วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (4) ยูยิตสูสำนักฟุเซ็น จ้าวแห่งท่านอนที่ถูกโคโดคัน “เทคโอเวอร์”
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ก่อนที่จะปูพื้นไปถึงเรื่อง “วิชาต่อสู้ป้องกันตัว” อีกยี่ห้อหนึ่งในอีกซีกโลกอันไกลโพ้น ซึ่งต่อยอดมาจากโคโดคันยูโด ผมจะขอปูพื้นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการนำเอา “ท่านอน” (เนวาซ่า 寝技) เข้าสู่ “หลักสูตรการเรียนการสอน” ของยูโดก่อนนะครับ
ในขณะที่ “โคโดคันยูโด” ผงาดขึ้นมาเป็น “หนึ่งในใต้หล้า” ลบบรรดาสำนักยูยิตสูโบราณให้แบบหายไปซะ (หรือไม่ก็อยู่ในซอกหลืบ เรียนกันถ่ายทอดกันในหมู่คนจำนวนหยิบมือเดียว ในขณะที่โคโดคันตอนนี้ แมสสุดๆ) ยูโดก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ถูกทำให้แพร่หลายยิ่งขึ้นไปด้วยการทำให้เป็นพลศึกษา ก็ยิ่งมีจำนวนคนเรียน มีความรับรู้ในระดับสังคมส่วนรวมมากขึ้นๆ
แต่ก็ยังมีสำนักยูยิตสูสำนักหนึ่ง อาจหาญกล้าท้าประลองกับโคโดคัน!
นั่นคือสำนักที่ชื่อว่า ฟุเซ็นริว (不遷流 แปลตรงตัวว่า “สำนักไม่เคลื่อน” จริงๆ แล้ว “ฟุเซ็น” เป็นชื่อในทางธรรมของ ทาเคดะ โมสุไง 武田物外 ซึ่งเป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก) ซึ่งก็เป็นสำนักโบราณที่สอนวิทยายุทธรวม คือมีทั้งวิชามือเปล่าและวิชาอาวุธ
เรื่องของเรื่องคือ ทานาเบะ มาตาเอมอน (田辺又右衛門) เจ้าสำนักฟุเซ็นริวรุ่นที่สี่ ได้ท้าสู้กับนักยูโดของโคโดคัน (ว่ากันว่าจริงๆ ทีแรกแค่อยากจะประลองแบบตัวๆ แต่ไปๆ มาๆ ลามไปเป็นการประลองระหว่างสำนักเฉย) อะไรก็ไม่เด็ดเท่ากับว่า ทานาเบะนั้น เขาว่ากันว่า เก่งกาจเรื่องท่านอนมากจนได้ฉายาว่า “เนวาซ่าทานาเบะ” (ทานาเบะท่านอน) เลยทีเดียว
ทานาเบะ มาตาเอมอน เจ้าสำนักฟุเซ็นริวรุ่นที่ 4 (ที่มา wikipedia)
แน่นอนว่า นักยูโดของโคโดคันในยุคนั้น ก็เหมือนกับยูโดยุคนี้นี่แหละครับที่เป็น “จ้าวแห่งท่าทุ่ม” แต่ทานาเบะสู้ด้วยกลยุทธ์ที่ ให้ตายสิ หลักคิดมันเหมือนกับบราซิลเลียนยูยิตสูชัดๆ คือ ไม่ได้คิดชิงดีชิงเด่นกันแค่ทุ่มแล้วจบ แต่ลากให้เกมมันไปจบบนพื้น จับรัดจับล็อกเอาจนยอมแพ้ตบแท็ป ในการประลองระหว่างสำนักนั้น คนของฟุเซ็นริว ใช้วิธี “นั่งลงกับพื้น” ทำให้จะเข้าไปจับทุ่มเอาแต้ม (อิปป้ง) ก็ทำไม่ได้
…ให้ตายเหอะ ภาพแบบนี้ เหมือนเวลาผมเล่นกับหลายคนในยิม พอผมคิดจะพุ่งเข้าจับ บางคนนี่นั่งลงเลย (หรืออาจจะ pull guard) โดยไม่ยอมมาเล่นชักเย่อกับผม ให้ตายสิ นี่มันเรื่องเมื่อร้อยปีก่อนเหรอเนี่ย ยังกับบนเบาะ BJJ สมัยนี้เปี๊ยบ
ผลจากการเจอกลยุทธ์แบบนี้เข้าไป ว่ากันว่าปรมาจารย์คาโน่ถึงกับเชิญให้ทานาเบะสอนวิชา “ท่านอน” ให้กับศิษย์โคโดคัน อย่างไรก็ดี ทานาเบะนั้นพยายามเลี่ยงที่จะ “ไม่เข้า” สำนักโคโดคันอย่างเป็นทางการ (ประมาณว่ารับจ้างสอนให้ แต่ไม่ยอมย้ายพรรคเปลี่ยนสีเสื้อว่างั้น) คุโรดะ ทาเคชิ นักประวัติศาสตร์ยูโดถึงกับขนานนามทานาเบะว่าเป็น “นักยูยิตสูผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้าย”
