คั่นรายการ by Lordofwar Nick
“ลุยแหลกเกินหลักสูตร” การ์ตูนที่เขาว่าทำให้เด็กไทยถึงกับนิ้วหักมาแล้ว!!
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ก็ขอมา “คั่นรายการ” กับการรีวิวการ์ตูนกันอีกครั้งนะครับ วันนี้จะขอพูดถึงการ์ตูนที่ผมเคยอ่านสมัยเรียนอยู่มหาลัย
เขาว่าเคยทำให้เยาวชนของชาติไทยเรานิ้วหักมาแล้ว (แว๊ก) ซึ่งใครจะว่าไงก็ช่าง แต่ผมอยากจะบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้แหละที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมอย่างแรง จนทำให้ผมหันมาสนใจเรียนวิชา “สายเล่นข้อต่อ” เลยหันมาเรียนไอคิโด
แล้วก็เลิกเรียนไอคิโดแล้วหันมาเรียน BJJ แทน อารมณ์ประมาณว่าอยากจะเป็นเหมือน มาจิมะ เรย์ (真島零) พระเอกของเรื่องที่เป็นผู้ใช้วิชา “ยูยิตสูสำนักยินไน” (陣内流柔術) เสียจริงๆ ฮา)
สำหรับเด็กๆ รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่วัยรุ่นยุค 90 อย่างผม อย่าเพิ่งงง เดี๋ยวผมจะเหลาให้ฟังว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกันอะไร
จงบรรยายรายละเอียดและเนื้อเรื่องย่อของการ์ตูน “ลุยแหลกเกินหลักสูตร” ภายในหนึ่งย่อหน้า (10 คะแนน)
อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่า การ์ตูนเรื่องนี้ตอนที่ผมอ่านตอนอยู่มหาลัย (อ่านเอาใน C-KIDS และก็อ่านรวมเล่มด้วย) บอกตรงว่าๆ วิชา “ยูยิตสูสำนักยินไน” ที่พระเอกใช้ในเรื่องนั้นเป็นอะไรที่ว้าวมาก ว่าเป็นวิชาที่ครบเครื่องมีทุกอย่างทั้งเตะต่อย ทุ่ม จับล็อค มีกระทั่งท่ากระแทกกำลังภายใน (ท่าพิฆาตพันคน 千人殺 เซ็นนินโกโรชิ) ซึ่งมันทำให้พระเอกนั้นท้าชนได้ทุกศาสตร์การต่อสู้ในโลกยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
แต่ว่าสำหรับเด็กไทยยุคนั้น ไม่มีกระบวนท่าไหนที่เป็นที่จดจำเท่ากับท่ากำหมัดประหลาดที่เรียกว่า “กระจับเหล็ก” (鉄菱 เท็ตสึบิชิ) อีกแล้ว ก็ไอ้ท่ากำหมัดเอานิ้วโป้งซุกเข้าไปในกำปั้น แล้วข้อนิ้วกลางโผล่ นี่แหละที่ทำให้เด็กไทยนิ้วหัก ท่านี้เลยครับ 555
โอ้โฮเฮะ พระเอกของเราต่อยหมัด “เกาลัดเหล็ก” ตูมเดียวกระเด็นเลยครับแต่เด็กๆ ห้ามเลียนแบบน๊ะเด๋วนิ้วโป้งหัก
เพราะฉะนั้นภาพของพระเอกมาจิมะ เรย์ ที่ใส่ชุดดำก็เลยกลายเป็นอะไรที่อยู่ในใจมาตลอด 55 พอตอนหลังได้เรียนไอคิโดที่สำนักอรรถยุทธ์ก็เลยเป็นอะไรที่โดนใจมากกก ประมาณว่าไม่ได้เรียนยูยิตสูสำนักยินไน (เพราะมันไม่มีอยู่จริงนาจา) เรียนไอ้ที่เหมือนจะ คล้ายๆ กันก็ยังดี (ฮา)
