วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (3) เมื่อ “โคโดคันยูโด” ผงาดฟ้า
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในที่สุดก็มาถึงตอนว่าด้วยการกำเนิดและขึ้นมา “ผงาดฟ้า” ของ “โคโดคันยูโด” แล้วนะครับ นกฟีนิกซ์เกิดขึ้นใหม่จากเถ้าถ่านฉันใด “ยูโด” ก็เกิดขึ้นมาในยุคที่ “ยูยิตสู” (โบราณ) จวนเจียนจะเสื่อมสูญ และผงาดฟ้าขึ้นมาเป็น “หนึ่งในแผ่นดินญี่ปุ่น” ฉันนั้น
ท่านผู้อ่านที่รักครับ ตอนนี้ผมก็ รู้สึกลำบากใจที่จะเขียนนิดหน่อย ค่าที่ว่าประวัติเรื่องราวของปรมาจารย์คาโน่ จิโกโร่ ผู้ก่อตั้ง “โคโดคันยูโด” นั้น ถูกนำมาเล่าซ้ำบ่อยมาก ผมนี่คิดหนักมากว่าจะทำยังไงที่จะถ่ายทอดเรื่องราวตรงนี้ได้โดยที่ แบบไม่ต้องให้คนดูมานั่งดูลุงเบนตายรอบที่ล้านแปด (ฮา ไม่ใช่สไปเดอร์แมนน๊ะ) เพราะฉะนั้น ผมจะขอโฟกัสเฉพาะส่วนของคุณูปการที่ท่านได้สร้าง “นวัตกรรม” ในการฝึกที่ฉีกไปจากรูปแบบการฝึกยูยิตสูแบบดั้งเดิม จนกลายเป็นรูปแบบการฝึกที่มีผลต่อวิชาต่อสู้สมัยใหม่ รวมถึงวิชาที่เกิดจากการคลี่คลายดัดแปลงจากยูโด (ซึ่งที่รู้จักในโลกยุคนี้มีสองวิชา คือ บราซิลเลียนยูยิตสู กับ ซัมโบ) ว่าแล้วก็เชิญอ่านกันเลยครับ
ก่อนจะเป็น “โคโดคันยูโด”
ตอนที่ท่านคาโน่ยังเป็นหนุ่มนักศึกษา และอยากจะหาเรียนวิชา “ยูยิตสู” เพื่อสุขภาพและป้องกันตัว ตอนนั้นวิชายูยิตสูโบราณเป็นอะไรที่ไม่มีใครอยากเรียนแล้ว สำนักเรียนจึงหาได้ยาก ซึ่งท่านก็รับรู้ว่าสังคมยุคนั้นมีทัศนคติในทางลบกับวิชายูยิตสูมาก (ว่าล้าสมัย และเป็นวิชาของอันธพาล คนดีๆ เขาไม่ไปข้องแวะกัน อารมณ์เหมือนมวยไทยยุคนึงที่พ่อแม่คนชั้นกลางไม่มีทางเอาลูกไปเรียนมวยไทยเด็ดขาด เพราะเห็นสภาพค่ายมวย เห็นว่ามวยไทยเป็นเรื่องของเด็กยากจนปากกัดตีนถีบ แต่ยุคนี้ มวยไทยกลายเป็นฟิตเนสที่แม้แต่คุณผู้หญิงก็เข้าถึงได้)
แต่ด้วยความที่ท่านเป็น “ปัญญาชน” ท่านจึง “มองต่างมุม” ท่านมองว่า มันคือมรดก มันคือรากเหง้าของวัฒนธรรมของชาติญี่ปุ่น (ก็เหมือนกับที่มวยไทยคือภูมิปัญญาของไทย) ดังนั้นจึงควรนำมันมา “ขัดเกลา” ให้ดีขึ้นให้เหมาะจะมาเป็นวิชาที่คนญี่ปุ่นทั้งหลายได้มาศึกษาเล่าเรียนเพื่อฝึกกายฝึกใจ
แล้วทำไมต้อง “ยูยิตสู”?
