายว่า “ความกตัญญู” คือ ความรู้คุณ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม คนที่ได้รับนั้นต้องระลึกนึกถึงด้วยความซาบซึ้งไม่ลืมเลย
หากฟังเผินๆตามหลักการ “เมื่อให้ไปต้องได้รับกลับคืนมา” เป็นสิ่งที่ดูสมเหตุสมผล แต่หากเราไปมีความคาดหวังกับปัจจัยที่ไม่ใช่ตัวเรา คือ ไปคาดหวังว่าคนที่เราไปทำดีด้วยจะต้องมาทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้ หรือเอาเรื่องการช่วยเหลือมาบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำดีตอบแทน ตัวคนที่คาดหวังเองจะเป็นทุกข์ เพราะเราไม่สามารถไปบังคับใครได้ ต่อให้บังคับได้แต่อีกฝ่ายไม่เต็มใจทำ ทั้งเราและอีกฝ่ายจะเสียความรู้สึก
“การทำดี” ฝ่ายที่ทำอาจจะคิดว่าดี แต่ฝ่ายที่ได้รับอาจไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ เช่น พ่อแม่ที่บังคับให้ลูกเรียนพิเศษหนักเพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนที่ดี จนเด็กไม่มีเวลาเล่นกับเพื่อนหรือใช้ชีวิตวัยเด็กตามที่ควรจะเป็น เด็กเกิดความเครียด เป็นโรคซึมเศร้าจนผลการเรียนแย่ หากพ่อแม่ให้คุณค่าของเด็กจากผลการเรียน พ่อแม่อาจมองว่า “เด็กอกตัญญู” เพราะพ่อแม่ทุ่มเทส่งให้ไปเรียน แต่ผลการเรียนไม่ได้ดีขึ้น โดยที่พ่อแม่กับเด็กไม่ได้คุยสื่อสารกันว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำดีและพยายามมอบให้ เป็นสิ่งที่เด็กต้องการหรือพ่อแม่ต้องการกันแน่
ดังนั้นการที่จะทำดีต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการหรือไม่, มีความจำเป็นแค่ไหนที่เราต้องทำ, มากเกินไปจนเป็นการยัดเยียดหรือเปล่า เพราะบางคนทำดีเพื่อหวังสะสมแต้มบุญ นำมาใช้ลำเลิกบุญคุณให้อีกฝ่ายทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ
การทำดีที่ไม่คาดหวังผลน่าจะเป็นการทำดีที่มีความสุขมากกว่า หากอีกฝ่ายระลึกได้ว่าเราทำดีกับเขา เขาอยากตอบแทนไม่ว่าจะมากหรือน้อย เมื่อถึงเวลาที่สมควรเขาจะทำให้เอง
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– ว่าด้วยเรื่องแมวกับคนญี่ปุ่น: เราจะเลี้ยงแมวดีมั้ยนะ
– Peach Girl โมโมะกับซาเอะ: ทำไมมิตรภาพของเพื่อนผู้หญิงมันช่างซับซ้อน
– “ช็อคโกแลตวาเลนไทน์กับวันไวต์เดย์: หากรักไม่สมหวัง”
– อุระชิมะ ทาโร่ x พาวเวอร์แพท: การปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง
– คินดะอิจิ กับคดีฆาตกรรมปริศนา: การเรียนเก่งไม่สำคัญเท่ากับการที่เอาตัวรอดและมีความสุขให้เป็น
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#นกกระเรียนแทนคุณ: การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน