“นักเรียนญี่ปุ่นเรียนออนไลน์: เครียดจนต้องสลายหายไป”
จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ขณะนี้ประเทศญี่ปุ่นเองยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้และมีผู้ป่วยสายพันธุ์เดลต้าเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในมาตรการลดการแพร่กระจายของโรค คือ การแยกอยู่ห่าง (social distancing) ทุกคนปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตแบบ New normal นักเรียนต้องเรียนทางออนไลน์ แม้การเรียนรูปแบบนี้จะมีข้อดีในแง่ของการควบคุมการระบาดของโรค แต่ก็มีผลเสียหลายอย่างตามมา บางครั้งเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นรายงานจำนวนนักเรียนญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคมปี 2021 มากถึง 270 คน (นักเรียนชั้นประถม 7 ราย มัธยมต้น 75 ราย และมัธยมปลาย 188 ราย)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2020 ถือว่าเพิ่มขึ้น (จำนวนนักเรียนญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั้งหมดในปี 2020 มี 499 ราย)
มีสมมุติฐานหลายอย่างถึงสาเหตุของการฆ่าตัวตายของเด็กนักเรียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิดว่ามาจากการที่นักเรียนต้องหยุดอยู่บ้านและเรียนออนไลน์ สำหรับบางครอบครัว บ้านไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กเพราะมีการใช้กำลังความรุนแรงต่อกัน (Domestic violence) ยิ่งผู้ปกครองที่มีความเครียดจากสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่หรือความเครียดจากการปรับตัวกับชีวิต new normal เช่น ต้องทำงานอยู่ที่บ้านที่ค่อนข้างจะคับแคบ ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ต้องใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น จนมีความขัดแย้ง ผู้ปกครองบางคนมีปัญหาด้านอารมณ์แล้วไประบายกับเด็ก เช่น การด่าว่า, ตี จนเด็กเกิดความเครียดและซึมเศร้าตามมา หากเป็นสถานการณ์ปกติเด็กยังได้ไปโรงเรียน เจอกับเพื่อน เล่าระบายความทุกข์ใจ และทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย แต่เมื่อเด็กไม่ได้ไปโรงเรียน เด็กเลยไม่มีวิธีการระบายออก สาเหตุการฆ่าตัวตายของเด็กช่วงโควิดต่างจากช่วงก่อนมีโควิดที่ความเครียดมักมาจากการกลั่นแกล้งกัน (Bully) ในโรงเรียน
เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประเทศญี่ปุ่นใช้การเรียนออนไลน์น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โรงเรียนประถมและมัธยมไม่ค่อยใช้การเรียนออนไลน์เต็มรูปแบบ เช่น นักเรียนที่มีคนในครอบครัวติดเชื้อค่อยเรียนออนไลน์ แต่เด็กนักเรียนคนอื่นยังไปโรงเรียนได้ โดยสลับวันกันไป แม้เด็กจะได้ไปโรงเรียนแต่เป็นการไปแบบไม่เต็มที่ เพราะต้องงดกิจกรรมเกือบทุกอย่าง ทำให้ความสุขและความสนุกจากการไปโรงเรียนลดลงอย่างมาก
>> ปัญหาที่เจอจากการเรียนออนไลน์มีหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น
. การเรียนออนไลน์ทำให้ทั้งนักเรียน, ครู และผู้ปกครองเครียดจากการเปลี่ยนแปลง มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น การจัดหาอุปกรณ์สำหรับการเรียน
. รูปแบบการสอนออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่น่าสนใจ ทำให้เด็กไม่มีสมาธิจดจ่อกับการเรียน ยิ่งเด็กเล็กเท่าไรยิ่งยาก ต้องมีผู้ใหญ่นั่งคุม บางคนเล่นเกมออนไลน์หรือทำอย่างอื่นระหว่างที่ครูสอน
. สภาพแวดล้อมการเรียนที่บ้านต่างจากที่โรงเรียน ไม่มีครู เพื่อน และอุปกรณ์สื่อการสอนต่าง ๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้เป็นแรงจูงใจในการเรียน (sustain motivation)
. การเรียนออนไลน์เป็นการสื่อสารที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดข้อมูลด้านภาษากายไป (nonverbal language) ทำให้ต้องใช้ความพยายามและสมาธิ (mental effort) มากกว่าการเรียนปกติ สมองทำงานอย่างหนักในการทำความเข้าใจประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ (process information) จนเกิดความเครียดเหนื่อยล้า (zoom fatigue)
