วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังเขียน “คัมภีร์ห้าห่วง” ลงรายสัปดาห์นั้นผมก็มาคิดๆ ว่า จะเขียนเรื่องอะไรต่อดีนะ แล้วพอดีได้อ่านหนังสือ Mastering Jujitsu ของ Renzo Gracie อ่านแล้วก็ชอบใจว่า มันไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของยูยิตสู “ฉบับรวบรัด” ที่บอกแค่ว่า โอเค ยูยิตสูเกิดจากวิชาที่ซามูไรต้องสู้ในสนามรบใส่เกราะ บลาๆ แต่เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ที่มีสีสันน่าสนใจ และมีความต่อเนื่องมาเป็นลำดับตั้งแต่ก่อนมี “ยูยิตสู” จนถึงยุคเจริญและยุคเสื่อมของยูยิตสูโบราณ การกำเนิด “โคโดคันยูโด” ไปจนถึงการคลี่คลายจาก “ยูโด” มาเป็น “เกรซี่ยูยิตสู” ซึ่งก็ได้คลี่คลายมาเป็น “บราซิลเลียนยูยิตสู” ในปัจจุบัน (จากมุมมองของ “คนดัง” คนหนึ่งของตระกูลเกรซี่) ซึ่งยาวไปถึงการกำเนิด MMA ด้วย เรียกว่าเป็น “ประวัติศาสตร์” ตั้งแต่ยุคโบราณถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
Renzo Gracie (ที่มา renzogracieacademy.com)
ด้วยเหตุนี้ ผมก็เลย อยากจะหยิบยกเนื้อหาที่ได้อ่าน มาย่อย (digest) แล้วมาเล่าสู่กันฟังกับท่านผู้อ่าน โดยพยายามจะเสริมเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจด้วย เพื่อให้คนที่เรียน BJJ ไปถึงคนที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ ได้มีความรู้ ข้อมูล ที่มากพอจะทำให้เกิดการอภิปรายหรือการค้นคว้ายิ่งๆ ขึ้นไป มันน่าเสียดาย ถ้ามาเรียน BJJ แล้ว ไม่รู้รากเหง้าของมัน
ในตอนแรกของซีรี่ส์นี้ ผมจะขอพูดถึง ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เท่าที่เกี่ยวข้องกับการกำเนิดของวิชาต่อสู้ในญี่ปุ่น วิชาการต่อสู้นั้น ก็เหมือนมรดกทางวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างอาหารหรือเสื้อผ้า คือมันเป็นผลผลิตของเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ ทั้งบริบทการใช้สอย การเมือง การรับเอาวัฒนธรรมอื่นเข้ามาๆ ซึ่งมันทำให้วิชาต่อสู้ต่างๆ ของชนชาติต่างๆ มีรายละเอียดต่างกัน (ถึงคนเราจะสองมือสองเท้าเหมือนกันก็เถอะ) ขอให้เข้าใจข้อนี้ไว้ก่อน แล้วจะทำให้เห็นภาพต่างๆ มากขึ้นครับ
ญี่ปุ่นยุคโบราณถึงยุคคามาคูระ
ถ้าพูดอย่างคลุมๆ ตั้งแต่ยุคสถาปนา “ราชวงศ์ยามาโตะ” ไปจนถึงยุคนารา ยุคเฮอัน ด้วยความที่ญี่ปุ่นโบราณนั้นไปรับเอารูปแบบการปกครองแบบมีแว่นแคว้นเหมือนกับจีน ก็เลยได้มีปัญหาแบบเดียวกับจีนไปด้วย กล่าวคือพวกเจ้าเมืองที่กินหัวเมือง มักมีแววกระด้างกระเดื่องกับเมืองหลวง (ฮา) นั่นแหละครับ ความจำเป็นของวิชาต่อสู้ที่ “ใช้อาวุธ” ในสงคราม มันก็ต้องมี
แล้ววิชามือเปล่าล่ะ?
