มันมีตำรวจที่ดีและไม่ดีปนกันได้ในที่ไหนๆ ในโลก และที่ญี่ปุ่นก็เช่นกัน… ในมุมมองของทนายญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาเห็นว่าตำรวจญี่ปุ่นนั้นมีความอยุติธรรมแฝงซ่อนอยู่
รีวิวโดย วสุ มารุมุระ
บทความนี้เป็นรีวิวหนังสือที่เขียนโดยทนายความชาวญี่ปุ่นคนนึง ที่ชื่อ Hironaka Junichiro ทนายความท่านนี้เคยว่าความคดีดังๆ ระดับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นในช่วงปี 1980 – 2000 และช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับลูกความหลายๆ คนในคดีประวัติศาสตร์เหล่านั้น
หนังสือที่เขาเขียนชื่อเรื่องว่า 無罪請負人 [muzai ukeoijin] หรือพอจะแปลเป็นไทยได้ว่า “ผู้รับจ้างพิสูจน์ความบริสุทธิ์”
ชื่อหนังสือ อาจจะฟังดูหยิ่งผยอง ซึ่งชื่อนี้เป็นฉายาที่ทนายความผู้เขียนถูกเรียกจากสื่อ ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อฉายานี้ เพราะคุณทนายความคนนี้บอกว่า ตามประสบการณ์ทำงานจริงๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้ชนะคดีเยอะขนาดนั้น แต่เผอิญคดีที่เขาชนะนั้นเป็นคดีสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเขาก็รู้สึกว่าเป็นผลงานของเขาจริงๆ
คราวนี้เรามาพูดถึงหนังสือเล่มนี้กัน
สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คร่าวๆ ก็คือ …
“มันมีตำรวจที่ดีและไม่ดีปนกันได้ในที่ไหนๆ ในโลก และที่ญี่ปุ่นก็เช่นกัน”
ในมุมมองของทนายญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาเห็นว่าตำรวจญี่ปุ่นนั้นมีความอยุติธรรมแฝงซ่อนอยู่ มีคดีต่างๆ ที่เป็นคดีทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นในช่วงปี 1980 – 2000 ที่ตำรวจญี่ปุ่นพยายามเต้าคดี ยัดเยียดความผิดให้ผู้บริสุทธิ์
– ตำรวจญี่ปุ่นยัดเยียดความผิดให้นักการเมือง เพียงเพื่อไม่ให้นักการเมืองคนนั้นมีอำนาจเพื่อมาเขียนกฎหมายใหม่เพื่อลิดรอนสิทธิพิเศษของเหล่าตำรวจ
– ตำรวจญี่ปุ่นยัดเยียดข้อหาคอร์รัปชั่นให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เพียงเพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยสอบสวนพิเศษ คงสถานะ และให้ได้การยอมรับจากสังคม
– ตำรวจญี่ปุ่นยัดเยียดข้อหากับนักธุรกิจคนนึงโดยหาว่า จ้างวานบุคคลที่สามให้ฆ่าภรรยาของตน โดยเขาต้องโดนจำคุกสู้คดีหลายสิบปีและตายในสถานกักกัน
ผู้สู้คดีทั้งหลายถูกกักขังไม่ให้ออกไปไหน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสร้าง “สตอรี่” ขึ้นมาจากอากาศ และบังคับให้เซ็นชื่อ “ถ้ารับสารภาพแล้ว โทษจะเบานะ” “นายจะได้ออกจากสถานที่กักกัน ออกไปเจอครอบครัวได้”
กลุ่มตำรวจที่ว่านี้คือกลุ่มตำรวจที่อยู่ใน “หน่วยสอบสวนพิเศษ”
เหตุผลที่หน่วยสอบสวนพิเศษต้องทำแบบนี้ เพราะเป็นคำสั่งจากเบื้องบน เพื่อรักษาหน้าค่าตาของผู้ผดุงความยุติธรรม โดยการกำจัดนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ โดยยัดเยียดข้อหาให้ สร้างขึ้นมาเป็นคดีความ อาศัยสื่อมวลชนสร้างภาพว่าเหล่าจำเลยเป็นภัยต่อสังคม ความน่ากลัวที่สุดจะเกิดขึ้นเมื่อ “ตำรวจ” “สื่อมวลชน” และ “ผู้เสียหาย” จับมือร่วมกัน ในทีนี้ “ผู้ต้องสงสัย” = “ผู้มีความผิด” ไปในทันที
คุณลองคิดดูว่าคุณเคยกล่าวหาว่าทำผิดหรือเปล่าทั้งๆ ที่อยู่เฉยๆ ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร คุณก็ยิ่งเป็นเป้าให้โดนสอยให้ร่วงลงมา