มาถึงตอนนี้ เล่น BJJ อยู่มีแค่ชุดสีขาวกับน้ำเงิน กะว่าไว้มีเงินเหลือใช้ จะไปถอย “ชุดดำ” มาใส่ซะหน่อย พอให้ครึ้มใจว่าเรานี่เป็นพระเอกกะเขาเหมือนกัน 55 (ทุกวันนี้ก็เรียน “ยูยิตสู” เหมือนกันนะ แค่คนละสำนักเฉยๆ 55555) อ้อ ในขณะที่ยูโดอนุญาตให้ใส่ชุดฝึกแค่สีขาวหรือสีน้ำเงินเท่านั้น บีจเจอนุญาตให้ใส่ชุดฝึกสีดำได้ด้วยนะครับ
การ์ตูนเรื่องนี้ผมได้มาอ่านอีกทีก็เมื่อปีที่แล้วเองครับ ซึ่งก็เป็นฉบับตีพิมพ์ใหม่ ลิขสิทธิ์ใหม่ ในชื่อใหม่ “ลุยแหลกแหกหลักสูตร” เนื่องจากตัวคนเขียนเองย้ายสำนักพิมพ์ด้วย (จากชูเอย์ฉะเป็นนิฮอนบุนเกย์ฉะ) ฉบับลิขสิทธิ์ใหม่ 10 เล่มจบ (เดิม 15 เล่มจบ) ในไทยก็เลยตีพิมพ์ใหม่โดยสำนักบูรพัฒน์ (ซื้อลิขสิทธิ์ใหม่จากสำนักพิมพ์นิฮอนบุนเกย์ฉะ) ซึ่งผมก็ดีใจนะครับที่ได้มีโอกาสกลับมาอ่านการ์ตูนที่ทำให้ผมมีความฝันที่อยากจะเรียกเท่ๆ ว่า JIUJITSU DREAM อีกครั้งในรอบยี่สิบปี!
แต่บอกตรงๆ (ด่าได้แต่อย่าแรง) นะครับว่า ขัดใจกับสำนวนแปลในฉบับลิขสิทธิ์ใหม่มากมาย โดยเฉพาะชื่อกระบวนท่า อย่างเช่นท่าทุ่ม 雷車 “อิคาซึจิกุรุมะ” ฉบับเดิมแปลไว้ว่า “กงล้อสายฟ้าฟาด” พอเป็นฉบับใหม่ ดันแปลเป็น “รถไฟฟ้า”….เอิ่มมม
แต่ก็นั่นแหละครับ คนเราพอเวลาผ่านไป ถึงเราจะอ่านอะไรเดิมๆ ที่เราเคยอ่าน แต่ด้วยความที่เวลามันผ่านไปอีกตั้งยี่สิบปีให้หลัง (แน่ะ) และตัวเราตอนนี้ก็ไม่เหมือนตัวเราตอนนั้น ตัวเราตอนนั้นก็เป็นแค่เด็กมหาลัยเกรียนๆ แค่ได้เรียนอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้แค่ผิวเผิน ส่วนตัวเราตอนนี้ก็ ด้วยความที่สองสามปีหลังมานี้อยู่กับ BJJ เลยทำให้สนใจศึกษาเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น
ฉะนั้นผมขอกล่าวถึงมุมมองและข้อวิจารณ์ที่มีต่อการ์ตูนเรื่องนี้ “ด้วยสายตาและความรู้ความเข้าใจ ณ ปัจจุบัน” นะครับ ซึ่งในคราวนี้อาศัยข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ Mastering JuJitsu ของ Renzo Gracie มาประกอบด้วยนะครับ
ประเด็นแรก ที่ผมอยากจะกล่าวก็คือ การ์ตูนเรื่องนี้ถึงจะเรียกได้ว่าเป็น “การ์ตูนบู๊ตามขนบของการ์ตูนโชเน็น” เด๊ะๆ จำพวกที่ว่าพระเอกต้องเป็นหนุ่ม ม. ปลายที่ดูเหมือนคนไม่ค่อยได้เรื่อง เกเร ไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ นิสัยตลกบ้าๆ บอๆ ทะลึ่งตึงตัง ชอบอกหักรักคุด (อันนี้ใช่ผมเลยนะ 55) แต่ก็มีความมุ่งมั่นพยายาม อยากจะเก่งขึ้นกว่าเดิมเสมอ รักความถูกต้อง รักเพื่อน กล้าท้าชนแม้กับคนที่เก่งกว่ามากๆ
