หลายๆ คนอาจมองว่า คนญี่ปุ่นในเมืองไทยได้อยู่ที่ดีๆ (ย่านสุขุมวิท) เงินเดือนหลักแสน มีคนขับรถและแม่บ้านส่วนตัว ลูกๆ ได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์เพราะบริษัทส่งให้ แถมได้บินไปประชุมประเทศนู้นนี้บ่อยๆ เก็บไมล์สายการบินได้บาน จริงๆ แล้ว คนญี่ปุ่นเค้าก็มีเรื่องลำบากของเค้านะคะ
หลายๆ คนอาจมองว่า คนญี่ปุ่นที่ทำงานอยู่ที่นี่ ได้อยู่ที่ดีๆ (ย่านสุขุมวิท) เงินเดือนหลักแสน มีคนขับรถและแม่บ้านส่วนตัว ลูกๆ ได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์เพราะบริษัทส่งให้ แถมได้บินไปประชุมประเทศนู้นนี้บ่อยๆ เก็บไมล์สายการบินได้บาน จริงๆ แล้ว คนญี่ปุ่นเค้าก็มีเรื่องลำบากของเค้านะคะ

เผอิญตอนนี้ ดิฉันไปช่วยงานบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งอาทิตย์ละครั้ง ที่นี่มีคนญี่ปุ่นทำงานอยู่แล้วสองคน นอกนั้นอีกสิบกว่าชีวิตเป็นคนไทยหมด อยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้องค่ะ เราเริ่มทำโปรเจ็คยักษ์ใหญ่กับบริษัทไทย เนื่องจากบริษัทเรายังเล็กอยู่และกำลังคนไม่พอ เราเลยขอคนจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นให้มาช่วย
คนที่ถูกส่งมาชื่อ “เคนจิ” เป็นคนญี่ปุ่นที่ประจำอยู่ที่สิงคโปร์ เชี่ยวชาญด้านการเปิดร้านในต่างประเทศมาก อายุประมาณสามสิบกว่า ผิวคล้ำๆ มาดประมาณลูกน้องยากูซ่า ดูเฮี้ยวๆ หน่อย แต่เก่งใช้ได้ค่ะ เฮียจะมาช่วยโปรเจ็คนี้เดือนครึ่ง จากนั้นก็บินกลับไปทำงานที่สิงคโปร์เหมือนเดิม
มนุษย์เคนจิทำงานสมศักดิ์ศรีมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นมาก มาเช้ากลับดึก บางทีงานด่วนมากๆ ก็เรียกเกตุวดี (ซึ่งเป็นมนุษย์ขี้เกียจ คนละสายพันธุ์กับมนุษย์เคนจิ) ไปทำงานวันเสาร์ด้วย ดิฉันเซ็งจิตมาก แต่ก็สงสารเฮียแก เพราะเท่าที่เห็น แกก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยสุขสบายอย่างที่ดิฉันคิดค่ะ ลองมาดูกันว่ามนุษย์เคนจิต้องต่อสู้กับอะไรบ้างค่ะ

1. ต่อสู้กับความไร้ระเบียบในบริษัทไทย
มนุษย์เคนจิรักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้ามีเศษขยะอยู่แกก็จะเก็บทิ้งขยะ พอแกทำสัก 2-3 ครั้ง พวกเราก็ไม่กล้าปล่อยเศษขยะให้อยู่บนพื้นอีกเลย เฮียแกเชื่อว่า “ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ต้องเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก่อน” เล็กๆ น้อยๆ ระดับเศษขยะนี่แหละ แกชอบเตือนให้พวกเราจัดเอกสารเข้าแฟ้มให้เรียบร้อย อย่ากองๆ ของไว้บนโต๊ะ
น้องๆ บางคนที่บริษัทแอบตั้งข้อสงสัยไว้ว่า ที่แกเยอะขนาดนี้ คงเป็นแกเกิดมาเป็นคนญี่ปุ่น แถมดันอยู่สิงคโปร์มานาน ฮอร์โมนเจ้าระเบียบเลยซึมซับอยู่ในสายเลือดอย่างเข้มข้น เห็นอะไรเบี้ยว รก ไม่ได้ ต้องรีบเข้าไปจัดๆ ตบๆ แก้ๆ
ล่าสุด แกส่งอีเมลฉบับนี้ให้พวกเราค่ะ….. “Why we need 5S” (ทำไมเราต้องรักษา 5 ส.)