แต่อย่างไรก็ดี ความจริงที่ว่า เมื่อสุดท้ายปมเด่นของสำนักฟุเซ็นริวคือ “ท่านอน” นั้น ถูกโคโดคันยูโดได้ไปแล้ว มันก็ไม่ต่างจากธุรกิจใหญ่ๆ ที่เข้าซื้อสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่กำลังเด่นขึ้นมาเพื่อเอา “โนว์ฮาว” ไป นั่นแหละครับ สุดท้ายบริษัทใหญ่กว่าทุนหนากว่าก็เอาโนว์ฮาวตรงนั้น มาทำใหม่ “แปะป้ายยี่ห้อใหม่” ขายในฐานะสินค้าของตนเพื่อเรียกความนิยมและทำเงินได้อยู่ดี ฉันใดก็ฉันนั้น บางทีซื้อโนว์ฮาวอย่างเดียวไม่พอ ซื้อตัวคนไปอีกด้วยเนี่ย…
ดังเรื่องราวของนักยูยิตสูที่ชื่อ ทานิ ยูกิโอะ (谷幸雄) ที่เกิดขึ้นในอังกฤษ ห่างจากญี่ปุ่นไปไกลโพ้น
ทานิ ยูกิโอะ (ที่มา Facebook)
(หากท่านผู้อ่านเคยอ่านที่ผมเขียนรีวิวเรื่องการ์ตูน “ลุยแหลกเกินหลักสูตร” มาแล้ว ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับที่เหมือนกับเอาเนื้อหาเดิมมากล่าวซ้ำ แต่เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาตอนนี้ ผมขออนุญาตท่านผุ้อ่านละกันนะครับ)
ทานิ ยูกิโอะนั้น แรกเริ่มเดิมที่น่าจะฝึกยูยิตสูสำนักเท็นจินชินโยริว (天神真楊流) แบบเดียวกับคนในครอบครัวที่ฝึกยูยิตสูสำนักนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่ แต่ก็มีความมักคุ้นกับทานาเบะ มาตาเอมอน เจ้าสำนักฟุเซ็นริวรุ่นที่สี่ด้วย (บ้างก็ว่าทานาเบะเป็นเพื่อนกับพ่อของทานิ) ก็น่าจะได้เรียนวิชาสำนักฟุเซ็นริวด้วย (ไม่แปลกสำหรับสมัยนั้นที่คนแวดวงนี้จะผ่านมามากกว่าหนึ่งสำนัก ท่องยุทธภพเก็บวิชาไปเรื่อยๆ)
มูลเหตุของการมาที่ลอนดอนก็เพราะถูกนาย Barton-Wright ชักชวนให้มาเป็นครูสอนยูยิตสูในโรงเรียนของนายบาร์ตัน แต่ต่อมาโรงเรียนก็เจ๊งไป ทานิก็เลยต้องไปยึดอาชีพแสดงการปล้ำสู้โชว์ตามผับตามบาร์ แนวๆ ท้าคนให้จ่ายตังมาลองสู้ ใครสู้ชนะรับเงินรางวัลไปเลย (เป็นวิถึการหากินของนักสู้ข้างถนนยุคนั้น ฟังแล้วก็เหมือนกินข้าวมันไก่จานยักษ์ใครกินหมดเอาเงินรางวัลไปเลย) ที่เจ็บก็คือ ใครมาท้าลองสู้ ต้องใส่ “กิ” นะ ใส่เสื้อแบบเสื้อยูโด แน่นอน ก็หวานหมู เข้าทางเลยสิครับ สำหรับวิชายูยิตสู (แน่นอน รวมถึง BJJ ด้วย) เสื้อนี่แหละคืออาวุธดีๆ นี่เอง ดึงชายเสื้อมามัดแขนมัดคอคนที่ใส่เสื้อนั้นอยู่ก็ได้ หากินตรงนี้มาหลายปี จับฝรั่งตัวโตๆ ทุ่มๆ รัดๆ ไปว่ากันว่าเป็นพันคน (เพราะอาทิตย์นึงก็มีมากันสี่ซ้าห้าสิบคนแล้ว) นอกจากนี้ทานิก็ยังท้าสู้พวกนักมวยปล้ำอาชีพด้วย แน่นอน ทานิเป็นคนตัวเล็กเมื่อเทียบกับฝรั่ง (สูง 168 ซม.) หลายครั้งที่ต้องโดนอัดลงไปนอนหลังติดพื้น แต่ก็สวนด้วยการรัดคอรัดแขนเอาชนะได้ (อารมณ์คงคล้ายๆ การซับมิชชั่นจากโคลสการ์ดละมั๊ง? พูดในฐานะที่ผมเรียน BJJ อ่ะนะ)