แล้วเนื้อเรื่องก็จะต้องปูมาแบบว่าศัตรูนี่เก่งมากๆ พระเอกจะชนะไหวไหม แล้วพระเอกก็ต้องฝึกวิชาให้เก่งขึ้น ต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรค เรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจ แล้วยามท้อถอยก็จะต้องมีเพื่อน (รวมถึงศัตรูในวันวานที่กลายเป็นมิตรในวันนี้) มาให้กำลังใจ สู้ๆ นะ ก่อนจะไปเจอกับศึกสุดท้าย บลาๆๆ ก็ตาม แต่เนื้อหาในการ์ตูนนั้นมีสารที่ผู้เขียนอยากจะสื่ออยู่ ซึ่งในฐานะที่ผมเรียน BJJ นี่คือแบบ ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนะครับ ซึ่งจะผมพูดถึงในประเด็นต่อไป
ประเด็นที่สอง ที่ผมอยากจะกล่าวก็คือ การ์ตูนเรื่องนี้ผู้เขียนต้องการจะสื่อถึงการเปรียบเทียบเปรียบมวยกันระหว่าง “วิชาต่อสู้แบบผสมผสาน” ที่ต้องมีการต่อสู้ทุกระยะ (ตั้งแต่การเตะต่อย ปล้ำทุ่ม รัดข้อต่อ) กับ “วิชาต่อสู้ตามแบบแผน” (ที่เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างแบบแทบจะโดดๆ เช่นยูโดเน้นทุ่ม เทควันโดเน้นเตะ) ซึ่งถ้าพูดกันแบบไม่เกรงใจแล้ว “ยูยิตสูสำนักยินไน” เนี่ย มันก็คือ MMA ในชื่อแสร้งว่าวิชาโบราณนั่นแหละ (บางท่าในการ์ตูนนี่เห็นๆ เลย มี double-leg takedown ไหนจะ kneebar อีก)
แล้วการที่จับเอายูยิตสูสำนักยินไนมาชนกับคาราเต้ ชนกับยูโด ชนกับเทควันโด มันก็อารมณ์เดียวกับ UFC รุ่นแรกๆ ยังไงยังงั้น (ที่เอานักสู้ศาสตร์วิชาต่างๆ มาชนกันแล้วผลปรากฎว่า “ยูยิตสู” สิแน่กว่าใคร จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่ BJJ บูมในอเมริกาจนวิชาถูกเผยแผ่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งขนาดผมอยู่เชียงใหม่ยังได้เรียน ถึงจะช้าไปหน่อยอายุขึ้นเลขสี่แล้วก็เหอะ)
เป็นการจับเอามาชนกันเพื่อจะแสดงให้เห็นว่า วิชาสายจับสายปล้ำ (grappling) นั้น สามารถ “สยบ” วิชาสายเตะต่อย (striking) ได้ (ดังคำที่ว่า “อ่อนพิชิตแข็ง” 「柔よく剛を制す」ยู โยคุ โก โวะ เซย์สุ) และวิชาที่ “มีทุกรูปแบบการต่อสู้ในตัว” นั้นเหนือกว่าวิชาที่เน้นแค่รูปแบบการต่อสู้อย่างใดอย่างหนึ่งโดดๆ ซึ่งแนวคิดนี้ในยุค 90 ถือว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่ “ปฏิวัติ” ความเชื่อแบบเดิมๆ เอามากๆ เพราะก่อนหน้านั้นเหมือนกับว่าวงการศิลปะการต่อสู้นั้น “ไม่ให้ราคา” กับพวกวิชาสายคว้าจับ สายปล้ำล็อค (เพราะอะไรเดี๋ยวจะบอกต่อไปนะครับ)
ถ้าใครพอจะรู้ประวัติของมาเอดะ มิตสึโยะ ละก็ อยากจะบอกว่าประวัติหรือเรื่องราวของอาจารย์โจโนอุจิ มาซาชิ เจ้าสำนักยินไนรุ่นที่แปดเนี่ย เอิ่ม มันล้อเลียนมาเอดะ มิตสึโยะ เอามากๆ ไหนจะเรื่องไปตั้งรกรากที่บราซิลอีก อะไรจะ “คนละคนเดียวกัน” ขนาดนั้น
เอิ่ม จะเอาประวัติของ มาเอดะ มิตสึโยะ บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสูมาล้อเลียน ไม่ได้นะ 555