ในบริบทการรบทัพจับศึกยุคโบราณนั้น มันคือเรื่องของการใช้อาวุธ ณ ตอนนี้ วิชามือเปล่ายังไม่ปรากฎบทบาทอะไรนักในสนามรบ แต่ “การต่อสู้ด้วยมือเปล่า” ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั้น เกิดมาในฐานะที่เป็นการประลอง แข่งขันต่อหน้าจักรพรรดิในยุคเฮอัน นั่นคือ “สุไม” (相撲 เขียนตัวเดียวกับคำว่า ซูโม่ นั่นแหละ) ซึ่งเป็นการปล้ำกันแบบที่ “เตะต่อยใส่กัน” ได้ด้วย ดังเรื่องตำนานของนาย ไทมะ โนะ เกะฮายะ (当麻蹴速) ประลองมวยปล้ำกับนาย โนมิ โนะ สุคุเนะ (野見宿禰) ผลคือนายเกะฮายะโดนกระทืบสะเอวหักตาย ส่วนนายสุคุเนะ ต่อมาก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของซูโม่ไป เรื่องประลองกันแบบเตะกันกระทืบกันถึงตายนี้มีอยู่ในหนังสือ นิฮอนโชกิ (日本書紀)
ตำนานเรื่องนี้ อีตาเคย์สุเกะ ก็อุตส่าห์เอามาเขียนในบากิ จนได้นะ 555 (ที่มา Reddit)
อย่างไรก็ดี เมื่อ “สุไม” คลี่คลายกลายมาเป็น “ซูโม่” มันก็เถื่อนน้อยลง กฎกติกามากขึ้น จนกลายเป็นกีฬาที่แฝงความเป็นพิธีกรรมอย่างซูโม่ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ในยุคเฮอันนี้เอง ก็เริ่มมีรูปแบบการต่อสู้ด้วยมือเปล่า “สไตล์ทหาร” (ที่อาจคิดได้ว่า มีรากฐานจากสุไม) ที่เรียกว่า “คุมิอุจิ” (組討) จะแปลตรงตัวว่าไรดี “ประกบตี”? มันคือ ในยุคโบราณบางทีเมื่อเข้าถึงตัวนายพลแล้ว ก็ต้อง “ประลองกันตัวๆ” เพื่อศักดิ์ศรีหน้าตา พอยิงธนูแล้ว เอาอีดาบ (ทะจิ) ฟันใส่กันแล้ว สุดท้ายก็เข้าประกบเข้าปล้ำตี ใครชนะก็ตัดหัวคนแพ้ (แล้วก็ชูว่า ได้หัวแม่ทัพแล้วโว้ย เป็นอันเสร็จศึก) และเมื่อชนชั้นนักรบเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ก็ย่อมต้องมีการฝึกวิชาแบบนี้เป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น (ในหมู่นักรบ)
พอยิ่งมาถึงยุคคามาคูระ ยิ่งรบกันมากเท่าไหร่ ความจำเป็นของการต้องมีวิชาต่อสู้ที่เชี่ยวชาญก็ยิ่งมากขึ้น การก่อตัวของสิ่งที่เรียกว่า “บูเกอิ” (武芸) “ศิลปะวิชาบู๊” ก็ยิ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เกิดโรงเรียนสอนวิชาต่อสู่ไว้ใช้ในสนามรบ พวกวิชาขี่ม้ายิงธนูฟันดาบแทงหอกฟาดง้าว มันก็มาเป็นรูปเป็นร่างเป็นสำนักวิชาขึ้นมา การที่ใช้คำว่า “ศิลปะ” (เกอิ 芸) นั้น ผมมองว่า มันสื่อถึงการที่วิชานั้น เริ่มมีรายละเอียด มีการต้องฝึกฝนขัดเกลา เริ่มมีความเป็นความรู้เฉพาะทางมากขึ้น แน่นอน วิชาต่อสู้ด้วยมือเปล่าก็มีอยู่ในนั้น แต่มีอยู่ในฐานะ “ส่วนประกอบ” เล็กๆ ที่เอาไว้เป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” ยามอาวุธไม่มีเท่านั้น
ยุคมุโรมาจิถึงยุคเอโดะ