. การใช้เวลากับ social media มากขึ้น อาจทำให้เสพติด (addiction) หรือวิตกกังวลเครียดจากการรับข้อมูลมากจนเกินได้
. การที่เด็กไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนนอกครอบครัวทำให้เด็กขาดโอกาสในการพัฒนาเรื่องการเข้าสังคม (social skills) ที่เหมาะตามวัย
. เด็กที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชอยู่เดิม การเรียนออนไลน์ส่งผลให้อาการของโรคแย่ลง เช่น ADHD มีอาการมากขึ้นจากการใช้หน้าจอเป็นระยะเวลานาน ส่วนเด็กปกติเพิ่มโอกาสต่อการป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล (Anxiety) , โรคซึมเศร้า (Depression)
การระบาดของ COVID-19 มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น หากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ถึงแม้การเรียนออนไลน์จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่เหมาะกับบริบทในตอนนี้ หากผู้ใหญ่รอบข้างร่วมมือกันและให้ความช่วยเหลือเด็ก จะเป็นการลดปัญหาด้านจิตใจและพัฒนาการได้
>> วิธีการช่วยให้เด็กเรียนออนไลน์ได้มีประสิทธิภาพและลดความเครียด
1. ชวนเด็กคุยเรื่องเรียนให้กลายเป็นเรื่องน่าสนุก เช่น ให้เด็กเล่าสิ่งที่เรียนมาให้ฟัง ผู้ใหญ่ให้ความเห็นเพิ่ม, ให้เด็กถามในสิ่งที่ยังสงสัยไม่เข้าใจ
2. ให้เด็กมีส่วนร่วมในการวางแผนเรื่องการทำการบ้าน หากเห็นว่าต้องทำงานทีละเยอะๆจะท้อใจได้ง่าย ดังนั้นควรสอนให้เด็กเรียงลำดับความสำคัญของงาน (prioritize), ซอยงานออกเป็นขั้นตอนย่อย (smaller tasks) เพื่อให้เด็กเกิดความมั่นใจว่าจะทำงานแต่ละขั้นได้สำเร็จ, วางแผนการทำงาน จัดตารางเวลา (organizing) มีการให้รางวัลสร้างแรงจูงใจเป็นระยะ เช่น ทำการบ้านเลขเสร็จจะได้กินไอติมที่ชอบ
3. จัดมุมที่เหมาะกับการเรียน สิ่งแวดล้อมใกล้เคียงกับห้องเรียนจริง ไม่มีสิ่งที่ทำให้วอกแวก เงียบ
แบ่งแยกโซนที่ในการเรียนกับโซนที่ใช้ในการทำกิจกรรมอย่างอื่นให้ชัดเจน เช่น ไม่นั่งเรียนบนเตียงนอน
4. มีการจัดตารางเวลาในการทำสิ่งต่างๆ (routines) เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 3 มื้อ, นอนไม่ดึกตื่นไม่สาย หลับให้เพียงพอ, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, มีเวลาเรียนและเวลาพักผ่อนทำงานอดิเรก
5. สร้างบรรยากาศในบ้านให้ไม่เครียด (positive tone) เช่น มีการคุยเรื่องที่สนุก, ทำกิจกรรมร่วมกัน
6. เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดระบายความคิด ความรู้สึก โดยผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้รับฟังที่ดี (active listener)
7. ให้เด็กยังติดต่อกับคนอื่นสม่ำเสมอ เช่น เพื่อน หากิจกรรมทำร่วมกันเท่าที่เป็นไปได้
ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันสังเกตอาการของเด็กที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ดูเศร้าซึม/หงุดหงิดง่าย, แยกตัวออกจากคนอื่น, ไม่ทำกิจกรรมที่เคยชอบ, มีปัญหาการกินการนอน, มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง แนะนำให้พบผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ เพื่อให้การวินิจฉัยและการช่วยเหลือรักษาก่อนที่จะสายเกินไป
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “เรื่องสยองขวัญในฤดูร้อน: ฉันกลัวผี ทำไงดี?”
– “เทศกาลโอบ้งระลึกถึงบรรพบุรุษ: กตัญญูแค่ไหนกำลังดีย์”
– “โตเกียวโอลิมปิก 1964: ฟื้นคืนจากความสิ้นหวังไปสู่แสงอันเจิดจ้า”
– “การตัดสินใจจัดพิธีเปิดโตเกียวโอลิมปิก: หยุดแค่นี้หรือไปต่อดี”
– “ไคเซน: ทำงานอย่างฉลาดพาชาติเจริญ”
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#นักเรียนญี่ปุ่นเรียนออนไลน์: เครียดจนต้องสลายหายไป