คิดอยากจะเที่ยวแบบ Back Pack ดูซักครั้ง เลยเล็งไว้ว่าทริปแรกจะเป็นในภูมิภาค Kansai เพราะว่าเคยมาเที่ยวแถวนี้แล้ว 4 ครั้ง ไม่น่าจะยาก…
เรื่องและภาพโดย : The 23rd Ronin www.marumura.com
เมื่อวันที่ 17 – 24 พ.ย. 56 ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก หลังจากก่อนหน้านี้เคยไปญี่ปุ่นมาก็หลายครั้งแล้ว แต่เป็นการเที่ยวกับทัวร์แบบสะดวกสบาย แบบว่าก้าวออกจากสถานที่นึงก็มีประตูรถโค้ชมารับถึงที่ ลงไปเที่ยวสถานที่นึงก็ค่อนข้างที่จะถูกจำกัดอยู่ใน Area ที่ค่อนข้างจะแคบ ไปได้ไม่ไกลจากอ้อมอกไกด์มากนัก เคยแบบว่าเฮ้ย! พี่ฝั่งนู้นมันมีอะไรอะ น่าเดินจัง แต่ก็ไปไม่ได้เพราะว่ากลัวจะแตกออกจากกลุ่มไปหลง บางที่ก็เกือบจะเป็นชะโงกทัวร์ บางที่ก็รู้สึกว่าจะอยู่ทำไมนานๆ อะ เลยคิดอยากจะเที่ยวแบบ Back Pack ดูซักครั้ง เลยเล็งไว้ว่าทริปแรกจะเป็นในภูมิภาค Kansai เพราะว่าเคยมาเที่ยวแถวนี้แล้ว 4 ครั้ง ไม่น่าจะยาก
เริ่มแรกเลยต้องศึกษาเส้นทางก่อน เลยจัดการ Google หาแผนที่เส้นทางการเดินรถไฟก่อน พอเปิดมาเท่านั้นแหละ แทบจะเป็นลม นึกว่าเอเลี่ยนมันมาสร้างไว้ อะไรก็ไม่รู้ Midosuji Line, Chuo Line, Yotsubashi พันกันมั่วไปหมด บอกตรงๆ BTS ที่กรุงเทพฯ ตัดกันไม่กี่สายบางครั้งยังไปยืนเอ๋อเลย หรือจะเปลี่ยนไปนั่ง Taxi ก็ไม่กล้า เคยโดนมาแล้วสตาร์ทที่ 660 Yen (200 กว่าบาท) และมิตเตอร์หมุนเร็วหยั่งกะท่อน้ำแตก เลยตั้งสติกลับมาทำความเข้าใจกับรถไฟ และสุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เลยเข้าไปเลื้อยตาม Blogger Guru ที่เที่ยวกันบ่อยๆ อ่านละดูเดินทางกันง่ายมาก ใช้พาสนู้นพาสนี้กันคล่องเชียว แต่เราเคยเจอกับตัวแล้วครั้งนึงกับการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่มีไกด์นำไป เค้าก็สอนนู่นนี่นั่น สุดท้ายก็งง โอเคร งั้นทำแผนขึ้นมาก่อนว่าเราจะไปเที่ยวไหน สถานีอะไร เปลี่ยนรถยังไง ละก็จัดการ ค่อยๆ ร่างแผนออกมาจนเสร็จ มีเวลาเที่ยวที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 8 วัน แบ่งเป็นพัก Homestay 1 คืนที่ Osaka จากสปอนเซอร์ใจดี Homestay in Japan และเข้าพัก Toyoko inn 4 คืน Kyoto 1 คืน และที่ Rinku Town 1 คืน
Hilight ที่ตั้งใจไว้ของทริปนี้คือ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto นั่งหาข้อมูลเลยไปสะดุดที่วัดๆ นึง Eikando….. ค่าเข้าแพงมาก 1,000 Yen!!!! ยอมรับว่าไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อน เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่มากับทัวร์ส่วนมากจะไปสถานที่มาตรฐานอย่าง Kinkaku-ji, Kiyomizu, Heian อะไรประมาณนี้ แต่พี่ๆ Blogger ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัด Eikando ผ่านภาพถ่ายได้สวยงามมากๆ เลยปักธงไว้ว่า จะยังไงต้องไปที่นี่ให้ได้
มาถึงการเตรียมตัวเดินทางเข้าญี่ปุ่นในยุคของการยกเว้น Visa โดยส่วนตัวแล้วเดินทางเข้าญี่ปุ่นหลายครั้งแล้วการผ่าน ตม. คงไม่น่าจะยาก แต่เพื่อนที่เดินทางไปด้วยกันนี่สิ Passport ใหม่กิ๊ก ยังไม่เคยออกนอกประเทศแถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ (ส่วนตัวเราภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ B+ – -!) นี่สิน่าห่วง เลยจัดการเตรียมเอกสารชุดใหญ่เพื่อแสดงที่ ตม. เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่เค้าถามเราให้น้อยที่สุด มีทั้ง Copy ตั๋ว ไป-กลับ, List โรงแรมที่จะเค้าพัก, โปรแกรมเที่ยวที่ร่างขึ้นกับมือ, ใบจอง Homestay จนมีคนทักว่าจะไปยื่น Visa ที่นู่นเหรอ
มาถึงวันเดินทาง ทริปนี้เราใช้บริการ Cathay Pacific เที่ยวบิน CX712 แต่ต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ Hongkong ประมาณเกือบ 6 ชม. แต่ดีที่สนามบิน Hongkong เค้ามีบริการ Free Wifi กับปลั้กไฟและที่ชาร์จแบบ USB เลยนั่ง Chat & Share แบบลืมเวลา เผลอแป๊บเดียวก็เรียกขึ้นเครื่องละ



ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. กว่าก็มาถึงสนามบิน Kansai ด่านนี้เป็นด่านที่ระทึกที่สุด คือการลุ้นกันตัวโก่งว่าการผ่าน ตม. จะยากแค่ไหนเมื่อไม่ต้องทำ Visa มือซ้ายถือ Passport + ใบ ตม. มือขวากำเอกสารชุดใหญ่ที่เตรียมมาไว้แน่น แต่แล้ว!!!!!! ทำไมมันผ่านง่ายจัง ไม่ถามไม่ขอดูอะไรเลยเหรอ เคยคิดว่าต้องเป็นแบบในหนัง จับเข้าห้อง สอบถามว่ามาทำอะไร บลาๆๆๆๆ ขั้นตอนการผ่าน ตม. ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที แต่เราวิตกจริตมาเป็นเดือนๆ

พอผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเสร็จ ตามกำหนดการณ์วันแรกจะมีคนญี่ปุ่นที่เป็นโฮสต์ที่เราจะมาอาศัยอยู่กับเค้ามารอรับ พอออกมาปุ๊บก็เจอเค้ายืนรอด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก ละก็ทำการทักทายกัน เธอชื่อ Miki หลังจากที่แนะนำตัวกัน Miki ก็บอกกับเราว่ามีเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก่อนที่จะขึ้นรถบัสไปยัง Homestay เราเลยขอตัวไปเดินดูของและหาอะไรกินกันก่อน และนัดเจอกันอีกทีที่ป้ายรถบัสตอน 9.20 น.
มื้อแรกในญี่ปุ่นในตอนเช้าๆ แบบนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Gyudon ข้าวหน้าเนื้อร้อนๆ กับอากาศหนาวๆ ราคา 660 Yen ของร้าน Sukiya อร่อย ฟิน มาก โฮะ โฮะ ซัดเรียบ จนแทบจะกลืนตะเกียบไปด้วย

เสร็จแล้วก็เดินเล่นพักนึง จนถึงเวลานัด เราขึ้นรถบัส Nankai Airport สาย 10 ประมาณ 1 ชม. มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ Nakamozu เพื่อนั่งรถไฟต่ออีก 1 ป้ายมาที่สถานี Hatsushiba ละก็เดินเท้าต่อไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงบ้านของ Miki


