ทำไมเรียนปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นถึงจบยากกกกกกก!?
ไม่ทราบว่าผู้อ่านเคยมีคนรอบตัวที่ไปทำปริญญาเอกที่ญี่ปุ่นบ้างหรือไม่?
ผู้เขียนเองเคยได้ยินเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนว่า ถ้าจะไปเรียนระดับปริญญาเอกสายศิลป์ (สังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์) ที่ญี่ปุ่นล่ะก็ พึงระวังให้จงดีว่าจะเรียนไม่จบเอา แต่ผู้เขียนไม่เชื่อ และลองท้าทายตัวเองโดยการทำปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นดู และพบว่าแม้ผู้เขียนจะได้เกรดเฉลี่ย 4.00 แต่ก็คือเรียนไม่จบจริง ๆ ตามที่ตำนานว่าไว้ จนต้องกลับมาทำปริญญาเอกใหม่อีกครั้งที่เมืองไทยจึงจะเรียนจบสำเร็จได้ดังตั้งใจ
การเรียนไม่จบปริญญาเอกสายศิลป์ของญี่ปุ่นนี้ เป็นไปในลักษณะที่ว่า “ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตจึง (อาจ) จะเรียนจบได้” และบางคนแม้จะใช้เวลาชั่วชีวิตจนเกษียณอายุเกิน 60 ไปแล้วและทำปริญญาเอกมาเกิน 30 ปีไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถเรียนจบปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นได้ จัดว่าเป็นปริศนาธรรมสำหรับชาวต่างชาติจำนวนมากว่าทำไมระบบปริญญาเอกสายศิลป์ของญี่ปุ่นจึงต้องโหดร้ายเพียงนี้
ผู้เขียนจึงไปค้นคว้ามา และพบว่าหลักสูตรปริญญาเอกของญี่ปุ่นนั้น แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1) 課程博士 (คะเต-ฮะกะเซะ) หรือ ปริญญาเอกในระบบดุษฎีบัณฑิต (Doctoral Degree)
2) 論文博士 (รมบุน-ฮะกะเซะ) หรือ ปริญญาเอกแบบใช้รวมเล่มผลงานวิจัยในการขอจบ (Doctoral Degree by Dissertation)
สายวิทย์ของญี่ปุ่นนั้นแรกเริ่มที่ก่อตั้งหลักสูตรปริญญาเอกก็ใช้ระบบคะเต-ฮะกะเซะ กันมาตั้งแต่ต้น คือมองว่าปริญญาเอกเป็น “ก้าวแรก” สำหรับนักวิจัยหรืออาจารย์มหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงมีการเรียนวิชาเรียนต่าง ๆ แบบคอร์สเวิร์ค มีเงื่อนไขชัดเจนว่าต้องตีพิมพ์ผลงานวิชาการกี่ชิ้น และไปนำเสนอผลงานในที่ประชุมวิชาการกี่ครั้ง เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกให้เสร็จ ก็จะเรียนจบได้ภายใน 3-6 ปี ได้คำว่า ดร. มาประดับเพื่อเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อไปในวงวิชาการ
ในทางตรงกันข้าม สายศิลป์ของญี่ปุ่น (สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์) นั้นแรกเริ่มที่ก่อตั้งหลักสูตรปริญญาเอก ใช้ระบบเดียวคือระบบรมบุน-ฮะกะเซะ คือมองว่าปริญญาเอกเป็น “ขั้นสุดท้ายของชีวิต” ของนักวิจัยหรืออาจารย์มหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงต้องการ “ผลงานที่สะสมมาตลอดชีวิตแบบ Life Work” คือรวมผลงานวิชาการที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต (ไม่มีเกณฑ์ว่ากี่ชิ้นด้วย ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกรรมการล้วน ๆ ว่ากี่ชิ้นดี อาจจะ 10 ชิ้น หรือบางกรณีกรรมการโหด ๆ โดนถึง 20-30 ชิ้นก็มี) มารวมเล่มเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกตอนที่ตัวเองกำลังจะเกษียณหรือหลังจากเกษียณไปแล้ว (ส่วนใหญ่จะผ่านขั้นตอนการเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์–> รองศาสตราจารย์ –> ศาสตราจารย์ กันมาแล้วจึงเข้าสู่กระบวนการขอปริญญาเอก เป็นลำดับที่ตรงข้ามกับชาวโลก) มาส่งให้มหาวิทยาลัย แล้วกรรมการของมหาวิทยาลัยจึงพิจารณาความเหมาะสมว่า “เป็นนักวิชาการที่มีผลงานอันยิ่งใหญ่สำหรับวงวิชาการนั้น ๆ แล้วหรือยัง” แล้วจะมอบปริญญาเอกให้เป็นรางวัลชีวิต
