1 Litre of Tears บันทึกน้ำตาหนึ่งลิตร กับความหมายของชีวิตที่เหลืออยู่
“ทำไมโรคร้ายถึงเลือกหนู” คำพูดหนึ่งของ “อายะ คิโตะ” หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย และเรื่องราวของเธอได้ถูกทำไปสร้างเป็นละครชื่อดังของญี่ปุ่นที่หลายคนรู้จักกันดีคือ “บันทึกน้ำตาหนึ่งลิตร” เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านไป แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่เรื่องราวสู้ชีวิตของเธอยังคงปรากฏอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนอย่างยากจะลืมเลือน
หากวันหนึ่งคุณรู้ข่าวร้ายว่า เป็นโรคที่รักษาไม่หายจะทำอย่างไรต่อไป
อายะก็เป็นคนหนึ่งที่เธอพบกับความเจ็บปวด แต่เธอก็เลือกเดินต่อไปอย่างมีพลังจนถึงวันสุดท้าย ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาด สิ่งหนึ่งที่เตือนใจเราอยู่เสมอคือ เราไม่รู้เลยว่า ในวันข้างหน้าชีวิตเราจะต้องเป็นอย่างไร แต่มันก็คงจะดีถ้าเราใช้ชีวิตทุกวันอย่างระมัดระวังในทุกย่างก้าว รีบทำสิ่งสำคัญบางอย่างก่อนอะไรๆ จะสายเกินไป เลยอยากจะหยิบยกเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ต่อสู้กับชีวิต นี่คือเรื่องราวที่เรียกน้ำตาคนดูมากถึงหนึ่งลิตร แต่ก็เป็นละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้มีชีวิตต่อไปอย่างมีความหวัง
โรคนี้…ทำไมถึงเลือกฉันนะ
“บันทึกน้ำตาหนึ่งลิตร” เป็นละครญี่ปุ่นที่สร้างมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของ “อายะ คิโตะ” (ในเวอร์ชั่นละครจะใช้ชื่อว่า “อายะ อิเคะอุจิ”) เด็กสาววัย 15 ปี เรียนดี กีฬาเด่น อนาคตน่าจะไปได้สวย แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่เธอเดินกลับบ้านเธอล้มลงอย่างไม่มีสาเหตุ และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เธอมีอาการแบบนี้หลายครั้ง จนกระทั่งเธอไปตรวจร่างกายและพบว่า เธอมีอาการของกล้ามเนื้อเสียการประสานงานจากสมองน้อยและไขสันหลัง (spinocerebellar ataxia; spinocerebellar degeneration) ระบบประสาทของเธอนั่นเริ่มถดถอย ส่งผลให้ไม่สามารถขยับร่างกายได้เหมือนปกติ มีการเคลื่อนไหวช้า รับรู้ต่อสิ่งรอบข้างได้ช้าลง จะยืน หรือเดินก็ทำไม่ได้ รวมไปถึงการเคี้ยว บด และกลืนอาหาร ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน และจะเริ่มพูดสื่อสารอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งเสียชีวิตไปในท้ายที่สุด
ครั้งแรกที่อายะรู้เกี่ยวกับโรคที่เธอกำลังเป็น ความรู้สึกของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ ความหวังที่แตกสลาย ชีวิตที่ไม่สามารถทำตามฝันได้ ชีวิตที่คิดว่ายังคงมีวันพรุ่งนี้เสมอ ก็กลายเป็นพรุ่งนี้ไม่ได้มีอยู่ทุกวัน และเวลาของชีวิตก็เริ่มนับถอยหลังตั้งแต่วันนั้น อายะได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมโรคนี้ถึงเลือกเธอ นี่ไม่ใช่โรคติดต่อ นี่เป็นโรคที่มีเพียงหนึ่งในล้านที่จะเป็นได้ แถมแม่ของเธอยังเป็นนักโภชนาการที่ดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี และอายะเองก็เป็นนักกีฬา เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีร่างกาย และสุขภาพที่แข็งแรงดีคนหนึ่ง แต่วันหนึ่งก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางชีวิต เมื่อพบว่าเธอป่วยเป็นโรคร้าย ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
“โรคนี้ทำไมถึงเลือกฉันนะ
ถึงจะบอกว่าก็เพราะโชคชะตา แต่ก็ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้”
ใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างมีความหมาย เพื่อคนที่ยังอยู่
เมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อายะก็ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะที่เธอรักษาตัวที่โรงพยาบาล ท่ามกลางความสิ้นหวัง เธอก็เริ่มเห็นมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต และเธอก็ค้นหาคำตอบได้ว่า เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร แน่นอนว่าวันหนึ่งเธอต้องจากโลกนี้ไป แต่เธอก็ยังเหลือเวลาที่จะทำความดีอะไรมากมาย ฝากไว้ให้กับคนที่ยังเหลืออยู่ เพียงแค่อย่าทำให้เวลาที่เหลืออยู่มันสูญเปล่า