ไฮไลท์ของเรื่องคือ พอถึงจุดหนึ่งที่ทานิเลิกอาชีพปล้ำโชว์ สอนอยู่ที่โรงเรียนสอนยูยิตสู ก็ประจวบเหมาะกับการที่ตอนนั้นปรมาจารย์คาโน่มาเดินสายที่อังกฤษเพื่อที่จะดูลู่ทางขยายแฟรนไชส์ “โคโดคันยูโด” พอดี ก็เลยมีการเสนอดีลว่ายินดีจะช่วยซัพพอร์ต แต่ว่า ต้องแปะป้ายชื่อยี่ห้อว่าสอน “ยูโด” นะ ซึ่งทานิก็รับครับ พอรับปั๊บ ได้รับการอวยยศเป็น “สายดำสองดั้ง” แห่งโคโดคันยูโดทันใด กลายเป็นครูสอนยูโดเต็มตัวไปเลย ต่อมาได้เลื่อนขั้นจนถึงสายดำสี่ดั้ง…
…เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้…
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก บริษัทใหญ่เข้าซื้อสตาร์ทอัพดาวรุ่ง ถือเป็นปรากฎการณ์ปกติที่เห็นได้ทั่วไปครับ และด้วยเหตุนี้ ยูโดจึงไม่จบแค่เป็น “หนึ่งในใต้หล้า” ฟ้าเมืองญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังโกอินเตอร์ไปถึงเมืองฝรั่งได้ด้วย จริงๆ แล้วโมเดลการอวยยศ ให้สายดำ “เกียรตินิยม” เพื่อดึงคนเข้ามาสู่ป้ายยี่ห้อ “ยูโด” นั้น เมื่องไทยก็มีประวัติศาสตร์แบบนี้ด้วยเหมือนกันนะครับผม ดังเรื่องของครูทิม อติเปรมานนท์ ยอดนักมวยในยุคเวทีมวยสวนกุหลาบ ซึ่งได้เรียนวิชายูยิตสู (สมัยนั้นสะกดว่า “ญูญิตสู” โอ้โหว) ด้วยในฐานะวิชาพลศึกษาอย่างหนึ่ง (ในฐานะที่เป็นศิษย์ของพระอาจารย์หม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ซึ่งทรงศึกษาวิขา “ญูญิตสู” มาจากประเทศฝรั่งเศส! อันนี้น่าสนใจมากๆ เพราะไทยเรามารับวิชานี้แล้วสอนกันเป็นกิจลักษณะหลังจากที่วิชานี้ได้แพร่ไปในยุโรปแล้ว) เรื่องที่ครูทิมได้รับ “สายดำเกียรตินิยม” จากโคโดคันนั้น เนื้อความตามข้อความที่ผมจะขอยกมาดังนี้ (ที่มา วิกิพีเดีย)
ขึ้นชื่อว่าเป็น “โชดัน” ของยูโด สายดำเป็นเสมือนของศักดิ์สิทธิ์ของวิชายูโด สำนักโกโดกวันจะไม่ยอมให้สายดำแก่บุคคลใด ถ้าหากบุคคลนั้นไม่มีความรู้ในวิชายูโดอย่างจริงจัง เฉพาะชาวต่างประเทศก็ยิ่งถูกกวดขันเป็นพิเศษขึ้นอีก สายสามารถเข็มขัดดำแบ่งออกเป็นชั้นๆ ๙ ชั้น เริ่มด้วยชั้นที่ ๑ หรือ โชดัน จนถึงชั้นที่ ๙ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ชั้น ๑-๕ เข็มขัดดำล้วน, ชั้น ๖-๘ มีสิทธิที่จะใช้ผ้าคาดเอวสีแดงสลับขาวแทนสีดำ เรียก “ศาสตราจารย์ยูโด”, ชั้น ๙ ใช้สีแดงล้วนแทนสีดำและมีคนเดียวในพิภพคือ จิโกโร คาโน ในประเทศไทย เกียรติคุณของครูทิม อติเปรมานนท์ แพร่หลายทั่วประเทศ บรรดาครูพลศึกษาที่สอบอยู่ตามโรงเรียนทั่วราชอาณาจักรล้วนเป็นลูกศิษย์ครูทิมทั้งสิ้น ต่อมาชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยุ่ในเมืองไทยได้เชิญศิษย์ครูไปแข่งขันในโรงยิมของชาวญี่ปุ่น ก็แปลกใจว่า เห็นพวกเราคาดเข็มขัดขาว แต่สามารถเอาชนะเขาซึ่งคาดสายสูงกว่าได้ แม้แต่ครูของเราก็คาดสีขาวเหมือนกัน