ทำไม 5ส. ถึงสำคัญ…เสนอข้อมูลโดยมนุษย์เคนจิ
พอกดไปดู เป็นรายการญี่ปุ่นยาว 10 นาที เล่าว่าบริษัทญี่ปุ่นยิ่งใหญ่ได้ด้วยการพยายามรักษาความสะอาดแบบนี้นี่แหละ! (ใครสนใจคลิก http://www.youtube.com/watch?v=-6q3gU92O_U ) ดิฉันคิดว่าแกคงพยายามปลุก….ไม่สิ….”ขุด” จิตสำนึกของพวกเรา ให้หันมารักความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ไหนๆ แกก็อยู่แค่เดือนกว่า เราเลยยอมๆ เออออตามแก หนึ่งเดือนนี้ เราปลูกผักชีบานบริษัทเลยค่ะ โรยกันสนุกสนานมาก 555…
จริงๆ ที่ว่ามา มันก็เป็นเรื่องปกติของเจ้านายญี่ปุ่นแหละค่ะ แต่เหตุการณ์ล่าสุดที่ดิฉันรู้สึกว่าแกสุดโต่งไปนิดนึง …คือ
วันหนึ่งมันมียุงบินไปบินมาในห้องแกกับคนญี่ปุ่นอีกคนก็นึกคึก แข่งกันตบยุง พอดีพี่แกฆ่ายุงได้ เลยเอาศพมาโชว์ให้พวกเราดูว่าข้าชนะแล้ว จากนั้นแทนที่จะปัดลงพื้น แกค่อยๆประคองศพยุงไปทิ้งที่ถังขยะตรงมุมห้องซึ่งห่างประมาณ 1 เมตรจากที่นั่งแก แล้วเดินไปล้างมือ…
2. หาที่ซักกางเกงในไม่ได้
ที่อยู่อาศัยของมนุษย์เคนจิคือ อพาร์ทเมนท์แบบเช่ารายเดือนที่อยู่ใกล้ๆ บริษัท เสื้อผ้า เฮียแกก็เอามาไม่กี่ชุดเลยต้องจ้างร้านซักผ้า แต่อนิจจา ความซวยของเคนจิคือ ทางร้านปฏิเสธไม่ยอมซักกางเกงในและถุงเท้าให้ พอเราแนะนำให้ซื้อกะละมังและผงซักฟอกมาซักๆ ขยี้ๆ มนุษย์เคนจิก็บ่นกระปอดกระแปดว่า ไม่มีเวลา ไม่มีที่ตาก จนพนักงานหญิงคนหนึ่งสงสาร เสนอตัวรับซักกางเกงในให้ เฮียก็เกรงใจ ไม่กล้าให้ซักอีก
หนุ่มๆ ในบริษัทพยายามแนะนำให้แกลองใส่กางเกงในกลับหน้า-หลังดู แต่แกก็รับไม่ได้ เป็นคนรักสะอาด พี่ฝ่ายการตลาดอีกคนเลยยุว่า ไม่ต้องใส่กางเกงในมาเลยก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก…555
ช่วงนี้ พอดีมีเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามา พวกเราชาวไทยเลยไม่ได้อัพเดทสถานการณ์กางเกงในของเฮียว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ได้ยินแว่วๆ ว่าเฮียยังคงพยายามเดินหาร้านที่จะยอมซักกางเกงในให้ ระหว่างที่หาร้านอยู่นั้น ก็ไปซื้อกางเกงในใหม่มากักตุน… สู้ต่อไป เคนจิ!