ในยุคที่สงครามยังดำเนินต่อไป สำนักวิชาต่อสู้ก็ยิ่งมีความจำเป็น และขยายขอบเขตของวิชามากขึ้น เรียกว่าตอนหลังพอรับเทคโนโลยีปืนจากฝรั่ง ก็มีกระทั่ง “วิชาปืน” (โฮจุตสึ 砲術) กันเลยทีเดียว แต่ ใดๆ ก็ดี ในยุคนี้ “วิชาต่อสู้” ยังเป็นเรื่องของ “ชนชั้นนักรบ” คือพวกข้ารับใช้ของชนชั้นปกครองเท่านั้น ชาวบ้านไม่เกี่ยว แล้วยิ่งการที่สำนักวิชาต่างๆ เริ่มมีมากขึ้น ก็เริ่มมีสำนักวิชาที่เก่งเฉพาะทางวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น สำนักดาบ อะไรแบบนี้ ในตอนปลายยุคมุโรมาจิ เกิดสำนักที่ชื่อว่า สำนักทาเคโนะอุจิ (竹内流) ซึ่งวิชาของสำนักนี้มีกระบวนท่าต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่โดดเด่นที่เรียกว่า “โยโรอิคุมิอุจิ” (鎧組討) “ประกบตีแบบใส่เกราะ” ควบคู่ไปกับวิชากระบอง วิชาดาบ วิชาชักดาบ (บัตโต) ด้วย จึงถือกันว่า สำนักทาเคโนะอุจิ นั้นเป็น “สำนักวิชายูยิตสู” ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น
ภาพสาธิต “โยโรอิ คุมิอุจิ” ของสำนักบูจินกัน บัวโนส ไอเรส (ที่มา Facebook)
สำนักทาเคโนะอุจิน่ะ ชื่อเต็มๆ ยาวๆ คือ 竹内流捕手腰廻小具足 (ทาเคะโนอุจิริว โทริเตะ โคชิโนะมาวาริ โกะคุโซกุ) ซึ่งถอดทีละตัว 捕手 โทริเตะ “มือจับ” หมายถึงวิชาการจับกุมตัวคู่ต่อสู้ 腰廻 โคชิโนะมาวาริ “รอบสะเอว” 小具足 โกะกุโซกุ คำนี้หมายถึง “วากิซาชิ” คือสมัยก่อนวิชาของนักรบไม่ได้สู้มือเปล่า แต่เป็นการแบบว่า เวลาดาบในมือหลุด เหลือแค่ดาบสั้นเหน็บสีข้าง (วากิซาชิ) ก็ต้องใช้เล็กสู้ใหญ่ ทำไงดาบสั้นจะเข้าประชิดสู้กับคนมีดาบยาวกว่าได้ (อารมณ์ close combat) วิชาแนว close combat นี่แหละครับน่าจะเป็นรากฐานของวิชาจำพวกคว้าทุ่ม มือเปล่าปลดอาวุธ อะไรแบบนี้ (พูดไปนี่มัน ไอคิโด นี่หว่า 555)
ผมแค่เจอคำว่า มือจับ หมุนเอว ภาพยูโด ยูยิตสู ไอคิโด ลอยเข้ามาในหัวเลย ครับ
เอาวิดีโอสาธิต “โคชิโนะมาวาริ โกะกุโซกุ” (腰廻小具足) ของสำนักทาเคโนะอุจิมาให้ชมครับ
อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนของการที่เกิด “สำนักวิชาต่อสู้ด้วยมือเปล่า” ขึ้นมาแบบเฉพาะทาง และการแพร่หลายของ “วิชาต่อสู้ด้วยมือเปล่า” ไปสู่ชนชั้นชาวบ้านนั้น มาจากช่วงรอยต่อของยุคอะซูจิ-โมโมยามะ ครับ ซึ่งจะว่าไป ช่วงนี้ของประวัติศาสตร์เป็นรอยต่อสำคัญเลย ตั้งแต่การที่โอดะ โนบุนางะ ขึ้นเป็นใหญ่ จนถึงยุคหลังจากที่โนบุนางะสิ้นท่า แล้วลูกน้องอย่างโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ได้ขึ้นเป็นใหญ่ อ่า ยุคนั้นแหละครับ ที่ชอบเอามาทำหนังสารคดียันวิดีโอเกมกัน ท่านผู้อ่านที่ชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นน่าจะจำกันได้เรื่องนโยบาย “ริบดาบ” (คาตานะ การิ 刀狩) ที่ว่าชาวบ้านห้ามมีดาบ (จริงๆ คือห้ามมีอาวุธสักอย่าง) ใครซุกไว้จับได้มีโทษถึงตาย จุดนั้นแหละครับที่ชาวบ้านก็ต้องดิ้นรนหาวิชาไว้ป้องกันตัว “ด้วยมือเปล่า” อย่างที่เรียกว่า “โชะมินยาวาระ” (ยาวาระชาวบ้าน 庶民柔)