เป็นข่าวไปถึงสำนักโกโดกวัน ณ กรุงโตเกียว ท่านจิโกโร คาโน ปลาบปลื้มใจที่วิชาของท่านแพร่หลายมาถึงเมืองไทย ได้ส่งศาสตราจารย์ยูโด ฟูมิมาโร คุโรยามะ มาพร้อมกับศิษย์สายดำอีก ๒ ท่าน มาเป็นทางการผ่านสถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยติดต่อกระทรวงศึกษาธิการขอชมการเล่นญูญิตสูของบรรดาศิษย์ครูทิม โดยเล่นกันที่ตึกสามัคยาจารย์สมาคม ศาสตราจารย์ ฟูมิมาโร คุโรยามะแปลกใจมาก ที่เห็นพวกเราเล่นได้ดีเกินคาดสมคำเล่าลือ เพื่อสัมพันธไมตรีอันดีต่อไปภายหน้า สำนักโกโดกวันของท่านศาสตราจารย์จิโกโร คาโน ได้มอบสายดำ(โชดัน) เกียรตินิยมมาพร้อมกับท่านเพื่อมอบให้แก่ คุณครูทิม อติเปรมานนท์ เป็นคนแรกของไทยหรือของโลกทีเดียว เพราะไมมีชาวต่างประเทศคนใดที่ท่านจิโกโร คาโนจะส่งสายดำนี้ไปให้เลย
(ข้อความในวิกิพีเดียข้างบนนี้ ผมตรวจดูแล้ว เป้นข้อความที่ย่อจากข้อความที่อาจารย์สิทธิผล ผลาชีวิน ได้เขียนไว้ในหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ รองอำมาตย์ตรีทิม อติเปรมานนท์ ณ เมรุวัดหัวลำโพง 2 ตุลาคม 2509 จากข้อความในหนังสือเล่มเดียวกัน ระบุว่า ครูทิมได้สายดำ “เกียรตินิยม” จากโคโดคันเมื่อปี พ.ศ. 2481)
และแล้ว ชื่อของวิชา “ญูญิตสู” ในไทย ก็ถูกแทนที่ด้วยชื่อว่า “ยูโด” นับแต่นั้นเป็นต้นมา (สำหรับเรื่องไทม์ไลน์การเผยแพร่เข้ามาของยูยิตสู จนถึงจุดที่เปลี่ยนชื่อกลายเป็นยูโดในไทยนั้น ขอให้ลองดูในหน้าเว็บของ สมาคมยูโดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครับ จะเห็นลำดับเวลาได้
ภาพครูทิมในชุดยูโด (ที่มา อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ รองอำมาตย์ตรีทิม อติเปรมานนท์ อดีตครูโรงเรียนสวนกุหลาบสมัยรัชกาลที่ ๖)
ครับผม เรื่องราวในตอนนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้นะครับ คราวนี้ เอาจริงๆ แล้ว ว่าด้วยเรื่องของศิษย์โคโดคันผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสู” อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ
อ้อ ตอนนี้ “คัมภีร์ห้าห่วง” ฉบับแปลเองอ่านบันทึกเสียงเอง มีใน YouTube Music ด้วยแล้วนะครัย
https://music.youtube.com/playlist?list=PLkjLfj5Sfu9ahDWPVUUVyxg_EEY59ibco
เป็นงานรายสะดวกครับ แบบว่างเมื่อไหร่ก็จะมาอ่านอัดเสียง กะว่าภายในปีคงอ่านจบนะ ๕๕๕ พอกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (3) เมื่อ “โคโดคันยูโด” ผงาดฟ้า
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (2) ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (5) ประวัติและพัฒนาการของวิชาดาบอิไอสำนัก “มุโซจิกิเด็นเอชินริว”
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (4) ยูยิตสูสำนักฟุเซ็น จ้าวแห่งท่านอนที่ถูกโคโดคัน “เทคโอเวอร์”