เรื่องมันมาจากที่ว่า ท่านเป็นคนเตี้ยเล็ก สูงแค่ 157 ซม. หนัก 41 กก.สมัยเรียนมัธยม (ซึ่งแน่นอน ตัวเตี้ยเล็กกว่านั้นอีก) เคยถูกพวกในโรงเรียนลากไปตี (ญี่ปุ่นนี่เรื่อง “บูลลี่” ในโรงเรียนนี่แรงไม่มีแผ่วเลยนะครับ 555) แล้วไม่รู้ว่ายังไง ได้ไปรู้จักวิชาที่เรียกว่า “ยูยิตสู” ที่ว่า คนตัวเล็กกว่าอาจชนะคนตัวใหญ่กว่าได้ ก็เลยอยากเรียน (ว่ากันว่าอย่างนั้น) ซึ่งหลังจากเพียรเสาะหา ก็ได้เรียนวิชายูยิตสูสำนักเท็นจินชินโยริว (天神真楊流) กับอาจารย์ฟุกุดะ ฮาจิโนะสุเกะ (福田八之助) เรียนได้สองปีอาจารย์ฟุกุดะถึงแก่กรรม เลยไปเรียนกับอาจารย์ อิโซะ มาตะเอมอน มาซาโทโมะ (磯又右衛門正智)ซึ่งเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่สาม แล้วอาจารย์อิโซะ ก็ ถึงแก่กรรมอีก จากนั้นท่านก็เลยได้ต้องไปเรียนยูยิตสูสำนักคิโตริว (起倒流) ซึ่งเด่นเรื่อง “ท่าทุ่ม” โดยมีอาจารย์ อิคุโบะ ทสึเนะโทชิ (飯久保恒年) เป็นผู้สอน เรียนจนสำเร็จการศึกษาได้ใบรับรองคุณวุฒิ (เม็งโจ 免状) และว่ากัน วิชาทุ่มของสำนักคิโตริว (ชื่อแปลตรงตัวนี่ดีมาก “สำนักลุกล้ม”) นี่แหละคือรากฐานของ “วิชาทุ่ม” ของยูโดปัจจุบัน
เอาวิดีโอกาตะของสำนักคิโตริวมาฝาก ดูแล้วให้ความรู้สึกกึ่งๆ ยูโด กึ่งๆ ไอคิโดอยู่นะครับ
แต่การที่ปรมาจารย์คาโน่ จะ “ขัดเกลา” ยูยิตสูให้ดีกว่าเดิม ให้สังคมยอมรับ จะต้องทำอย่างไร อย่างแรกเลยก็คือ ต้องแก้ภาพลักษณ์ที่ว่า “ยูยิตสูคือวิชาอันธพาล” ให้ได้ ฉะนั้นไอ้ภาพประเภท “ประลองกันข้างถนน เล่นกันถึงตาย” ต้องไม่มี ก็ต้องทำให้มันเป็นการแข่งขันที่มีกฎกติกามารยาท อันนี้ข้อหนึ่ง
ข้อที่สอง ก็คือการวางกรอบไว้ว่า คนที่มาเรียนวิชาสำนักของท่าน จะต้องไม่เอาวิชาไปใช้เป็นนักสู้ขึ้นสังเวียนหาเงิน
ฉะนั้น เมื่อมีกรอบมีกฎกติการมารยาท เพื่อสร้างความแตกต่าง ก็ต้องมีการ “รีแบรนดิ้ง” สร้างภาพลักษณ์และความเข้าใจในหมู่สาธารณชนเสียใหม่ ด้วยชื่อแบรนด์ใหม่ว่า “ยูโด” (柔道) โดยชูคำว่า “วิถี” (โด 道) เพื่อบ่งนัยยะว่า มันเป็นเรื่องของการที่เมื่อถึงที่สุดแล้ว เป็นเรื่องของการฝึกฝนขัดเกลาใจ เป็นสิ่งที่สูงส่งมี “คุณค่า” ต่อสังคม มากกว่าแค่วิชาต่อยตีทำร้ายคน
ข้อที่สาม เรื่องการฝึก ทำยังไงจะให้ปลอดภัย วางใจได้ คนกล้าเข้ามาเรียน แล้วเรียนแล้วมั่นใจด้วยว่าเรียนแล้วได้วิชา เอาไปใช้งานจริงได้? ว่ากันว่ายูยิตสูโบราณสมัยก่อนนี่เถื่อนจริง บางทีคนใหม่เข้ามาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดนรุ่นพี่ในสำนักล่อซะเจ็บตายพิการไปก็มี ไม่มีมาตรการเซฟตี้ใดๆ