3. ถูกทอดทิ้ง
พวกเราชาวไทยในบริษัท มีนิสัยเสียอยู่อย่าง คือ พอเห็นว่าคนญี่ปุ่นเริ่มๆ ปรับตัวกับสังคมไทยได้ ก็ไม่ประคบประหงม ดูแลเหมือนแต่ก่อน กึ่งๆ ทอดทิ้งเล็กน้อย แกจะไปซื้อของอะไร ก็ไปเอง ขี้เกียจตามไปด้วย จะดื่มน้ำ ก็เปิดตู้เย็นหยิบเองละกันนะ ไม่เสิร์ฟให้แล้ว บางทีความละเลยของพวกเราก็เป็นภัยต่อมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นค่ะ
ปกติช่วงพักเที่ยง พวกเราจะไปทานข้าวตรงร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ บริษัท ตอนแรกๆ มนุษย์เคนจิเริ่มสั่งเมนูที่อัตราความเสี่ยงต่ำ กล่าวคือ อาหารที่คล้ายๆ กับที่ญี่ปุ่น ไม่เผ็ด คนญี่ปุ่นกินได้และรสชาติดี เช่น ข้าวผัด ผัดไท บะหมี่น้ำ
พวกเราเองก็พยายามนำเสนอวิถีชีวิตแบบไทย กล่าวคือ กินอะไรต้องปรุง เช่น ดึงชามก๋วยเตี๋ยวแกมาโดยพลการ แล้วใส่น้ำปลานิด พริกป่นหน่อย น้ำตาลช้อนนึง ปรุงให้เสร็จสรรพ
แม้ตอนแรก เคนจิจะพยายามแย้งว่า ทำไมไม่ชิมก่อน และน้ำตาลกับราเม็งมันไม่เข้ากันนะ…แต่เราชาวไทยไม่สน เอ็งเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม กินไปกินมาแกก็เริ่มติดใจ ปล่อยให้เราลองปรุงอย่างอื่นให้บ้าง เช่น ข้าวผัด เราก็เหยาะน้ำปลาพริก บีบมะนาวให้ ผัดกะเพรา ก็เหยาะแม้กกี้ให้ตรงไข่ดาว
สองอาทิตย์ผ่านไป แกเริ่มคุ้นเคยกับการปรุง และลองปรุงเองบ้าง พวกเราก็เลยปล่อยๆ แก มีอยู่วันหนึ่ง แกสั่งเส้นใหญ่ราดหน้าหมู พอพนักงานยกมา แกก็ตั้งหน้าตั้งตาปรุง เราก็ตั้งหน้าตั้งตาคุยกัน พอหันมาดูแกอีกที แกราดน้ำปลาไปสามช้อนเต็มๆ แล้ว เกตุวดีก็กรีดร้อง พี่ผู้ชายที่นั่งข้างๆ เลยรีบดึงมือแกไว้ พี่ผู้ชายอีกคนก็ทำตัวเป็นพระเอก ขี่ม้าขาวเข้ามากู้รสชาติโดยการเทน้ำส้มสายชูลงไปสองช้อน ใส่น้ำตาลอีก 1 ช้อนเต็มๆ เหยาะพริกป่นไปอีกหน่อย ทุกอย่างวุ่นวายมาก แกชิมแล้วทำหน้าเฝื่อนๆ และพยายามฝืนบอกว่า “มันก็โอเค” … ดิฉันสังเกตว่า มื้อนั้นแกกินน้ำมากกว่าปกติค่ะ 555…
มนุษย์เคนจิจะกลับสิงคโปร์อาทิตย์หน้าแล้ว หมดเวลาสนุกแล้วสิ… (น้ำเสียงเทเลทับบี้) มาเป็นกำลังใจให้มนุษย์เคนจิอยู่รอดในเมืองไทยได้ต่อไปจนวันกลับนะคะ ☺
#คนญี่ปุ่นในเมืองไทย สบายจริงหรือ?