วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลี่ยนยูยิตสู (ตอนพิเศษ) ยูยิตสูเพื่อชีวิตที่ดีกว่า (จริงๆ นะ)
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะจบ “คัมภีร์แห่งปฐวี” ในเดือนมีนาคมนี้ ผมขออนุญาตคั่นรายการด้วย event ด่วน ครับผม! นั่นคือการได้เลื่อนขั้นเป็นสายน้ำเงิน (เสียที) หลังจากฝึกมาตั้งสามปี!!! (เครื่องหมายตกใจสามอัน)
ภาพจาก https://www.facebook.com/puregrap
สำหรับท่านที่ไม่เก็ทว่า ไอ้เจ้า Lordofwar Nick นี่มันจะดีใจอะไรนักหนาวะ? ผมขอนำเสนอ quick facts ดังนี้ ครับ
● bjj เป็นกีฬาต่อสู้ที่การเลื่อนขั้นเลื่อนสายเป็นไปอย่างที่เรียกว่า ค่อนข้างจะเหนื่อยยาก ละกินเวลามาก (ฝรั่งในเว็บยังเปรียบว่าเหมือนวิ่งมาราธอน) ถึงแม้จะมีสีสายแค่ 5 สีคือ ขาว น้ำเงิน ม่วง น้ำตาล และดำก็ตาม แต่ในระหว่างที่อยู่ในสายทั้งสี่ (ขาวถึงน้ำตาล) นั้น ภายในแต่ละสี จะต้องไต่ระดับขึ้นไปถึง 5 ระดับจากไม่มีแถบ เป็น 1 2 3 4 แถบ ซึ่งการจะขึ้นขั้นย่อยแบบนี้โดยปกติอาจต้องใช้เวลาขั้นละ 3-6 เดือน เว้นแต่คุณจะเก่งเป็นพิเศษจนเข้าตา coach ก็อาจจะขึ้นได้ทีละ 2 แถบอะไรแบบนี้ก็มี เอาง่ายๆ คือ จากสายขาวถึงสายดำ คุณอาจต้องใช้เวลาเป็น 10 ปีขึ้นไป นี่สำหรับคนธรรมดา (ยกเว้นนักกีฬาอาชีพที่เล่นกีฬาตัวนี้เป็นหลักจริงๆ อาจขึ้นได้เร็วกว่านั้น) หรือบางคนอาจจะขึ้นได้ช้ากว่านั้นก็มี หรืออีกหลายคนไปไม่ถึงตรงนั้นเลิกเล่นกันไปด้วยเหตุต่างๆ ก่อนก็มี
● ผมมารู้จักกีฬาตัวนี้เอาเมื่ออายุขึ้นเลขสี่แล้ว มันไม่ง่ายเลย 3 ปีที่ผ่านมานี้เจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมายเช่น หูกะหล่ำ (ต้องให้หมอเจาะเอาหนองที่คั่งอยู่ในใบหูขวาออก) การไปแข่งครั้งแรกที่กรุงเทพฯ (ซึ่งแข่งเสร็จนี่ นั่งเครื่องบินหนีโควิดแทบไม่ทัน) ภาวะโควิดที่ทำให้ยิมทั้งหลาย (รวมถึงยิมของผมด้วย) โดนสั่งปิดไป 2 ที ทีนึงล่อไป 2-3 เดือน ไหนจะโดนกักตัวอีก 2 สัปดาห์เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีก (แต่ไม่เคยติด covid นะเธอว์) ว่าแล้วก็เอารูปนี้ไปดูขำๆ นะครับ
โอ้ชีวิต…แท้หนอ 555
อย่างไรก็ดี การเล่น bjj นำมาซึ่งสิ่งดีๆ หลายอย่างในชีวิตของผม ดังนี้
● จากคนเคยอ้วนหนักประมาณ 87 88 กิโลกรัม มาตอนนี้น้ำหนักเหลืออยู่ที่ 80 ด้วยร่างกายและสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้ผมไม่มีความจำเป็นต้องกลัวโรคโควิตแต่อย่างใด
● ได้กลับมาสนใจปรัชญาเซน จนกลับมาศึกษาอ่านหนังสือจริงๆ จังๆ มาตั้งแต่ “The Zen Way to the Martial Arts” ของพระอาจารย์ไทเซ็น เดชิมารุ จนถึง “วิถีเดินเดี่ยว” และ “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิ ณ ตอนนี้ ซึ่งตอนนี้ปรัชญาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจ ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการประโคมข่าวให้คนหวาดกลัวแบบนี้
● การเรียน bjj นั้นก็เป็นการเข้าสังคมอย่างนึง เพื่อจะได้มาผ่อนคลายจิตใจหลังความเคร่งเครียดเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน พักจากการต้องคิดนั่นคาดนี่ มาเพ่งกับปัจจุบัน ร่างกายที่มันปะทะกัน โรลให้สุดแรงแล้วก็นอนแผ่หลาคาเบาะ ระเบิดเสียงหัวเราะดังๆ ออกมาบ้างก็ได้ “นี่แหละชีวิต” ให้เหงื่อมัน “ล้างใจ” เสียบ้าง