พอเดินมาถึงหน้าบ้านของ Miki ก็เห็นภาพครอบครัวของเธอยืนต้อนรับเราอยู่หน้าบ้านอย่างยิ้มแย้ม มี Sanpo สามีของ Miki และ Eito กับ Shinchan ลูกชายจอมซนของบ้าน Takeda หลังจากทักทายกัน Miki ก็เดินพาชมบ้านของเธอ เป็นบ้านที่มีพื้นที่ไม่น่าจะเกิน 25 ตารางวา สูง 3 ชั้น มีที่จอดรถ มีเนื้อที่รอบๆ บ้านนิดหน่อย บันไดภายในบ้านนี่แคบจนคนตัวใหญ่ๆ ต้องหนีบตัวเดินขึ้น วัสดุอุปกรณ์ในบ้านนี้ใช้ของดีมากๆ ทุกอย่างเข้ารูป เป็นระเบียบในพื้นที่ๆ จำกัด เป็นบ้านที่น่ารักน่าอยู่มากกกกกก และ Miki ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเธอและครอบครัวให้ฟัง ให้เราดูรูปตอนที่เธอมาเรียนที่เชียงใหม่ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เธอชอบทะเลไทย เคยไปเที่ยวที่อยุธยา แต่ที่รู้ๆ Miki ตอนเป็นนักเรียนน่ารักมากๆ








หลังจากที่ทำการ Check In ที่บ้าน Takeda เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราก็จะไปกินข้าวกันละ เราจะไปที่ร้าน Issakusushi ที่อยู่ห่างจากบ้านของ Miki เพียงไม่กี่ก้าว Issakusushi เป็น Sushi Bar เล็กๆ มีที่นั่งไม่เกิน 30 ที่นั่ง ส่วนราคาถือว่าถูกมาก เราเลือก Sushi Set 580 Yen (ถูกที่สุด) ก็น่าจะอิ่มละนะ ส่วนทางครอบครัว Takeda จัดเต็มกันเลยแต่ละคน






หลังจากอาหารมื้อแรกเราได้สนุกสนานและสนิทสนมกับครอบครัว Takeda แล้ว เราก็บอกว่าเราอยากซื้อขาแปลงปลั้กไฟเพราะว่าเราลืมเอามา ทาง Sanpo ก็บอกว่าได้ เดี๋ยวพาไปซื้อที่ Aeon Mall Kitahanadaพวกเรายกโขยงกันเดินทางไปที่ Aeon Mall กันหมดครอบครัว 6 คน (ตอนนี้เรารู้สึกว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว Takeda จริงๆ) ด้วยการนั่งจากสถานี Hatsushiba ด้วยขบวน Nankai Koya Line 2 ป้ายไปลงที่ Nakamozu(Nankai) และไปเปลี่ยนเป็น Nakamozu(Subway) ด้วยขบวน Midosuji Line อีก 2 ป้ายก็มาถึงสถานี Kitahanada เดินมาทางออกที่ 2 ก็ถึง Aeon Mall เลย ง่ายฝุดๆ (ค่ารถไฟ 150+230=380 Yen ต่อคน)

Miki ค่อยๆ สอนและทำความเข้าใจกับการนั่งรถไฟให้กับเรา ง่ายกว่าที่คิดแฮะ
1.ดูสถานีที่เราจะไปและราคา
2.เลือกจำนวนคน (ถ้าซื้อใบเดียวข้ามไปข้อ 3)
3.หยอดเหรียญหรือสอดแบงค์
4.กดจำนวนเงินตามสถานีปลายทาง
5.รับตั๋วและเงินทอน

จากนั้นก็เดินเข้าชานชาลา ที่นี่ยังขึ้นไม่ยากเพราะเป็นต้นสาย และยังมีครอบครัว Takeda เดินนำ อีกทั้งยังเป็นสถานีเล็กๆ ที่คนยังไม่พลุกพล่าน เลยดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายในการเดินทาง แต่เราก็รู้ในใจว่าวันที่เราจะต้องใช้บริการสถานีใหญ่ๆ อย่าง Osaka หรือ Kyoto คงไม่หมูแน่ แต่เราก็ยังไม่คิดอะไรมากเพราะว่าเรามั่นใจว่าเทคโนโลยีอย่าง Google Map กับเวบ Hyperdia อีกทั้งยังมีแผนที่ๆ เราโหลดใส่แท็บเล็ตและมือถือจะช่วยให้เราเดินทางอย่างราบรื่น