อายะเลยตัดสินใจเขียนไดอารี่ บันทึกเรื่องราวชีวิตของเธอ ซึ่งปกติอายะก็เขียนไดอารี่อยู่แล้ว ในช่วงอายุ 14 ปี ก่อนหน้าที่จะตรวจพบว่าเป็นโรคร้าย พอเธอเข้ารับการรักษา เธอจึงนึกได้ว่า สิ่งที่เธอยังทำได้อยู่ และน่าจะส่งต่อความรู้สึก ความคิด และพลังใจให้ผู้อื่นได้ ก็คือ “การเขียนไดอารี่” นั่นเอง อายะเขียนไดอารี่ทุกวัน จนถึงวันที่เธอไม่สามารถเขียนได้ นั่นก็คือตอนที่เธออายุได้ 21 ปี และเริ่มสูญเสียความสามารถทางการเขียน และเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 25 ปี เธอต่อสู้กับโรคนี้มายาวนาวนับ 10 ปีเลยทีเดียว
หากนับตั้งแต่เล่มแรกล่ะก็ อายะเขียนไดอารี่ทั้งหมดถึง 46 เล่มด้วยกัน และนั่นก็มากพอ ที่จะนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ รวมถึงละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย
ชีวิตที่ไม่เคยสูญเปล่า
แม้เธอจะไม่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตได้ แต่เธอก็ได้จากไปพร้อมกับการทิ้งบางอย่างไว้ให้กับคนที่เหลืออยู่ และจากไปพร้อมกับความรู้สึกรักจากคนรอบข้าง เธอได้ทำให้ผู้คนมากมายได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็คุณแม่ของเธอเอง ที่เคยพูดเอาไว้ เมื่อไปเยี่ยมหลุมฝังศพของเธออีกครั้ง
“เป็นเพราะลูกทำให้ใครหลายคนได้ระลึกถึงการมีชีวิตอยู่
และทำให้พวกเขาคิดได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆ วันนั้น
มันช่างมีความสุข และมันช่างเป็นความอบอุ่นซะเหลือเกิน
และรู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจของคนที่อยู่ข้างๆ
และคนที่ทรมานเพราะโรคนี้
ก็คิดได้ว่าเข้าใจว่าแท้ที่จริงเขาไม่ใช่ตัวคนเดียวในโลกนี้เลย
หยาดน้ำตาที่ลูกเสียไปมากมาย
กลายเป็นคำพูดที่สามารถสื่อถึงใจหลายๆ คนทีเดียว
อายะ…หวังว่าอยู่ที่นั่นลูกคงไม่ร้องไห้แล้วนะ
แม่อยากจะเห็นรอยยิ้มของลูกอีกสักครั้งจัง…”
เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เรารับรู้ได้ว่าในขณะปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่ ตราบใดที่เรายังหายใจก็นับความเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง หากเจอเรื่องราวเลวร้ายรุมเร้า จนเราไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ก็ขอให้รู้ว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่เรายังทำได้คือ หมั่นทำกรรมดี เพื่อคนรอบข้าง เพื่อคนที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าอายะจะมีชีวิตเหลือเพียงน้อยนิด แต่เธอก็ใช้ชีวิตต่อไป พร้อมทิ้งร่องรอยแห่งความสุข และความหวังให้กับคนที่รัก
“มีชีวิตอยู่ต่อไปนะ”
หมายเหตุ: ซาวาจิริ เอริกะ คือนักแสดงผู้รับบทเป็น “อายะ คิโตะ” เป็นผลงานละครที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธออย่างล้นหลาม แต่ปัจจุบันเธอเป็นผู้ต้องหาคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย แม้จะมีประเด็นเรื่องคดีความ ที่ค่อนข้างเป็นเรื่องร้ายแรงในสังคม แต่ผลงานของเธอก็ยากที่จะปฏิเสธ และยังคงเป็นผลงานระดับคุณภาพที่ฝากไว้ในวงการบันเทิง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– Followers ผู้ติดตามที่แท้จริง พลังและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง
– รีวิว: Koi wa Tsuzuku yo Dokomade mo ซีรีส์หมอสายจิกหมอน ที่มาเยียวยาทุกสิ่ง
– 5 ละครญี่ปุ่นโรแมนติก บทสรุปของความรักที่ไม่จำเป็นต้องคู่กัน
– 5 ฮีโร่คนธรรมดาจากซีรีส์ญี่ปุ่นที่ใครๆ ก็หลงรัก
– 5 นางเอกจากละครญี่ปุ่นสุดเทพ ทำอะไรก็เป๊ะไปหมด
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
– ละครญี่ปุ่นเรื่องบันทึกน้ำตาหนึ่งลิตร หรือ 1 Litre of Tears
– https://www.pinterest.com/pin/485474034807084842/
– https://portrait.sollafune.com/ErikaSawajiri/ErikaSawajiri003.html
– https://www.pinterest.com/pin/499758889872914685/
#1 Litre of Tears #บันทึกน้ำตาหนึ่งลิตร