มาถึงตอนนี้ ผมก็ยังอยากจะขอย้ำถึงความสำคัญของการเอาคติ ชิน วาซะ ไต 新技体 เอามาใช้ในการฝึกวิชาต่อสู้อย่างจริงจัง ว่า ถ้าคุณอยากมีความก้าวหน้าในทางนี้ จะต้องคิดพิจารณาตัวเราเองอยู่เสมอว่า ในทั้ง 3 ปัจจัยเนี่ย มีอะไรที่เรายังไม่ดีพอบ้าง จะต้องทำยังไงให้ปัจจัยทั้ง 3 นี้ดีขึ้น ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมได้ลองถูกลองผิดทำมาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่เป็นสายขาว (และสิ่งที่ผมเห็นว่าสมควรจะทำเป็นอันดับต่อไปในฐานะสายน้ำเงิน)
● ร่างกาย (ไต 体) ผมได้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นและเป็นตัวขัดขวางสุขภาพที่ดีแบบค่อยๆ ตัดไปทีละตัว เริ่มตั้งแต่น้ำอัดลมสีดำ (ทั้งที่แต่ก่อนติดมากินทุกวันมาหลายปี) อาหารฟาสต์ฟู้ด มาจนถึงปี 2565 นี้ พยายามปูทาง ละลดเลิก การกิน หมูไก่เนื้อ และมุ่งปรับพฤติกรรมตัวเองให้เข้าใกล้ความเป็นวีแกน (แม้จะได้เป็นแค่บางมื้อ) รวมถึงการเอาสมุนไพรไทยบางชนิด เช่นใบบัวบก มากินเพื่อเสริมการฟื้นฟูกล้ามเนื้อจากการบาดเจ็บ สำหรับคนที่ปีนี้อายุ 45 ไปแล้ว การที่ว่าจะทำยังไงให้รักษาร่างกายให้แข็งแรงพอที่จะยืนระยะฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นั้นถือว่าเป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก ถ้าคนเราไม่รู้จักเสียสละความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องการกินการตามใจปากเราจะไม่มีทางไปถึงจุดหมายได้เลย เพื่อจุดมุ่งหมายเราต้องทำให้ได้แม้แต่การเปลี่ยนแปลงนิสัยหรือความชอบของตัวเอง เป็นสิ่งที่ผมบอกตัวเองอยู่เสมอ
● เทคนิค (วาซะ 技) ที่ผ่านมาผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรมากมายไปกว่าสิ่งที่สายขาวทุกคนพึงปฏิบัติ คือการมาซ้อมให้บ่อย เข้าชั้นเรียนสม่ำเสมอ (ซึ่งการจะเข้าชั้นเรียนให้ได้บ่อยๆ ถี่ๆ นั้นก็จำเป็นต้องมีพลังกาย ก็ต้องปรับปรุงเรื่องร่างกายอย่างที่กล่าวไปข้างบน) โรล (ซ้อมเข้าคู่ประลอง) ให้มากๆ (และมีคู่ซ้อมให้หลากสีหลายไซส์เข้าไว้) พยายามตั้งใจเรียนในยิม หรืออ่านหนังสือบางเล่ม ดูคลิปยูทูปบ้าง เผื่อจะเจอ “เกร็ดความรู้” ที่เอาไปใช้ปรับปรุงการเล่นให้ดีขึ้นได้ แต่พอมาถึงจุดนี้เมื่อขึ้นเป็นสายน้ำเงินแล้ว ก็ต้องรู้แล้วว่าตัวเองถนัดอะไรหรือไม่ถนัดอะไร อะไรที่ถนัดก็ควรจะหาทางโฟกัสต่อยอดทำให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไป ต้องเจาะเรียนเป็น “องค์ความรู้” ไปเลยเป็นหัวข้อๆ อะไรที่ยังไม่ถนัดหรือทำไม่เป็นก็ค่อยๆ เรียนรู้ค่อยๆ เก็บไปเอาเท่าที่ได้
● ใจ (ชิน 心) การเป็นสายขาวนั้นอย่างแรกใจต้องอดทน (นินไต 忍耐) อดทนต่อการเรียนวิชาซึ่งมันก็ไม่ใช่ของที่เข้าใจง่ายนักและต้องใช้เวลาไม่น้อย (เว้นแต่คุณจะเคยเรียนยูโดหรือมวยปล้ำมาก่อน) อดทนต่อการเจ็บกายเจ็บใจเวลาโดนกดเวลาโดนล็อค อดทนต่อความรู้สึกที่ว่าฉันนี่มันห่วยแตก คิดง่ายๆ ก็ได้ครับว่าถ้าเปรียบ bjj เป็นเหมือนมหาลัย สายขาวเนี่ยคือเด็กปี 1 freshy ดีๆ นี่เอง ถ้าทนต่อการโดนรับน้องไม่ได้หรือปรับตัวให้เข้ากับระบบการเรียนในคณะไม่ได้ ก็คงต้องลาออกสถานเดียว แต่ถ้าคุณรอดจากปีหนึ่งก็ได้คุณก็จะกลายเป็นรุ่นพี่ปี 2 ก็คือสายน้ำเงินนี่แหละ แต่ก็อย่างว่าครับรุ่นพี่ปี 2 ภาษาอังกฤษเรียกว่า sophomore sopho ก็ sophos ฉลาด more ก็ moron โง่ รวมกันแล้วแปลว่าเป็นพวกที่ ทั้งฉลาดและโง่ หรือพูดอีกอย่างคือ “ครึ่งฉลาดครึ่งโง่” ต้องตั้งใจเรียนศึกษาให้ดีถึงจะขึ้นปี 3 (สายม่วง) ปี 4 (สายน้ำตาล) เพื่อจะได้สำเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิต (สายดำ) แล้วก็จบจากมหาลัยออกไปเผชิญชีวิตข้างนอกต่อไป เพราะฉะนั้นขึ้นสายน้ำเงินแล้วก็ต้องใฝ่เรียนใฝ่ศึกษาตั้งใจโฟกัส (ชูจู 集中) ให้รู้ลึกรู้ดีขึ้นกว่าเดิม จะได้ไปสู่การเป็นผู้รู้บัณฑิตจริงๆ ไม่ใช่คนรู้วิชาแค่ครึ่งๆ กลางๆ