ประการที่สาม ว่าด้วยเรื่องของการที่ “ยูยิตสูโบราณ” นั้น ไม่ได้รับการให้ราคา มันมีสองแง่คือในแง่ทางสังคม และในแง่ของวิธีการเรียนการสอน ในแง่สังคมคือพอปลายยุคเอโดะ ด้วยความที่สำนักวิชายูยิตสูพยายามจะ “ขายของ” หาลูกศิษย์เข้าสำนัก วิธีที่พวกนี้คิดได้ก็คือไปท้าตีท้าต่อยกับสำนักอื่น ประลองกันข้างถนนซึ่งสมัยนั้นมักจบกันด้วยการฆ่ากันตาย เพื่อจะโชว์ว่าสำนักตัวเองเนี่ย เด็ด มีวิชาดี วิธีแบบนี้ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองพากันมองว่า คนเรียนยูยิตสูเป็นพวกอันธพาล สังคมก็พากันรังเกียจวิชายูยิตสู
ส่วนในแง่ของการเรียนการสอนนั้นก็เรียกได้ว่าลูกทุ่งกันเต็มทน ใครเข้ามาใหม่เจอรุ่นใหญ่กว่าทุ่มเข้าให้ รัดเข้าให้ เล่นกันแบบน้ำใจนักกีฬาไม่รู้จัก จะเอาชนะกันอย่างเดียว ก็กลายเป็นว่ามาเรียนแล้วตายเจ็บพิการกันไป ฉะนั้นมันก็มีภาพลักษณ์ป่าเถื่อน ไม่ใช่ของที่คนดีๆ เขาจะเข้าไปข้องแวะ หนักเข้าไปอีก
อีกอย่างหนึ่งคือการที่กล่าวอ้างว่า ยูยิตสูนั้นเต็มไปด้วยอันตรายจนใช้ซ้อมประลองกันไม่ได้ ก็เลยทำให้ต้องซ้อมแบบเน้นท่วงท่าจำลองกัน หรือซ้อมจับคู่แบบที่ไม่มีแรงต้าน คือแบ่งเป็นฝ่ายเข้าทำอย่างเดียว (โทริ 取り) อีกฝ่ายคอยรับอย่างเดียว (อุเคะ 受け) ไม่มีการขัดขืน (ซึ่งวิธีการฝึกแบบนี้ยังพบได้ในไอคิโด) มันก็เลยกลายเป็นว่าถูกคนมองว่าดีแต่ทำท่า ใช้สู้จริงไม่ได้
นี่ก็เลยเป็นจุดที่ ยูโด ได้เข้ามา “ปฏิวัติ” ทั้งรูปแบบการฝึกการเรียนและภาพลักษณ์ จนได้รับการยอมรับจากสังคม ยูโดเข้ามาปฏิวัติอย่างไร?
หนึ่ง ก็คือการให้มีระบบการแบ่งสีสาย คือสายขาวกับสายดำ ให้รู้ว่าคนนี้มาใหม่นะ ยังไม่ค่อยรู้อะไรนะ คนนี้ฝึกมาแล้วเป็นวิชาแล้ว เพื่อจะปฏิบัติต่อแต่ละคนได้ถูก ไม่ใช่เอามือใหม่ไปทุ่มโครมๆ ตายห่านกันพอดี
สอง ก็คือการลบเหลี่ยมความอันตรายของวิชาลงไปให้อยู่ในระดับที่ “ซ้อมประลอง” แบบที่ออกแรงยื้อยุดกันเต็มที่ได้ (คือ รันโดริ 乱取り ที่ในบีเจเจเรียกว่า free sparring) ซึ่งทำให้ผู้ฝึกรู้จักที่จะพลิกแพลงหาเหลี่ยมมุมเข้าทำกับคู่ต่อสู้ได้แคล่วคล่อง เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้งานจริง
ฉะนั้นในการ์ตูนเรื่องนี้ก็เลยยังมีคำพูดที่ปรามาสว่า ยูยิตสูน่ะเป็นแค่วิชาข้อต่อหักกระดูกซึ่ง “ใช้สู้จริงไม่ได้” (ซึ่งคนพูดคำนี้ในเรื่องก็คือซากุระงิ กุนยิ เจ้าสำนักคาราเต้โครินคัง ซึ่งเคยโดนอาจารย์ของพระเอกอัดเข้าให้ เลยกลายเป็นความแค้นระหว่างสำนักมาถึงรุ่นพระเอก) เพราะคนในสมัยนั้น (จนถึงยุค 90) คนยังติดภาพว่า วิชาต่อสู้ = วิชาเตะต่อย ซึ่งเป็นภาพที่ติดมาจากวงการกีฬาด้วย (เช่นมวยสากล มวยไทย คาราเต้สายฟูลคอนแทคที่เน้นเตะต่อยใส่กันเอาให้หน้าบากปากบาน) จากหนังบู๊ด้วย
แต่เนื่องจากการ์ตูนเรื่องนี้ต้องการจะนำเสนอแนวคิดที่ว่า “วิชารวมศาสตร์ (คือมีทั้งเตะต่อย จับทุ่ม ล็อคข้อต่อ) นั้นเหนือกว่าวิชาที่เรียนแต่เตะต่อยอย่างเดียว” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่า “ใหม่” ในยุคนั้น (ซึ่งน่าจะมาจาก UFC นี่หละครับ UFC มีฝรั่งบางคนเขาก็พูดเหมือนกันว่าเหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโฆษณาสรรพคุณของ “บราซิลเลียนยูยิตสู” ว่าดีเด่นกว่าวิชาอื่น บางคนถึงขนาดใช้คำว่า conspiracy theory เลยทีเดียว
แต่ก็นั่นแหละครับ หากวันนี้บราซิลเลียนยูยิตสูนั้นไม่ได้แพร่หลายไปทั่วโลก แพร่หลายมาถึงเมืองไทยละก็ ชีวิตผมจะเป็นไงก็ยังไม่ทราบ ใครจะว่าไงก็ช่าง แต่อย่างน้อย BJJ มันก็ดีสำหรับชีวิตผม) ผ่านความเก่งกาจของพระเอก เพราะฉะนั้น หากจะบอกว่า เพราะการ์ตูนเรื่องนี้แหละ ในที่สุดชีวิตผมเลยได้ต้องมาเรียน BJJ แล้วละก็ อาจจะไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลยไป ก็ได้นะครับ
สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า การ์ตูนก็ไม่ต่างจากวรรณกรรมอื่นๆ ตรงที่ว่าอาจจะอ่านแล้วสร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนกัน และแรงบันดาลใจนั้นอาจจะอยู่กับเรามาได้แบบข้ามเวลามาเป็นสิบยี่สิบปีเลยก็ได้ ในเรื่องนี้ มะจิมะ เรย์ พูดอยู่เสมอว่าเขามีความฝันที่จะเป็น “บุรุษสุดแกร่ง” เหมือนกับโจโนอุจิ มาซาชิ ผู้เคยกล้าข้ามน้ำข้ามทะเลไปท้าชนกับนักมวยปล้ำฝรั่งมาแล้ว
ส่วนตัวผมเองก็มีฝันเหมือนกัน ฝันว่าเป็นคนอายุเลขสี่ที่ฝึกจนได้สายดำบีเจเจก่อนอายุ 55 (คือก่อนเกษียณจากงาน) ให้เหมือนกับ Mark ผู้ก่อตั้งยิม Pure Grappling ที่ผมทุกวันนี้เล่นอยู่ ผมได้แค่นั้นก็ถือว่าเป็นความฝันอันสูงสุดแล้ว (ฮา)
ก่อนจะจากกันวันนี้ขอพูดถึงอีกประเด็นหนึ่งซึ่งท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัย ในเรื่องของชื่อวิชา “บราซิลเลี่ยนยูยิตสู” ซึ่งที่ผ่านมาฝรั่งก็มักเรียกเอาง่ายว่า Jiu-Jitsu ยูยิตสู ซึ่งเป็นชื่อที่ค่อนข้างจะคลุมๆ และก่อให้เกิดความสับสนกันได้ง่ายๆ เช่นเอาไปสับสนกับ “ยูยิตสูโบราณ” (古流柔術 โคะริวจูจุตสุ) ที่มีมาก่อนยูโดโคโดคัน หรือเอาไปสับสนกับ Sport Ju-Jitsu ซึ่งเป็นกีฬาเกิดใหม่ที่ฝรั่งทางยุโรปคิดสร้างขึ้นมา หลายครั้งที่ผมพูดชื่อวิชาให้คนฟังแล้วคนก็ไม่เก็ตว่ามันคืออะไร หรือมันเป็นยังไง ซึ่งผมก็ต้องพูดทีเล่นทีจริงไปว่า BJJ น่ะมันก็คือยูโดสาย ฝ. ที่ผสมมวยปล้ำเข้าไปด้วย ฟังดูเหมือนล้อเล่น ล้อเลียน แต่มันมีเค้าความจริงครับ!