สิ่งที่ท่านได้คิดค้นขึ้นมาอย่างแรกเลยก็คือ การแบ่งสีสายครับ ซึ่งในยุคแรกแบ่งแค่ขาว (มือใหม่) กับดำ (คนเรียนจนเป็นวิชาแล้ว) เท่านั้น (แต่ที่ในยุคหลังต้องมีสายสี มีระบบกิ้ว 級 แยกคนเรียนเป็นระดับชั้นซอยไปอีก เคยมีอาจารย์ไอคิโดท่านหนึ่งบอกผมว่า เพราะการจะไปจากสายขาวเป็นสายดำ บางทีมันนานมันยาก คนเรียนหมดกำลังใจเลิกเรียนไปก่อน เลยต้องซอยเป็นสายสีจะได้มีกำลังใจว่าเออ ก้าวหน้าขึ้นแล้วนะถึงจะยังไม่ถึงดำ ผมพินิจดู เออท่าจะจริง เพราะอย่างผมเรียน BJJ นี่ ด้วยความที่จากสายขาว อย่าว่าแต่ไปสายดำเลย แค่จะเปลี่ยนสีสายเป็นน้ำเงินยังนานซะ ถึงกับต้องมีแถบ (stripe) เอาไปแยกย่อยอีกในสายสีเดียวกัน ขนาดนั้นยังชอบมีคนเลิกเรียนกลางคันจนมีฝรั่งเขาว่าจากสายขาวนี่มีแค่ 5% จะไปถึงสายดำ (ไปเอาสถิติมาจากไหน?)
การแบ่งสีสายนั้น ก็เพื่อจะได้ปฏิบัติต่อคนนั้นให้ถูกต้อง ว่าควรจะเรียนอะไรก่อน ควรจะออมมือแค่ไหน มันก็มีผลต่อหลักสูตรบังคับด้วยว่า เออ สายขาวต้องหัดพื้นฐานเพื่อเซฟตี้ก่อนนะ หัดอุเคมิ ม้วนหน้าม้วนหลังตบเบาะให้ดีนะ เวลาโดนทุ่มหัวจะได้ไม่ฟาดพื้นเอา (ไอ้ที่พูดนี่ ประสบการณ์ตรงนะ 555) แล้วสายดำน่ะ เห็นน้องใหม่สายขาว ก็ บันยะบันยังหน่อยล่ะ 555
อย่างที่สอง ก็คือ การทำตัวเทคนิควิชาให้เป็นของที่ “ใช้การได้” โดยไม่ต้องพึ่งแต่แรงควาย (brute strength) อย่างเดียว ข้อนี้ไม่ใช่แค่ลดการบาดเจ็บที่เกิดจากการจะขวิดกัน เอาชนะคะคานกันอย่างเดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวพันถึงแนวคิดเรื่อง “ประสิทธิภาพ” ตามแนวคิดสมัยใหม่ด้วย (ใช้น้อยลง ได้ผลเท่าเดิม ใช้เท่าเดิม ได้ผลมากขึ้น) จึงเกิดแนวคิดหลักวิชาว่าด้วย “คุสุชิ” (崩し) “ทำให้ทลาย” พูดอีกอย่างคือ “ทำให้เสียสมดุล” (off-balancing คือเสียตำแหน่งหรือความสามารถที่จะรักษาสมดุลได้)
การทำวิชาให้ใช้การได้ ไม่ต้องพึ่งแต่แรงควาย แต่ก็ยัง “ปลอดภัย” ต่อผู้ฝึกนั้น นำไปสู่นวัตกรรมสำคัญที่เรียกว่าเปลี่ยนวงการวิชาต่อสู้ไปเลยอยู่หนึ่งอย่าง นวัตกรรมนั้น เรียกว่า “รันโดริ” (乱取り ฝรั่งเรียก free sparring)
แต่ไหนแต่ไรมา โดยที่ว่า พวกท่าต่างๆ ในยูยิตสูโบราณนั้นนั้นเป็น “ท่าอันตราย” ที่ป่าเถื่อนแบบใช้ในการสู้เอาชีวิต จิกผม แทงตา ทุบกระเดือก เตะไข่ ดังนั้นจึงฝึกแบบถึงเนื้อถึงตัวจริงเล่นจริงใส่แรงลงไปจริงๆ ไม่ได้ ผลก็เลยกลายเป็นฝึกแค่ท่วงท่าอย่างที่เรียกว่า “คาตะ” (型) ก็เหมือนกับเวลาเล่นไอคิโด ฝ่ายนึงทุ่ม อีกฝ่ายก็เตรียมตัวโดนทุ่มอย่างเดียวไม่มีการขัดขืน กลายเป็นท่าที่เหมือน “เตี๊ยมกันไว้ก่อน”
แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือ เวลาหน้างานจริง คนเราไม่ได้เตี๊ยมกันนะครับ ทุกคนย่อมดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง
ฉะนั้นเพื่อจะสร้างสภาพแวดล้อมที่จะ ฝึกกันแบบที่ ถึงเนื้อถึงตัวจริงเล่นจริงใส่แรงลงไปจริงๆ ได้ จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบบางอย่าง อย่างแรกคือ กรองเอาเทคนิคให้มีจำนวนน้อยสุดที่จำเป็น วิชาท่าทุ่มตามหลักสูตรยุคแรกสุดที่เรียกว่า โกเคียว โนะ วาซะ (五教の技) มีเพียง 40 กระบวนท่าเท่านั้น ที่คัดมาว่า ใช้ได้ผลและ “ปลอดภัย” ต่อการฝึกแบบเล่นจริงใส่กันจริง ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิผลในการฝึกให้ผู้ฝึกสามารถตอบสนองสถานการณ์ใกล้ความจริง ที่มีปัจจัยทั้งการขัดขืนของคู่ต่อสู้ ความเหนื่อยล้าของตัวเราเอง เป็นต้น
แน่นอนวิธีคิดและทำแบบนี้ ย่อมไม่พ้นจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ “ลบเหลี่ยมคม” ของวิชามากไปรึเปล่า อย่างแย่ก็อาจถูกถึงกับด่าได้ว่าทำวิชาต่อสู้ให้ลดระดับจนกลายเป็นแค่กีฬาหรือของเด็กเล่น แต่อย่างไรก็ดี ผมว่า เมื่อคิดถึงหลายๆ ด้านแล้ว “รันโดริ” นั้นมีข้อดีมากกว่าข้อเสียครับ (และสภาพการณ์อย่างเดียวกันนี่แหละ ที่ทำให้กลายเป็นว่า มวยไทย ก็ยังถูกมองว่า ไม่ปลอดภัยมากพอ ลองนึกถึงวิชาฟันศอกของมวยไทยดู แล้วถ้าจะแบบ ให้เล่นกันโดย “ไม่อันตรายเกินไป” ต้องทำไง ห้ามใช้ศอกไหม ก็ไม่ได้ เพราะเป็นปมเด่นของวิชา บลาๆ) เพราะผมมองว่า เทคนิคแบบ “หยาบเถื่อน” จิ้มตา เตะไข่ น่ะ ไม่ต้องเรียนวิชาอะไร มันก็ทำเป็นได้ ตามประสาสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดน่ะนะ ไม่เห็นว่าจะต้องเอาใส่ในหลักสูตร หรือยึดเป็นแก่นของวิชา ถ้าเรามองว่าแก่นของวิชา ที่เราเสียเวลาเสียเหงื่อเรียน ก็คือเพื่อป้องกันตัว เซฟตัวเองจากอันตราย เข้าควบคุมคู่ต่อสู้และทำให้ยอมจำนน (ไม่ถึงกับต้องฆ่า เพราะปัญหาทางกฎหมายมีมาแน่) ผมว่า มันตอบโจทย์ของยุคสมัย มากกว่านะครับ
เรื่องเกี่ยวกับการตกอยู่ในกับดักทางความคิดที่ว่า เพราะเป็นกระบวนท่า “อันตราย” จึง “ฝึกแบบใส่แรงจริงไม่ได้” แล้วลงท้ายก็กลายเป็นแค่ “การทำท่าจำลอง” แบบ “คาตะ” นั้น มาถึงทุกวันนี้ ยังมีให้เห็นอย่างในการฝึก self-defense แล้วก็ ไอคิโด มวยจีน ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อก็คือ บางครั้ง การฝึกเทคนิคแบบพึ่งการ “ทำท่าจำลอง” เพียงอย่างเดียว มันนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดๆ ของคนเรียนที่ว่า “การต่อสู้=เทคนิค” หรือ “แค่รู้เทคนิคแล้วก็ใช้ต่อสู้ได้แล้ว” ซึ่งมันทำให้ “ละเลย” การฝึกในด้านอื่นๆ คุณสมบัติอื่นๆ ที่พึงมีในการต่อสู้จริง โดยเฉพาะ “คุณสมบัติทางจิตใจ” เช่นการตั้งสติเวลาเผชิญอันตราย การจัดการกับตัวเองเวลาที่เริ่มเหนื่อยล้า เป็นต้น ซึ่งการฝึกสั่งสมคุณสมบัติในจุดนี้ ผมมองว่า มันต้องฝึกผ่าน “รันโดริ” ฟรีสแปริ่ง ฉะนั้น ถึงมันจะอาจไม่เพอเฟคหรือดีไปหมดทุกด้าน แต่เมื่อชั่งเอาข้อดีข้อเสียแล้ว “รันโดริ” ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และจำเป็นครับ
รูปปรมาจารย์คาโน่ในชุดฝึก (ที่มา judoinside.com)
ใดๆ ก็ดี แม้ปรมาจารย์คาโน่ จะได้ “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อลบล้างภาพเก่าๆ ของยูยิตสูโบราณ และสร้าง “โปรดักท์ใหม่” แต่การจะทำให้ผู้คนมายอมรับสินค้าใหม่ มันต้องมี “การโฆษณาประชาสัมพันธ์” และการที่ต้องมีการโฆษณา ว่า “ใหม่ดีกว่าเก่า ของเราดีกว่าของเดิม” ในฐานะที่เป็น “วิชาต่อสู้” อะไรมันจะดีไปกว่า “การประลอง” ซึ่งสิ่งนี้ นำไปสู่การประลองครั้งประวัติศาสตร์ ที่มีผลสะเทือนต่อทั้งญี่ปุ่น จนยูโดได้ไปผงาดในระดับโลกในที่สุด ครับ การประลองที่กรมตำรวจโตเกียว ปี ค.ศ. 1886 (พ.ศ. 2429) นี่แหละครับ คือการประลองประวัติศาสตร์ที่ว่า
การประลองที่กรมตำรวจโตเกียว ปี ค.ศ. 1886 (พ.ศ. 2429)
ท่านคาโน่ตั้งสำนักโคโดคันเมื่อปี ค.ศ. 1882 (พ.ศ.2425) ซึ่งถ้าในแง่วุฒิ การได้รับใบรับรองคุณวุฒิจากสำนักคิโตริว ก็ต้องถือว่า มีวุฒิพอ แต่ถ้าในแง่อายุ ก็ต้องนับว่า ยังหนุ่มมากๆ เพราะตอนนั้นอายุแค่ 22 เอง ในยุคแรกเริ่ม ว่ากันว่ามีนักเรียนแค่หลักสิบ แต่สิ่งสำคัญคือมีนักเรียนจำพวก “ใหม่ที่นี่แต่เก่ามาจากที่อื่น” มาเรียนมาฝึก
เอาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมนะครับ “สี่จตุรเทพแห่งโคโดคัน” น่ะ แทบทุกคนเก๋ามาจากที่อื่น เป็นนักยูยิตสูเรียนจากสำนักอื่นกันมาแทบทั้งนั้น
โยโกยามะ ซาคุจิโร่ (横山作次郎) ฉายา “อสูรโยโกยามะ” ที่เป็นครูของมาเอดะ มิตสึโยะ (บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสู) นี่ก็เคยเรียนวิชาของสำนักเท็นจินชินโยริวกับคิโตริวมาก่อนเหมือนกัน
ยามาชิตะ โยชิทสุงุ (山下義韶) ที่เคยได้ไปสอนยูโดให้ ปธน. ธีโอดอร์ รูสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็เคยเรียนวิชาของสำนักเท็นจินชินโยริวกับสำนักโยชินริวมาก่อนเหมือนกัน
ไซโก ชิโร่ (西郷四郎) คนนี้เป็นลูกหลานซามูไรเก่า มีวิชา “โอะชิกิอุจิ” (御式内) ที่สอนในหมู่ซามูไรแคว้นไอซุติดตัว ก็นับว่ามีวิชาติดตัวเหมือนกันก่อนจะมาเป็นศิษย์แรกรุ่นของปรมาจารย์คาโน่
โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ (富田常次郎) น่าจะมีเพียงคนนี้ที่นับว่าเป็น “ศิษย์ก้นกุฎิ” เรียนวิชาจากปรมาจารย์คาโน่จริงๆ ล้วนๆ ไม่ได้แบบใหม่ที่นี่แต่เก่าจากที่อื่นมาก่อน คนนี้นี่แหละที่ไปเผยแพร่วิชายูโดที่อเมริกาหลังจากเห็นยามาชิตะประสบความสำเร็จในอเมริกามาแล้ว เลยไปอเมริกาโดยเอา มาเอดะ มิตสึโยะ กับ Soshihiro Satake ไปโชว์ยูโดด้วย และการเดินทางของสองคนนี้ ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิด “บราซิลเลียนยูยิตสู” ไป
ว่ากันว่ามูลเหตุที่มีการจัดการประลองระหว่างยูยิตสู (โบราณ) ปะทะ “โคโดคันยูโด” นั้น มาจากการที่กรมตำรวจโตเกียวมีความคิดที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีวิชาป้องกันตัวด้วยมือเปล่า ซึ่งผลเป็นที่กล่าวกันว่า “โคโดคันยูโด” ชนะสำนักยูยิตสูโบราณแทบจะทั้งหมด
ปัญหาคือ ผมพยายามหาข้อมูลเชิงลึกว่า มันจัดขึ้นเมื่อไหร่ (วันที่เท่าไหร่) ใครแข่งกับใครบ้าง ปรากฎว่า ข้อมูลตรงนี้กลับไม่ชัดเจนนัก เพราะในหนังสือต่างๆ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในยุคโชวะนั้น ต่างก็พูดถึงรายละเอียดทั้งวันที่ (ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเมจิ) ชื่อผู้แข่ง และสถานที่ ผิดแผกกันไป ผมคนอ่านนี่งงงวยเลย เช่น
ยามาชิตะ โยชิทสุงุ ได้กล่าวไว้ใน “คิง” ตีพิมพ์ปี 1927 กล่าวว่า มีการแข่งขันที่กรมตำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1886 ระหว่างโคโดกัน กับ สำนักโทสึกะ
ยามาชิตะ ปะทะ เทรุชิมะ
อิวานามิ ปะทะ คาตะยามะ
ไซโก ปะทะ โคจิ
แต่โคงะ ซันเซ ซึ่งเป็นยูโดหกดั้ง กลับกล่าวไว้ใน “หนังสือพิมพ์โยมิอุริ” ฉบับปี 1932 ว่า มีการแข่งขันที่กรมตำรวจเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1886
โยโกยามะ ปะทะ นากามูระ
และยังมีคนอื่นๆ อย่าง ยามาชิตะ อิวาซากิ ลงแข่งด้วย
และจริงๆ ยังมีการแข่งระหว่างสำนักโคโดคันกับสำนักยูยิตสูโบราณอีกในปี 1885 และยังมีอีกจนถึง 1888
น่าคิดว่า การแข่งในตำนาน ที่เขาเล่าลือกันนั้น ไม่ใช่การแข่งทีเดียวโดดๆ อย่างที่ในการ์ตูนบางเรื่องวาดภาพไว้ ว่าโห แข่งตูมเดียว โคโดคัน ชนะท่วมท้น เป็นไปได้ไหมว่า การแข่งขันประลองกันระหว่างโคโดคันกับยูยิตสูโบราณนั้น เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ หลายที หลายที่ จนกระทั่งแม้แต่ผู้เกี่ยวข้องที่เคยแข่งเอง พอนานไปก็ยังจำได้แค่ส่วนที่ตัวเองไปแข่ง หรือดีไม่ดีเวลาผ่านไปเป็นสี่ห้าสิบปีก็อาจจะลืมๆ ไปบ้างแล้วก็ได้?