เวลาผ่านไป พอเสร็จศึกที่เซกิงาฮาระ ก็เข้าสู่ยุคเอโดะ อย่างที่รู้กันว่า คนที่ปิดเกมทุกอย่างคือโตกุกาวะ อิเอยาสุ ซึ่งได้ขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินกินตำแหน่ง “จอมพล” (โชกุน 将軍) ผู้สำเร็จราชการ ตั้งรัฐบาลทหาร (บากุฟุ 幕府) เพื่อความมั่นคงของชาติ ยุคนี้ การเรียนวิชาต่อสู้ “ไว้ใช้ในสนามรบ” หมดความสำคัญลงไป กลายมาเป็นวิชาต่อสู้ “เพื่อป้องกันตัวเวลาเดินตามถนน” มีความสำคัญมากกว่าแทน เมื่อบวกกับสภาพการเมืองการปกครองแบบ “ปิด” คือแทบไม่รับอะไรจากภายนอกประเทศด้วย ปิดกั้นการเดินทางไปมาระหว่างแคว้นด้วย การพัฒนาวิชาต่อสู้ก็ยิ่งมีความเป็นเอกเทศแบบถิ่นใครถิ่นมัน เกิดสำนักเล็กสำนักน้อยกันพรึ่บ
ชนชั้นนักรบค่อยๆ หมดบทบาทไป กลายเป็นเพียงข้ารับใช้กินเบี้ยหวัดเท่านั้น ฉะนั้น “บูเกอิ” ของพวกชนชั้นนักรบก็เริ่มไม่โดดเด่นแล้ว กลายเป็นว่า “วิชาต่อสู้ป้องกันตัวของชาวบ้าน” ขึ้นมาโดดเด่นแทน แน่นอน พอมาถึงยุคนี้ บางสำนักที่เคยสอนวิชาอาวุธด้วยก็เลิกสอน บางสำนักที่เกิดใหม่ก็สอนแต่วิชามือเปล่าล้วนๆ ที่น่าสนใจคือ ว่ากันว่า “ยูยิตสู” ในบางสำนัก ได้รับอิทธิพลกระทั่งมวยจีนมาด้วย ดังมีเรื่องของ “จินเก็มปิน” (เฉิน หยวนยุน 陳元贇) ที่เป็นคนจีนมาสอนวิชาหมัดมวย ทำให้วิชายูยิตสูของญี่ปุ่นมีการผนวกเอาวิชาเตะต่อย (striking) เข้ามาประสมกับวิชาเดิมๆ อย่างคนญี่ปุ่นที่เน้นการจับการปล้ำ (grappling) ซึ่งทำให้วิชามือเปล่าของญี่ปุ่นมีมิติเพิ่มขึ้น
ว่ากันว่าตลอดยุคเอโดะสองร้อยห้าสิบกว่าปี สำนักยูยิตสูอย่างที่เรียกว่า ยูยิตสูโบราณ (โคะริวจูจุตสึ 古流柔術) มีมากถึงเจ็ดร้อยสำนัก (ขุ่นพระ!) แต่ความเสื่อมถอยของระบอบโตกุกาวะที่พยายาม “แช่แข็ง” ประเทศชาติ ยิ่งเวลาผ่านไป วิชาต่อสู้ก็ยิ่งถูกมองว่า “ไม่มีความจำเป็น” ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ สำนักวิชายูยิตสูทั้งหลายก็เริ่ม “ทำการตลาด” หาลูกค้าด้วยการอวดโอ่ว่าวิชาสำนักตัวเองเจ๋งกว่า เกิดเป็นการดวลกันระหว่างสำนักซึ่งมักจะจบด้วยการเล่นกันถึงตายอยู่เนืองๆ อย่างที่เรียกว่า “ชิไอ” (死合) แน่นอนว่าการทำอะไรแบบนี้ย่อมกลายเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของ “ยูยิตสู” ตกต่ำลงจนกลายเป็นวิชาของพวกอันธพาลไป (พูดอีกอย่างคือคนดีๆ เขาไม่มาข้องแวะ) (ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ ลองไปดูที่ผมเคยเขียนรีวิวเรื่อง “ยอดยุทธวาตะ” ได้นะครับ)
ยุคเมจิ
จากความเสื่อมถอยระบอบโตกุกาวะที่พยายาม “แช่แข็ง” ประเทศชาติ ความไม่พอใจต่างๆ มาถึงจุดที่เรียกว่าฟางเส้นสุดท้ายเมื่อมี “เรือดำ” จากอเมริกา (พลเรือจัตวาเพอร์รี) มาบุกถึงเมืองญี่ปุ่น เกิดกระแส “เชิดชูจักรพรรดิ ขับไล่ต่างชาติ ล้มล้างระบอบโชกุน” (ซนโนโจอิโทบาคุ 尊王攘夷倒幕) เมื่อการปฏิรูปสำเร็จ หมดระบอบโชกุน เชิดชู “จักรพรรดิเมจิ” บ้านเมืองญี่ปุ่นก็เปลี่ยนแบบพลิกฟ้าคว่ำดิน เลิกระบบแคว้น (ไดเมียวกินเมือง) มาตั้งระบบจังหวัด (ขึ้นกับส่วนกลาง) ญี่ปุ่นยุคนั้นหายใจเข้าออกเป็นฝรั่ง อยากเจริญต้องเดินตามฝรั่ง อะไรที่เป็นของญี่ปุ่นแต่เดิมแต่ก่อนก็ถูกด้อยค่าว่าล้าสมัย ระบบชนชั้นหายไป คนที่เคยเป็นซามูไรต้องดิ้นรนไปทำมาหากินอย่างอื่นตามประสา กระทั่งว่า ปี ค.ศ. 1877 มีการออกกฎหมายห้ามพกดาบเดินตามถนน (นึกถึงเคนชินในเรื่อง “ซามูไรพเนจร” นะครับ)
