จุดเที่ยวจุดแรกในทริปฮอกไกโดหน้าร้อน ในวันนี้ ตอนเช้าเราขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของ Daisetsuzan National Park อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ขอขอบคุณ : การบินไทย Hokkaido Tourism Organization และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่สนับสนุนการเดินทาง
ถ้าเป็นคนโลกสวยคงต้องบอกว่าเช้านี้ตื่นอย่างสดชื่นในบรรยากาศอันสดใส แต่ความจริงแล้วตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียและสายเอาเสียด้วย จนทำให้พลาดไปชิมอาหารเช้าในโรงแรม เป็นที่อับอายเล็กๆ กับเพื่อนร่วมคณะ ใครถามใครทักด้วยความเป็นห่วงว่ากินข้าวเช้าแล้วหรือยัง ก็ยืดอกตอบว่าไม่หิว ทั้งที่ท้องและปากอยากจะทำงานเป็นอย่างยิ่ง

พร่ำเพ้อพอสมควรล่ะ ไปเที่ยวจุดแรกของวันกันดีกว่า เช้านี้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของ Daisetsuzan National Park อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นทั้งยังเป็นต้นน้ำที่สำคัญ 2 สายคือ แม่น้ำ Ishikari และแม่น้ำ Tokashi
จุดที่เราจะขึ้นไปชมกันนั้นคือภูเขา Kurodake โดยนั่งกระเช้าขึ้นไปยังสถานีที่ 5 ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร จากความสูงทั้งหมดของยอด 1,984 เมตร (เขาว่าถ้าอยากขึ้นไปให้ถึงยอดต้องใช้วิธีเดินเท้าขึ้นไป อันนี้ขอบายล่ะกัน)









ถ่ายรูปวิวกันจนหนำใจ เจ้าหน้าที่ของทาง Kurodake ก็ลากลงมาจากจุดชมวิวบอกว่าจะพามาดู กระรอก!!!!
เอ้า! ดูกระรอก ก็ดูกระรอก จะได้เห็นกับตาว่ากระรอกญี่ปุ่นหน้าตาเป็นยังไง
ลงมาไม่เจอกระรอกสักตัว ดูท่าทางเจ้าหน้าที่จะผิดหวังเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถหากระรอกให้เราดูได้ เราก็ได้แต่ปลอบในใจว่าไม่เป็นไร ที่บ้านตรูก็มี T_T
เพื่อเป็นการไถ่โทษ เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินนำเราไปบอกว่ามีอีกอย่างหนึ่งที่อยากให้ได้เห็น เราก็เดินตามอย่างระมัดระวังเพราะทางเดินค่อนข้างเปียกชื้นจากหิมะบางส่วนที่กำลังละลาย เดินๆ ไต่ๆ สักแป๊บ ก็มาเจอต้นนี้

เจ้าหน้าที่ยิ้มและพูดอย่างภาคภูมิใจว่านี่คือซากุระในญี่ปุ่นต้นสุดท้าย ที่กำลังผลิดอกบาน รอยยิ้มนี้เป็นยิ้มที่เหมือนได้ไถ่โทษลบล้างความผิดที่ไม่สามารถหากระรอกให้เราดูได้ (คนญี่ปุ่นเวลารู้สึกผิดจะรู้สึกผิดแบบสุดซึ้งจนเราสัมผัสได้จริงๆ)
ซากุระต้นนี้เลยกลายเป็นดาราดัง ใครมาเห็นก็ต้องรุมถ่ายรูปทั้งไทย ทั้งจีน ทั้งฝรั่ง ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะแม้แต่เราก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ขึ้นมาเจอกับดอกซากุระบนที่แห่งนี้