พอมาถึง Aeon Mall ทาง Sanpo ก็ได้นำเราไปหาซื้อขาแปลงปลั้กไฟ แต่ก็ไม่เจอ Sanpo กับ Miki ก็ช่วยกันหาอย่างจ้าละหวั่น จนเรารู้สึกว่าเค้าจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอ เราเลยบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปซื้อที่ Donki วันต่อไปก็ได้ เค้าก็พูดขอโทษเราเหนือนเป็นความผิดของเค้า T_T หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปเดินและนัดกันที่จุดนัดพบตอนบ่าย 3 เราก็เดินดูไปเรื่อยๆ จนได้ขาแปลงปลั้กไฟ และถุงเท้าอย่างหนาอีก 3 คู่ แล้วก็เดินเพลินๆ ไปตามแผนกต่างๆ ของใช้ที่นี่น่าซื้อทุกอย่าง แต่ราคาก็น่าดูเหมือนกัน แต่บางอย่างก็ถูกจนเรางง



หลังจากซื้อของที่ Aeon Mall เสร็จแล้วเราก็กลับมาเดินซื้อของกินกันที่ Life Supermarket แถวบ้าน Miki ของกินของใช้ที่นี่ราคาถูกมากมาย เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าเบาอย่างเรา Miki ก็ถามเราว่าอยากกินอะไรมั้ย เราบอกว่า “เกี๊ยวซ่า” Miki บอก OK ที่นี่มีแต่แบบแช่แข็ง เดี๋ยวออกไปซื้อที่ร้านอาหารจีนระแวกนี้ให้ (เรารู้สึกผิดขึ้นมาทันที) แต่ดูเหมือน Miki จะเต็มใจหาสิ่งที่เราอยากกินมาให้ อยากบอกว่าขอบคุณครอบครัว Takeda จริงๆ ครับ


ซื้อของเสร็จสับก็พาเดินกันกลับบ้านของเรา อิ อิ เตรียมกินอาหารเย็นกัน แต่เรากลับไปหลับสนิทด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ตื่นมาอีกทีเกือบ 2 ทุ่ม และ Miki ก็ได้มาเรียกเราให้ขึ้นไปกินอาหารเย็น พอขึ้นไปก็อุ่นเกี๊ยวซ่า มิโซะซุป และข้าวสวย พอกินเสร็จเราก็ถาม Miki ว่า ปกตินอนกันกี่โมง เธอตอบว่าประมาณเที่ยงคืน เราเลยบอกว่าเราอยากจะไปเดินเล่นข้างนอกรบกวนคอยเปิดประตูให้เราด้วยนะ Miki เธอก็ยื่นกุญแจบ้านให้เรา ตอนแรกเราก็ไม่กล้ารับ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไว้ใจเรามาก เราเลยตัดสินใจขอพกกุญแจของบ้าน Takeda ไปด้วย
เราเดินออกมาบนถนนเงียบๆ แถวระแวก Hatsushiba ตอน 4 ทุ่ม ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเบาะๆ แล้วเราก็เจอเหมือนจะเป็น Super Market อะไรซักอย่าง เลยเข้าไปหลบฝนก่อน ปรากฏว่าที่นี่เต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นที่มาเดินจับจ่ายใช้สอยของที่ดูเหมือนลดราคาเกือบจะทั้งร้าน เราก็ทำตัวเนียนเข้าไปชุลมุนกับเค้าด้วย ด้วยความที่อยากจะสัมผัสวิถีชีวิตแบบบ้านๆ ของคนญี่ปุ่นจริงๆ พอเดินซักพักเราก็กลับมาที่บ้าน Takeda เพื่อพักผ่อน




สรุปการเดินทางวันแรกกับทริปเที่ยวเองที่ Kansai เต็มไปด้วยความสนุกและราบรื่นทุกขั้นตอน แต่ระหว่างที่เราหลับพักผ่อนอย่างสบายที่บ้าน Takeda โดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังจะเจอสิ่งที่เราเรียกว่า “หายนะของการเที่ยว“ ในอีก 2 วันถัดมา จะสาหัสแค่ไหน ลองติดตามอ่านนะครับ^^*

เรื่องและภาพโดย : The 23rd Ronin www.marumura.com
เรื่องแนะนำ :
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 8 ร่ำลา Delay และประทับใจ
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 7 หมดเวลาสนุกแล้วสิ
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 6 Minoh ภูเขาและธารน้ำตกใน Osaka
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 5 Tsutenkaku-Rinku Town-Nipponbashi
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 4 รักจัง Arashiyama
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 3 หลง งง สุดท้ายฟิน ที่ Kyoto
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 2 Bye Bye Homestay…Hello Shinsaibashi”
– พาทัวร์โรงงาน Kikko Nihon “ชม ชิม โชยุ แบบสุดสะเทือนไต”