“ความเป็นจริง” หรือ “ประวัติศาสตร์” จะเป็นเช่นไร นั้นขึ้นอยู่กับการพิพากษาของศาล อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ว่าคดีพลิกกลับไปกลับมา ตั้งแต่ศาลชั้นต้น อุธรณ์ และ ศาลฎีกา มันขึ้นอยู่กับ “สตอรี่” ไหนมันน่าเชื่อถือกว่ากัน ศาลได้แต่สำรวจหลักฐานที่มาจากอดีต ซึ่งศาลก็เป็นคนฟันธงสุดท้ายด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่
หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายถึงคดีประวัติศาสตร์ต่างๆ ว่ามีความไม่ชอบมาพากล ลูกเล่นตุกติกของเหล่าตำรวจนั้นเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทีถ้ามีโอกาสผมก็จะมาเขียนถึงสักวันนะครับ
ท้ายที่สุดแล้ว หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงหน้าที่ของ ตำรวจ ผู้พิพากษา และ ทนาย ทั้งสามฝ่ายไว้ดังนี้
ตำรวจ : อยู่ในองค์กรที่มีข้างบนและข้างล่าง ตำรวจผู้น้อยทำตามคำสั่งผู้ใหญ่ อยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสิทธิในการสืบสวนและจับกุม มีพาวเวอร์ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ผู้พิพากษา : สามารถทำงานเป็นอิสระ และเป็นผู้ตัดสินใจคนสุดท้ายได้ แต่ไม่สามารถเลือกคดีที่จะตัดสินได้ และเมื่อตัดสินอะไรไปแล้วก็ต้องโดนผู้พิพากษาที่ใหญ่กว่าหรือเพื่อนร่วมงานวิจารณ์ อาชีพผู้พิพากษาเป็นอิสระจากสังคมภายนอก ไม่ต้องกังวลอะไรและใช้สมาธิไปกับการตัดสินคดีความอย่างเดียวได้
ทนาย : มีอิสระที่จะเลือกคดีที่ต้องการทำงาน และเลือกวิธีการในการทำงาน แต่เมื่อเทียบกับตำรวจหรือผู้พิพากษาแล้ว ไม่มีอำนาจเทียบเท่าได้ ต้องอาศัยความสามารถของตัวเองอย่างเดียว
สิ่งที่คุณ Hironaka ต้องการจะบอกคือเราควรจะมีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายตำรวจ และในปัจจุบัน มีกฎหมายว่าไม่สามารถคุมขังผู้ต้องสงสัยได้เกิน 20 วัน แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วกฎหมายข้อนี้โดนละเลย บางคนโดนจับต้องให้อยู่ในห้องร้อนๆ ในช่วงหน้าร้อน บางคนมีโรคภัยไข้เจ็บก็รับการรักษาไม่ได้
… หนทางที่จะออกได้เร็วคือให้ยอมรับสารภาพเท่านั้น
ในพจนานุกรมของญี่ปุ่นมีการบัญญติของการคำว่า “ว่าความ” ไว้ว่า 弁護 [เบงโกะ] คือการช่วยเหลือยืนยันเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลคนนั้น
การอ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นมุมมองของทนายท่านหนึ่งที่เขาเขียนขึ้นมาเพื่อต้องการเป็นกระบอกเสียงให้คนทั่วไปรับรู้ถึงสภาพของการว่าความคดีอาญาในปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่น
แต่คุณทนาย Hironaka ก็เตือนไว้ว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย ไม่บอกให้เชื่อเลย
ผมในฐานะคนเขียนบทความก็ขอเน้นย้ำ ถึง “อิสระในการถ่ายทอดข้อความ” ต้องมีคู่กับ “การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่สื่อไป” ผมก็ขอให้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อทันทีครับ
เหตุการณ์ที่เล่ามานี้อาจจะเป็นเรื่อง “แต่ง” เรื่องหนึ่งก็ได้ ใครจะรู้ได้
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
ทักทายพูดคุยกับ Wasu ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– ระบบ “หมายเลขของฉัน” ของญี่ปุ่น
– สำเนียงคันไซ ตอนที่ 1
– คำว่า “โคะระ” ที่นักเลงเขาใช้กันมันหมายความว่าอะไรกันนะ
– เมืองโตเกียวของ Fukuyama Masaharu
– ญี่ปุ่นมีถ่ายทอดสดแข่งวิ่งมาราธอน