ชื่นชมวิวมุมสูงพอให้ใจหวิวๆ ก็นั่งกระเช้ากลับลงมาข้างล่าง ขาลงไม่ได้ถ่ายรูปอะไรนักเพราะคนลงมาพร้อมกันเยอะมาก ก็ดีทำให้ไม่ต้องมองวิวด้านนอกมากช่วงลดความเครียดลงไปได้พอควร
ขึ้นรถไกด์ก็นำเราไปในที่ที่คุ้นตาเหมือนเคยได้มาแล้วครั้งหนึ่ง ลงจากรถก็ถึงบางอ้อเพราะจำเสียงนี้ได้ เสียงน้ำตกและน้ำหลากเหมือนที่ได้ยินเมื่อคืนนี้เอง
จุดที่มานี้คือสถานที่แห่งเดียวกับเมื่อคืนที่มาดูดาวนี่เอง แต่ยามกลางคืนกับกลางวันวิวทิศทัศน์แตกต่างกันพอสมควร เนื่องจากเมื่อคืนอยู่ท่ามกลางความมืดไม่สามารถมองเห็นรอบข้างได้เลย ทำให้ต้องใช้การสร้างภาพจินตนาการว่าภูมิทัศน์รอบข้างเป็นอย่างไร ซึ่งได้พิสูจน์ความจริงแล้วเป็นคนไม่สันทัดในเรื่องนี้ ภาพที่สร้างไว้เมื่อคืนกับภาพที่ได้เห็นตอนนี้ช่างต่างกันอย่างลิบลับจริงๆ
ภาพเบื้องหน้าตอนนี้เป็นหน้าผาสูงที่มีสายน้ำสาดเทลงมา เสียงน้ำที่ได้ยินเมื่อคืนก็คือเสียงของ Gin Ga No Taki หรือน้ำตกกิ้งก่าตามการออกเสียงแบบไทยๆ เพื่อให้จดจำง่าย น้ำตกที่ญี่ปุ่นเคยได้ยินคนอื่นเล่าว่าน้ำตกในญี่ปุ่นนั้นไม่ได้กว้างใหญ่และไหลเป็นชั้นๆ เหมือนอย่างในบ้านเรา ก็เพิ่งได้เป็นครั้งแรกกับตาว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง น้ำไหลจากหน้าผาสูงลงมากระทบกับลำธารด้านล่างที่ไหลอย่างเชี่ยวกราก ชนิดที่หมดสิทธิ์ที่แม้แต่จะเอาเท้าหรือมือลงไปสัมผัสกับความเย็นในน้ำ ทำได้แต่เก็บภาพมาฝากเท่านั้น


ยิ่งเวลาผ่านไปท้องเริ่มหิวขึ้นเรื่อยๆ คงจะโทษใครไม่ได้เพราะเมื่อเช้าเห็นแก่นอนมากกว่าเห็นแก่กิน มานึกเปลี่ยนใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
พอได้ยินว่าจากนี้จะไปทานข้าวกลางวัน ก็รีบกุลีกุจอขึ้นรถ อายะซังบอกว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เอาว่ะนอนแก้หิวสักแป๊บก็คงถึง หลับไปได้ไม่ถึงไหนก็ถูกปลุกด้วยเสียงของอายะซัง ทำไมถึงเร็วอย่างนี้ แต่ร้านอาหารที่นี่อยู่มันโหวงๆ ชอบกล ลงจากรถแบบสติยังไม่ค่อยคืน ก็ให้เกิดอาการงงๆ ไม่รู้จากความหิวหรือความง่วง บอกว่าจะพาไปกินข้าวไหนถึงพามาดูภูเขาอีกแล้ว
แต่พอดูนาฬิกาก็ให้เข้าใจได้ ใช้เวลาเดินทางมาแล้วประมาณหนึ่งชั่วโมง รถคงต้องจอดพักบ้าง ลงมาเดินยืดเส้นยืดสาย สูดอากาศบริสุทธิ์ก็คลายความงอแงจากอาการหิวได้บ้าง




รถก็พาเรามาถึง Tokachi Ecology Park สวนที่ศึกษาระบบนิเวศน์และยังเป็นสถานที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ (ไหนบอกว่าจะไปกินข้าวไง T_T) ด้วยความสงสัยจึงขอถามอายะซังตรงๆ ว่าเรามากินข้าวกันใช่ไหม อายะซังตอบแบบให้ได้ยิ้มออกว่า “ไฮ่”
สักพักเจ้าหน้าที่จาก Ecology Park ก็เดินนำเราผ่านไปสู่ด้านในสุดของสวน ระหว่างทางได้เห็นลานกิจกรรมต่างๆ มีเด็กญี่ปุ่นตัวน้อยตัวใหญ่กำลังทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนาน น่าเสียดายที่เรามาที่นี่เพื่อทานอาหารอย่างเดียว เลยไม่ได้มีโอกาสได้เดินชมส่วนต่างๆ ทั้งๆ ที่เท่าที่ดูมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจทีเดียว
มื้อกลางวันนี้แค่เห็นก็ยิ้มออก เป็นบาร์บีคิวหรือปิ้งย่างหรืออะไรก็สุดแล้วแต่จะเรียก มีสารพัดเนื้อไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ เนื้อวัวหรือแม้กระทั่งเนื้อเจงกิสข่าน (เนื้อแกะคนญี่ปุ่นมักจะเรียกว่าเนื้อเจงกิสข่าน) ผักสดนานาชนิด มื้อนี้ก้มหน้าก้มตาทั้งปิ้งทั้งกิน ไม่ค่อยพูดคุยกับใครเพราะปากไม่ว่างเลย



