วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (6) คิมูระ มาซาฮิโกะ ยอดยูโดผู้หักแขน Helio Gracie มาแล้ว!
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน อย่างที่ได้ปูเรื่องของการที่ มาเอดะ มิตสึโยะ สอนวิชาให้กับคาร์ลอส เกรซี่ จนคาร์ลอสไปตั้งสำนักยูยิตสูประจำตระกูล และยังมีเฮลิโอ เกรซี่ น้องชาย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการผลักดันเกรซี่ยูยิตสูให้เป็นที่รู้จัก วันนี้ผมจะขอเลี้ยวพาไปพูดถึงประวัติศาสตร์ในส่วนที่ Renzo Gracie ไม่ได้พูดในหนังสือของเขา แต่ผมอยากพูด เพราะเป็นเหตุการณ์สำคัญของการปะทะกันระหว่าง ยูโด vs เกรซี่ยูยิตสู ศึกที่พ่วงศักดิ์ศรีของวิชา (แถมศักดิ์ศรีของประเทศชาติด้วย) เป็นเดิมพัน เล่นกันจนแขนหักกันไปเลย วันนี้ผมจะขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับนักยูโดที่คนญี่ปุ่นบอกว่านี่คือ “นักยูโดที่แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์” ครับ เขาคือ คิมูระ มาซาฮิโกะ ครับ
คิมูระ มาซาฮิโกะ (木村政彦) เกิดปี พ.ศ. 2460 ที่จังหวัดคุมาโมโตะ ประวัติแห่งความเก่งกล้าเริ่มตั้งแต่ว่า อายุสิบขวบ เรียนยูยิตสูสำนักทาเคโนะอุจิซันโตริว (竹内三統流) ที่เป็นวิชายูยิตสูของแคว้นคุมาโมโตะ อายุราวสิบห้าปีตอนเรียนชั้น ม. 4 ที่โรงเรียนมัธยมจินเซย์ ได้สายดำโคโดคันสี่ดั้ง (โอ้โห) แข่งที่ไหนก็ชนะเลิศจนเป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่ว
คิมูระ มาซาฮิโกะ ตอนอายุ 18 (ที่มา wikipedia)
พอปี พ.ศ. 2478 อุชิจิมะ ทัตสึคุมะ (牛島辰熊) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกัน และเป็นครูฝึกอยู่ที่ ม. ทาคุโชคุ เปิดสำนักที่บ้านตัวเอง ซึ่งคิมูระก็ไปเรียน ฝึกกันแบบโหดๆ วันละสิบชั่วโมง ว่ากันว่าอุชิจิมะเก่งกาจเรื่องท่านอน คิมูระได้วิชามาจนไปแข่งโคเซ็นยูโด (高専柔道 แปลตรงตัวคือ ยูโด ม.ปลาย-อาชีวะ ซึ่งเป็นรูปแบบการแข่งยูโดที่ “เน้นท่านอน” จนบางคนว่าละม้าย BJJ สมัยเก่า จนทุกวันนี้เหมือนจะถูกรับรู้ในฐานะที่เป็นอีกสไตล์หนึ่งของยูโด) ชนะเลิศระดับประเทศ และตั้งแต่นั้นมาก็สร้างตำนานความเก่งกาจในฐานะนักยูโดระดับแชมป์เรื่อยมา…
.
อุชิจิมะ ทัตสึคุมะ มาทรงนี้โหดแน่นวล (ที่มา wikipedia)
มีเรื่องเล่าขานมากมายที่แสดงถึงความเก่งกาจของคิมูระแบบยอดมนุษย์ (ที่ผมอ่านแล้วไม่อาจเลียนแบบได้) ทั้งวิดพื้นวันละ 1,000 ที ยกบาร์เบลท่า bench press 100 กิโล ติดกันหนึ่งชั่วโมง หรือซ้อมแบบนอนแค่วันละสามชั่วโมง (แต่ไปงีบในห้องเรียนที่มหาลัย 555 อ้อ เห็นว่า เป็นเพื่อนมหาลัยเดียวกันคือ ม. ทาคุโชคุ กับอาจารย์ชิโอตะ โกโซ เจ้าสำนักโยชินคังไอคิโดด้วย) เวลาจะแข่ง ถึงกับสาบานกับตัวเองว่า ถ้าแพ้ จะยอมคว้านท้อง (แต่ไม่เคยแข่งแพ้เลย) แต่นั่นยังแค่ ตำนานความเก่งในระดับประเทศนะ…
คิมูระตอนอายุ 23 ท็อปฟอร์มสุดๆ (ที่มา wikipedia)
สิ่งที่ทำให้เขาเป็นตำนานของจริงในระดับโลก สะเทือนวงการ จนชื่อของเขายังปรากฎอยู่ทุกวันนี้ในโลกของบราซิลเลี่ยนยูยิตสู นั่นคือศึกระหว่าง คิมูระ มาซาฮิโกะ ปะทะ เฮลิโอ เกรซี่ เจ้าสำนักเกรซี่ยูยิตสู ต่างหาก!!!