เอาป้ายคติ ชิน วาซะ ไต 新技體 (體 ตัวนี้เป็นตัวเก่าของ 体) ไปชมก่อนนะครับ ตามธรรมเนียมจีนหรือญี่ปุ่นโบราณจะอ่านจากขวาไปซ้ายนะครับ ป้ายนี้อยู่ที่ชั้นบนโรงยิมผมเอง
ถ้าป้ายนี้ยังไม่สะใจลองมาดูอีกป้ายข้างล่างครับ คำนี้เป็นคติของวิชายูยิตสูมาแต่โบราณเลย สืบทอดกันมาจนถึงยูโดและบราซิลเลี่ยนยูยิตสูกันเลยทีเดียว มันคือคำว่า…
柔能く剛を制す。
ยู โยคุ โก โวะ เซย์สุ
“อ่อนอาจสามารถ สยบแข็ง”
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าเราจะมีความมุ่งมั่นหรือเป้าหมายอย่างไร แต่ในระหว่างทางที่เราจะเดินไปให้ถึงจุดหมายนั้น บางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะ “พักก่อน” เพื่อปรับสมดุลให้กับร่างกายจิตใจบ้าง ฉะนั้น คติที่ว่า “เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น” ก็ยังใช้ได้เสมอครับ ว่าแล้วก็ ไปนั่งจิบน้ำชากินอาหารว่างกันหน่อยเป็นไรครับ? (บก. ครับ เนี่ยผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นจริงๆ นะ เห็นไหมมีอาหารญี่ปุ่นด้วย 555)
อาหารว่างยามบ่ายหลังกลับจากพิธีเลื่อนสาย…หา อะไรเนี่ย ไหนบอกจะมาทางวีแกน กินปลาได้ไง ครับๆ วันอาทิตย์เลยแก้ตัวด้วยการกินอาหารเม็กซิกันแบบวีแกนซะงั้น (ฮา)
ไส้ข้างในเป็นเห็ด ถั่วดำ? ข้าว ชีสวีแกน
เพื่อเป็นการย้ำเตือนตนเองถึงสิ่งที่จะต้องศึกษาในคัมภีร์ห้าห่วง จึงปักคำว่า “ปฐวี” (ดิน 土) ที่สายขาว และ “อาโป” (น้ำ 水) ที่สายน้ำเงิน เพื่อเปรียบโยงความหมายของคัมภีร์ทั้งห้าม้วนใน “คัมภีร์ห้าห่วง” เข้ากับสายทั้งห้าสีในบราซิลเลียนยูยิตสู ซึ่งหากท่านผู้อ่านได้ลองอ่านดีๆ ในตอน การแต่งคัมภีร์ทั้งห้าม้วนแห่งพิชัยสงครามนี้ แล้วจะเข้าใจได้เองว่า ทำไมผมจึงเปรียบสายขาวเป็น “คัมภีร์แห่งปฐวี” สายน้ำเงินเป็น “คัมภีร์แห่งอาโป” นั่นแหละครับ ฝากท่านผู้อ่าน “คิดพินิจให้ดีๆ” กันนะครับ
วันนี้ก็ขอจบ “เรื่องแทรก” แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ สัปดาห์หน้ากลับมาอ่านเนื้อหาใน “คัมภีร์แห่งปฐวี” ด้วยกันต่อ ใกล้โค้งสุดท้ายแล้วนะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (6) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): การแต่งคัมภีร์ทั้งห้าม้วนแห่งพิชัยสงครามนี้
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (5) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): วิถีแห่งพิชัยสงคราม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (4) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): ยกตัวอย่างวิถีแห่งพิชัยสงครามกับช่างไม้
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (3) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งพิชัยสงคราม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (2) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): บทนำ
#เซนกับบราซิลเลี่ยนยูยิตสู (ตอนพิเศษ) ยูยิตสูเพื่อชีวิตที่ดีกว่า (จริงๆ นะ)