ภาพพิมพ์แกะไม้ พลเรือจัตวาเพอร์รีและคณะทหารอเมริกัน (ที่มา wikipedia)
อย่างไรก็ดี มีบุคคลผู้หนึ่งที่หยิบเอา “ยูยิตสู” มารีแบรนด์ใหม่ จนประสบความสำเร็จกลายเป็นทั้งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น กระทั่งส่งออกวัฒนธรรมนี้ไปในระดับโลก ก่อให้เกิดแรงสะเทือนต่อประวัติศาสตร์วิชาต่อสู้ของโลก เลยทีเดียว
นั่นก็คือ ปรมาจารย์ คาโน่ จิโกโร่ ครับ
ท่านคาโน่ เกิดมาโชคดีที่มีบิดาที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงมีโอกาสเรียนหนังสือสูงๆ เรียนถึงมหาวิทยาลัยโตเกียว จัดว่าเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ตอนเรียนมหาลัยได้เรียนยูยิตสูกับสำนักเทนจินชินโยริว (ซึ่งเด่นในท่ารัดท่าล็อก) แล้วภายหลังก็ได้ไปเรียนกับสำนักคิโตริว (ซึ่งเด่นในท่าทุ่ม) แล้วภายหลังจึงตั้งสำนักของตน รีแบรนด์วิชายูยิตสูเสียใหม่ สร้างขึ้นเป็นโปรดักท์ที่ตอบโจทย์ยุคสมัย กลายเป็นสำนักที่ชื่อว่า “โคโดคันยูโด” ตั้งมาในปี ค.ศ. 1882 และยังอยู่ยั้งยืนยงตราบถึงทุกวันนี้
สิ่งที่เป็นหมุดหมายประวัติศาสตร์ที่สำคัญสุดก็คือ การแข่งขันที่กรมตำรวจโตเกียวในปี ค.ศ.1886 เป็นการประกาศศักดาว่า “โคโดคันยูโด” ที่เป็นสิ่งที่ “ปรับปรุงใหม่” เหนือว่า “ยูยิตสูโบราณ” จนยูยิตสูโบราณแทบจะไม่มีที่อยู่กันเลยทีเดียว
แต่ที่จริง เบื้องหลังของการที่ “โคโดคันยูโด” ได้เข้ามาเป็นใหญ่ ผูกขาดการเป็นตัวแทนของ “วิชาต่อสู้ประจำชาติญี่ปุ่น” นั้น ถ้าผมจะพูดแบบไม่เกรงใจ มันก็มีเบื้องหลังอะไรบางอย่างที่ดูแล้ว ก็ไม่ได้ต่างจากการที่สมัยนี้ บริษัทใหญ่ ไปไล่ทุบไล่ฮุบบริษัทเล็กๆ หรอกนะครับ ถ้าอยากรู้มันเป็นยังไง ขอให้ลองอ่านติดตามตอนต่อๆ ไป ละกันนะครับ
เอาล่ะครับสำหรับเนื้อหาในตอนนี้ก็เอาเบาๆ พอเป็นเค้าโครงก่อนนะครับ ในตอนต่อๆ ไป ก็จะมีรายละเอียด เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง เกร็ดต่างๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ซึ่งเดินทางมาไกลเหลือเกิน และก็อีโวมาไกลเหลือเกิน ยังไงก็ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับจะได้เป็นกำลังใจให้คนเขียน (ฮา) พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (5) ประวัติและพัฒนาการของวิชาดาบอิไอสำนัก “มุโซจิกิเด็นเอชินริว”
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (3) วิชาต่อสู้ของญี่ปุ่นที่คนไทยไม่ (น่าจะ) รู้จัก
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (2) พื้นฐานของวิชาดาบอิไอ
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (1) บูโดคังอำเภอซุยตะ
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น