ภาพโปสเตอร์โฆษณาศึกประวัติศาสตร์ (ที่มา Tapology)
ศึกครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2494 มูลเหตุเกิดจากการที่คิมูระ และนักยูโดอีกสองคนคือ ยามากูจิ โทชิโอะ (山口利夫) กับ คาโต้ โยชิโอะ (加藤幸夫) ไปที่เซาเปาโลตามคำเชิญของหนังสือพิมพ์เจ้าหนึ่งที่นั่น ซึ่งก็ได้มาเดินสายสอนยูโด แล้วก็รับสอบเลื่อนสายยูโดด้วย เรื่องมีอยู่ว่า เฮลิโอ เกรซี่ ท้าสู้กับคาโต้ก่อน โดยท้าว่าให้เล่นแบบ Gracie Rules คือทุ่มได้ไม่นับแต้ม ต้องซับมิชชั่นเท่านั้น (แหม่ กติกา BJJ สมัยนี้ ทุ่มหรือเทคดาวน์ได้ยังให้สองแต้มนะ) คาโต้โดนเฮลิโอรัดคอแพ้ไป คราวนี้ คิมูระเลยตัดสินใจออกโรงลุยเอง แบบยอมเลย ไม่เอากติกาอย่างยูโดมาใช้เลยก็ได้ (เช่นทุ่มได้อิปป้ง หรือจับกดสามสิบวิ) เล่นกันจนกว่าจะยอมแท็ปหรือรัดคอเอาให้สลบไปเล๊ย! รับคำท้า แต่ บอกตรงๆ ถ้าดูทรงรูปร่างของคิมูระกับเฮลิโอ นี่มันข้ามรุ่นพิกัดน้ำหนักชัดๆ คิมูระสูง 170 ซม. หนัก 84 กก. ส่วนเฮลิโอ สูงประมาณเดียวกันก็จริง แต่น้ำหนักตัวแค่ราว 63 กก. ศึกคราวนี้ เฮลิโอเจอคิมูระเข้าท่า เคสะกาตาเมะ (袈裟固) เข้าไป ก่อนที่จะเผด็จศึกด้วยท่า อุเดะการามิ (腕緘) จนเฮลิโอแขนหัก เมื่อไม่ยอมแพ้ ก็ หักอีก หักอีก จนฝั่งเกรซี่ต้องโยนผ้า คิมูระชนะ และตั้งแต่นั้นมา (เพื่อไม่ให้ลืมความแค้น?) ในวิชา BJJ จึงเรียกท่าอุเดะการามิว่า KIMURA LOCK ซึ่งสมัยนี้ เรียกเหลือแค่ว่า KIMURA จนถึงทุกวันนี้…
เดี๋ยวครับ ยังไม่จบแค่นี้ เรื่องของคิมูระยังมีต่ออีก คือว่าหลังจากนั้น คิมูระก็ไปหากินในทางเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ และเดินสายหากินในทางนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งพอถึงปี พ.ศ. 2502 คิมูระเจอ Valdemar Santana ท้าดวล ซานตาน่าฝึกมาทั้งคาโปเอร่า บ๊อกซิ่ง Luta Livre และเคยเป็นศิษย์ของเฮลิโอ เกรซี่ ก่อนที่จะสู้กับอดีตอาจารย์ตัวเอง แล้วเอาชนะเฮลิโอด้วยการเตะ soccer kick ใส่กบาล! (โหดสัส) แถมยังหนุ่ม (อายุ 27) สูงราว 180 ซม. น้ำหนักราว 93 กก. แม่มเฮฟวี่เวทดีๆ นี่เองครับ แข่งกันสองครั้ง ครั้งแรกแข่งในกติกาใส่กิ (เสื้อยูโด) คิมูระชนะ แข่งอีกครั้ง คราวนี้ใช้กติกา Vale Tudo คือไม่ใส่กิ แล้วต่อยใส่กันได้ด้วย (ถ้าบอกว่ามันคือบรรพบุรุษของ MMA น่าจะเข้าใจง่ายขึ้น) ผลคือสาดอาวุธทั้งเตะต่อยหัวโขกกันจนเลือดกระฉูดทั้งคู่ สุดท้ายเวลาผ่านไปสี่สิบนาที ถูกจับแยก เสมอกันไปซะงั้น
Valdemar Santana (ที่มา wikipedia)
จากนั้นคิมูระจึงกลับสู่วงการยูโดในปี พ.ศ. 2504 มาเป็นโค้ชให้ชมรมยูโดของ ม. ทาคุโชคุ จนถึงปี พ.ศ. 2526 ปี พ.ศ. 2536 ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งลำไส้
ความเก่งกาจของคิมูระนั้น ถึงกับมีคนญี่ปุ่นสรุปออกมาเป็นประโยคได้ว่า
「木村の前に木村なく、木村の後に木村なし」
คิมูระ โนะ มาเอะ นิ คิมูระ นาคุ คิมูระ โนะ อาโตะ นิ คิมูระ นาชิ
“ก่อนคิมูระ ไม่มีคิมูระ หลังคิมูระ ไม่มีคิมูระ”
การพูดถึงประวัติศาสตร์ของยูยิตสู ตั้งแต่ ยูยิตสูโบราณ → ยูโด → บราซิลเลียนยูยิตสู ใกล้จะมาถึงช่วงที่เป็น “ประวัติศาสตร์สมัยใหม่” กันแล้วนะครับ ในตอนหน้า ผมจะมาพูดถึงเรื่องของการทำยูโดให้เป็นกีฬา และเรื่องความตกต่ำของวิชาสายคว้าจับปล้ำทุ่มในแง่ของการให้ราคาโดยสังคม อย่าลืมติดตามกันนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (5) มาเอดะ มิตสึโยะ Conde Koma ผู้สอนวิชา “ยูยิตสู” ให้คนตระกูลเกรซี่!
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (4) ยูยิตสูสำนักฟุเซ็น จ้าวแห่งท่านอนที่ถูกโคโดคัน “เทคโอเวอร์”
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (3) เมื่อ “โคโดคันยูโด” ผงาดฟ้า
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (2) ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (6) คิมูระ มาซาฮิโกะ ยอดยูโดผู้หักแขน Helio Gracie มาแล้ว!