เติมท้องเรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อไปยัง Shichiku Garden สวนสวยที่เกิดขึ้นจากพลังแรงบันดาลใจจากคุณยาย Akiyo Shichiku ภายในสวนขนาดกลางที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กนัก แต่เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้สร้างสรรยิ่งนัก โดยเฉพาะด้วยสองมือของผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างคุณยาย Akiyo
ปกติไม่ได้เป็นนักชมสวน ชมดอกไม้ ดอกไม้ที่พอนึกรู้จักชื่อเชื่อว่าไม่เกิน 2 มือนับ แต่ภายในสวน Shichiku นี้ชนิดของดอกไม้มากมายจนยืมมือคนทั้งหมู่บ้านก็คงยังไม่พอ
ด้วยจำนวนดอกไม้มากกว่า 2,500 ชนิดบนเนื้อที่กว่า 59,400 ตารางเมตร ที่คุณยายพลิกฟื้นจากผืนดินที่ว่างเปล่าเมื่อ 25 ปีก่อน จนเกิดเป็นสวนสวยติดอันดับ 1 ใน 7 สวนสวยในฮอกไกโดที่ห้ามพลาด แอบถามคุณยายถึงวิธีในการดูแลพันธ์ุไม้ต่างๆ ว่ามีเทคนิคอย่างไร คุณยายตอบแบบภาคภูมิใจว่านอกจากให้น้ำแล้ว ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอื่นใดอีกเลย ทุกอย่างเป็นตามธรรมชาติ เติบโตอย่างธรรมชาติและสวยงามอย่างธรรมชาติ
ใครมา Obihiro ก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมชมสวนสวยๆ น่ารักๆ ของคุณยาย Akiyo ในหนึ่งปีจะเปิดให้ชมได้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงปลายเดือนตุลาคม เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่http://www4.ocn.ne.jp/~shichiku/





ร่ำลาจากคุณยายที่อุตส่าห์มาส่งถึงรถบัส ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไป “Makiba no Ie”ฟาร์มเลี้ยงแกะที่มีบริการครบวงจร ทั้งการแสดงโชว์ หรือจะมาพักในแบบฟาร์มสเตย์
ชมการแสดงการต้อนแกะโดยสุนัขที่แสนรู้ รวมทั้งการตัดขนแกะโดยคุณโอยะ ถึงแม้จะเคยได้ชมการแสดงลักษณะนี้จากที่อื่นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังสร้างความเพลิดเพลินได้ทุกที โดยเฉพาะการต้อนเป็ด ที่เห็นแล้วเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อยทีเดียว





ค่ำคืนนี้เข้าพักในโรงแรมที่ตั้งชื่อได้อย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องสับสนว่าอยู่ที่ไหน “Hokkaido Hotel” ในเมืองโอบิฮิโระ

อยากปรบมือให้กับคนจัดอาหารวันนี้เสียจริงๆ ไม่ได้พูดประชดแต่อย่างใด จะโดยบังเอิญหรือจากความตั้งใจก็แล้วแต่ มื้อค่ำนี้ถูกจัดด้วยอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งต่างกันสุดขั้วกับมื้อกลางวันที่ถูกอัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ
Tokachi Farmers Restaurant ด้วยคอนเซปท์ของร้านคือ “Restaurant for vegetables” ค่ำนี้อาหารที่เสิร์ฟจึงปราศจากโปรตีนจากสัตว์ทุกชนิด ทุกเมนูถูกอกถูกใจคนชอบทานผักเป็นอย่างยิ่ง (T^T)
ไม่ว่าจะเป็นชาบูชาบูผักในน้ำขิง น้ำเพื่อสุขภาพที่สกัดจาก “โกโบ” รากไม้ชนิดหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนิยมนำมาปรุงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพในหลากหลายชนิด ปิดท้ายด้วยพิซซ่าเห็ดที่อร่อยจนอยากจะขอซ้ำ


อิ่มท้องแล้วเจ้าภาพพาคณะไปเดินย่อยย่านกินดื่มของชาวโอบิฮิโระ ในย่าน Kita no Yatai ซึ่งเป็นยะไตแห่งแรกบนเกาะฮอกไกโด
Yatai คือร้านค้าแผงลอยที่มักจะขายเครื่องดื่มและอาหารที่ทานง่ายๆ โดยปกติร้านจะเป็นลักษณะรถเข็นหรือร้านชั่วคราวที่เปิดให้บริการเฉพาะในเวลากลางคืน ในช่วงกลางวันก็จะเก็บร้านเรียบร้อย แต่ Kito no Yatai นี้ร้านจะดูเป็นโครงสร้างถาวรมากกว่า อาหารก็มีหลากหลายประเภทให้เลือกตามความชอบ ใครอยากหาอะไรกินดื่มเบาๆ ก่อนนอน ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว
คืนนี้ต้องรีบเข้านอนเอาแรง เพื่อพรุ่งนี้จะได้ทันตื่นขึ้นมาทันเวลาอาหารเช้าและเก็บแรงไว้ขี่จักรยานเที่ยวในวันรุ่งขึ้น
เรื่องที่เกี่ยวข้อง>>
– รีวิวเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อน ตอนที่ 4 : เหนือเมฆฮอกไกโด
– รีวิวเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อน ตอนที่ 3 : ปั่นจักรยานกินลม แวะร้านขนมกินของหวาน
– รีวิวเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อน ตอนที่ 1 : บินตรงสู่ฮอกไกโด
ขอขอบคุณ : การบินไทยและ Hokkaido Tourism Organization และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่สนับสนุนการเดินทาง