ผมยิ่งอ่าน ยิ่งงงงวย นี่คือแหล่งที่มาของข้อมูลครับ
http://www7a.biglobe.ne.jp/~wwd/PW161026/
แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของผลการประลอง หรืออะไร สำนักโคโดคันก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในแง่การขยายตัวของจำนวนผู้เรียน ว่ากันว่าปี ค.ศ. 1887 อีกหนึ่งปีต่อมา โคโดคันมีนักเรียนกว่า 1,500 คน เรียกว่า เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งผมมองว่า ส่วนหนึ่งด้วยความที่ท่านคาโน่นั้น เป็นปัญญาชน เป็นนักการศึกษา ด้วยชื่อเสียงหน้าตาตรงนี้ด้วยแหละที่ทำให้สามารถผลักดัน “โคโดคันยูโด” ให้ไปอยู่ในวงราชการ (ตำรวจ) วงการศึกษา (โรงเรียน) จากวิชาต่อสู้ สร้างมูลค่าเพิ่มกลายเป็น “กีฬาต่อสู้ประจำชาติ” กระทั่งแม้บั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านก็พยายามผลักดันจนยูโดได้เป็น “กีฬาโอลิมปิก” ในที่สุด ถือเป็น “ความสำเร็จ” ในการ “ส่งออกวัฒนธรรม” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เลยทีเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอิทธิพลที่ทิ้งไว้แก่วงการต่อสู้ของโลก ก็คือ ระบบสีสาย นี่แหละครับ เมื่อ “คาราเต้” ที่จริงๆ มันเป็นวิชาของโอกินาวา (ซึ่งมันไม่ใช่ญี่ปุ่นนะ) ถูกเอามาสร้างเป็นโปรดักท์ว่าเป็น “วิชาหมัดมวย” แบบญี่ปุ่นเพื่อเอามาแข่งกับบ๊อกซิ่ง (มวยฝรั่ง) ในยุคไทโช ก็ยังเอาการใส่ “โดกิ” การแบ่งสีสายไปใช้เลย ไม่ต้องไปนับพวกวิชาที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ อย่างเทควันโดของเกาหลี หรือแม้แต่ “โววีนัม” ของเวียดนาม ก็ยังต้องมีสีสายไว้แบ่งวิทยฐานะเลย
มรดกทางวัฒนธรรมในวิชาต่อสู้ในโลกที่ยูโดทิ้งไว้ให้นั้น มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินครับ
สัปดาห์หน้า ผมจะพาท่านผู้อ่าน เข้าสู่เรื่องราวของ มรดกทางวัฒนธรรมในวิชาต่อสู้ในโลกที่ยูโดทิ้งไว้ให้ ซึ่งก่อให้เกิด “วิชาต่อสู้ป้องกันตัว” อีกยี่ห้อหนึ่งในอีกซีกโลกอันไกลโพ้น เรียกว่า ข้ามน้ำข้ามทะเลกันทีเดียวเลยครับ จะเป็นเรื่องราวยังไง โปรดติดตามตอนหน้านะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (2) ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (5) ประวัติและพัฒนาการของวิชาดาบอิไอสำนัก “มุโซจิกิเด็นเอชินริว”
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (3) วิชาต่อสู้ของญี่ปุ่นที่คนไทยไม่ (น่าจะ) รู้จัก
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (3) เมื่อ “โคโดคันยูโด” ผงาดฟ้า