เค้าความจริงข้อที่หนึ่งคือ มันเป็นวิชาที่มาเอดะ มิตสึโยะ สอนให้พวกพี่น้องตระกูลเกรซี่ครับ และมาเอดะนั้นก็เป็นศิษย์ยูโดโคโดคัน เค้าความจริงข้อที่สองคือ เมื่อวิชาบราซิลเลียนยูยิตสูได้แพร่หลายในอเมริกานั้น ความที่คนอเมริกันชอบมวยปล้ำ และคนที่เล่นบีเจเจในอเมริกานั้น หลายคนเป็นมวยปล้ำเก่า (คือเคยหัดเคยเรียนมวยปล้ำกันมาอย่างน้อยก็ตอนไฮสคูล) พอมวยปล้ำเก่าเรียนบีเจเจได้สายดำได้เป็นอาจารย์สอนแล้วก็มักเอาท่ามวยปล้ำมาใช้ในบีเจเจด้วย
มาถึงตรงนี้อาจมีบางคนถามว่า แล้วทำไมวิชาที่มาเอดะสอนถึงเรียกว่ายูยิตสู ทำไมไม่เรียกว่ายูโดล่ะ? ต้องเข้าใจว่า…
หนึ่ง ถึงแม้มาเอดะจะเป็นนักยูโด และก็สอนวิชาต่อสู้โดยมียูโดเป็นแกนหลัก แต่แกเองก็หยิบเอาท่ายูยิตสูโบราณบ้าง ท่ามวยปล้ำบ้าง (จากประสบการณ์ที่เคยเจอคู่ต่อสู้มา) เอามาใช้มาสอนด้วย คือไม่ได้สอนแต่ยูโดเพียวๆ
สอง แกมาตั้งสำนักสอนเป็นเอกเทศของแก ไม่ได้เป็นตัวแทนของโคโดดันหรือรับแฟรนไชส์ป้ายยี่ห้อว่าเป็นสาขาของโคโดคันมาสอนนักเรียน (เรื่องนี้อาจเปรียบเทียบได้กับกรณีของ ทานิ ยูคิโอะ (谷 幸雄) ซึ่งแต่เดิมเป็นนักยูยิตสูสำนักฟุเซ็น (不遷流 ที่ว่ากันว่าเป็นต้นตำรับ “ท่านอน”)
ตอนที่ไปอยู่อังกฤษคิดจะตั้งสำนักสอน อาจารย์คาโน่เจ้าสำนักโคโดคันยูโดมายื่นข้อเสนอว่า จะช่วยเหลืออุดหนุนให้ทานิได้เปิดสำนักสอนเป็นของตัวเองก็ได้ แต่ต้องใช้ป้ายยี่ห้อ “ยูโด” ซึ่งทานิก็โอเคเซย์เยส อาจารย์คาโน่เลยรีบอวยยศ แต่งตั้งให้ทานิเป็นยูโด “สายดำสองดั้ง” เดี๋ยวนั้นทันทีเลย
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ชื่อของวิชาต่อสู้นั้นบางทีมันก็เป็นเหมือนแฟรนไชส์อย่างหนึ่ง และเหตุการณ์นี้ก็เปรียบได้เหมือนบริษัทใหญ่มาชื้อกิจการบริษัทเล็กๆ ดังนั้นยูยิตสูสำนักฟุเซ็นที่ว่ากันว่าเคยชนะศิษย์ยูโดโคคันได้นั้น ก็มีอันถูกควบกิจการด้วยวิธีแบบนี้ แล้วชื่อของยูยิตสูสำนักฟุเซ็นก็มีอันหายไปด้วยประการฉะนี้)
สาม ด้วยความที่แกออกจากญี่ปุ่น ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นนักสู้อาชีพแบบนี้ ถึงแม้ในด้านหนึ่งจะเป็นการสร้างชื่อเสืยงให้ยูโด แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎของสำนักโคโดคัน ตัวแกเองก็คงรู้สึกกระดากใจที่จะใช้ชื่อวิชาว่ายูโด อารมณ์เหมือนศิษย์ที่ออกจากสำนักไปแล้ว (ถึงสำนักโคโดคันจะอวยยศให้ได้ห้าดั้งเจ็ดดั้งในภายหลังก็ตาม) ก็เลยเลี่ยงไปใช้คำกลางๆ ว่ายูยิตสูดีกว่า
ภาพทานิ ยูคิโอะ โชว์ท่าฟลายอิ้งอาร์มบาร์ ปี 1906 (ที่มา wikipedia)
วันนี้เรียกว่าเขียนกันจนเหนื่อยเลยทีเดียว ขอตัวไปเอนหลังแต่เพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (2) “ฮิชิเรียว” 非思量 เมื่อการ “ไม่หยุดคิด” คือทางรอด
#คั่นรายการ “ลุยแหลกเกินหลักสูตร” การ์ตูนที่เขาว่าทำให้เด็กไทยถึงกับนิ้วหักมาแล้ว!!