ปริญญาเอกสายศิลป์ของญี่ปุ่นนั้น ดั้งเดิมจึงมีความเป็น Life Work ต้องอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มา และบางคนแม้อุทิศทั้งชีวิตไปแล้วก็ยังไม่ได้รับปริญญาเอกก็มีถ้ากรรมการพิจารณาแล้วว่ายังไม่ได้อุทิศทั้งชีวิตให้วงการนั้น ๆ มากพอ หรือบางครั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและกรรมการของตัวเองเสียชีวิตไปก่อน ทำให้หมดโอกาสได้ปริญญาเอกไปตลอดชีวิตก็พบได้อยู่เนือง ๆ แต่ภายหลังเมื่อโลกเข้าสู่ยุคปัจจุบัน สายศิลป์ของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นหลายแห่งจึงมีการปรับหลักสูตรจากรมบุน-ฮะกะเซะ ให้กลับมาเป็นคะเต-ฮะกะเซะ เหมือนสายวิทย์กันบ้าง และกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นก็สนับสนุนให้ปรับมาเป็นคะเต-ฮะกะเซะให้มากที่สุดเพื่อให้เหมือนกับระบบของชาวโลกประเทศอื่น ๆ เขา แต่เนื่องจากอาจารย์สายศิลป์จำนวนมากในมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นนั้นยังคุ้นชินกับระบบรมบุน-ฮะกะเซะ กันอยู่ ดังนั้นแม้ว่านักศึกษาจะเรียนในระบบคะเต-ฮะกะเซะ ที่ควรจะจบได้ใน 3-6 ปี แต่อาจารย์ก็ยังจะประเมินผลงานของนักศึกษาด้วยทัศนคติแบบรมบุน-ฮะกะเซะ คือถ้าวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาไม่ได้เป็น Life Work ที่ยิ่งใหญ่ระดับที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หรือเปลี่ยนแปลงสังคมได้ อาจารย์จำนวนมากก็จะตัดสินใจไม่มอบปริญญาเอกให้อยู่ดี ทำให้นักศึกษาจำนวนมากต้องพบจุดจบด้วยสถานภาพพิเศษคือ “เก็บหน่วยกิตปริญญาเอกครบและลาออกจากหลักสูตรปริญญาเอกเมื่อศึกษาครบเต็มเวลา” หรือ ทังอิ-ชุโตะกุ-มังกิ-ไทงะกุ (単位取得満期退学) ซึ่งเป็นสถานภาพที่ประหลาด คือสูงกว่าปริญญาโทแต่ต่ำกว่าปริญญาเอก เพราะเรียนจบหลักสูตรปริญญาเอกแล้วเนื่องจากเก็บหน่วยกิตครบ แต่ยังไม่เรียกว่าจบปริญญาเอกเพราะยังไม่ได้ส่งวิทยานิพนธ์ จึงใช้คำว่า ดร. นำหน้าชื่อไม่ได้ แต่ก็คือเรียนจบปริญญาเอกแล้วนะ แต่ก็คือยังไม่ได้เป็น ดร. (เขียนเองก็งงเอง)
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าอาจารย์สายศิลป์ทุกคนจะเป็นแบบนี้ เรื่องเลยกลายเป็นว่า ขึ้นอยู่กับดวงหรือไทมิ่งด้วย ว่าไปเจออาจารย์สายคะเต-ฮะกะเซะที่ปล่อยจบใน 3-6 ปี หรือไปเจออาจารย์สายรมบุน-ฮะกะเซะที่ลากชีวิตของนักศึกษายาว ๆ ไป 15-30 ปี ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกลั่นกรองหาอาจารย์ของแต่ละคนกันล่ะว่าตัวเองจะเรียนจบหรือไม่จบก็ขึ้นอยู่กับการอ่านใจอาจารย์ให้ออกนี่ล่ะ
ช่วงที่เขียนคอลัมน์นี้เป็นช่วงที่หลายคนกำลังเตรียมตัวไปสอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่นแบบผ่านสถานทูตฯ กันพอดี ก็ได้แต่หวังว่าทุกท่านจะเลือกมหาวิทยาลัยและเลือกอาจารย์อย่างระมัดระวัง จะได้ไม่ต้องใช้เวลาทรมานไปอีก 15-30 ปี หรือต้องกลับไทยมาเรียนปริญญาเอกใหม่หมดอีกครั้งเหมือนผู้เขียน ^___^
เรื่องแนะนำ :
– ทำไม Manga และ Anime ญี่ปุ่นถึงโด่งดังถึงเพียงนี้?
#ทำไมเรียนปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นถึงจบยากกกกกกก!?