การล่ามและการแปลภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย
วันนี้อยากพูดประเด็นการล่ามและการแปลระหว่างภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยบ้าง
หลายท่านมักคิดว่าแค่เก่งภาษาญี่ปุ่นก็น่าจะสามารถทำงานล่ามหรืองานแปลได้ดีแล้ว แต่ที่จริงแล้วการล่ามและการแปลมีอะไรมากกว่านั้น โดยผู้เขียนจะขอเรียกว่า “ปัจจัยสี่แห่งการแปลและล่าม” คือ
“ความสามารถในภาษาต้นทาง + ความสามารถในภาษาปลายทาง + ความรู้เฉพาะทางในแต่ละวงการ + จรรยาบรรณ”
แน่นอนว่าการล่ามและการแปลยังมีรายละเอียดแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยการล่ามจะเน้นไปที่ความเร็วในขณะที่ล่าม ส่วนการแปลเน้นไปที่ความถูกต้องและการตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกของภาษาที่แปลออกมา แต่เนื่องจากมีสิ่งที่ใช้ร่วมกันอยู่มาก ในที่นี้จึงขอเหมารวมการล่ามและการแปลว่าต้องการปัจจัยสี่แห่งการแปลและล่ามดังกล่าวไม่แตกต่างกัน
1. ความสามารถในภาษาต้นทาง และ 2. ความสามารถในภาษาปลายทาง
คือต้องเก่งทั้ง 2 ภาษา อาจไม่ต้องถึงกับเก่งเท่ากันทั้ง 2 ภาษาก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องไม่มีภาษาใดภาษาหนึ่งที่แย่จนเกินไป ผู้เขียนรู้จักคนไทยบางท่านที่ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กจนเกือบจะเป็นเจ้าของภาษาญี่ปุ่นไปเลย ส่วนภาษาไทยค่อนข้างแย่ แต่เจ้าตัวคิดเอาเองว่า เพียงเก่งภาษาญี่ปุ่นก็เพียงพอให้เป็นล่ามหรือนักแปลได้ ผลก็น่าจะเดากันได้ว่าทำงานล่ามและงานแปลออกมาไม่ราบรื่นนัก การตระหนักรู้ว่าต้องเก่งทั้ง 2 ภาษา คือภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง จึงจำเป็นมาก โดยหากจะแจกแจง “ภาษา” ตามหลักวิชาการก็จะได้คร่าว ๆ ดังนี้
1) Phonetics & Phonology (音声学・音韻論) ภาษาไทยคือ สัทศาสตร์และสัทวิทยา เป็นวิชาว่าด้วยเรื่องเสียงในภาษา
2) Morphology (形態論) ภาษาไทยคือ วิทยาหน่วยคำ หรือ วจีวิภาค เป็นการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างภายในของหน่วยไวยากรณ์ที่เล็กที่สุด เช่น การศึกษาหน่วยคำ (morpheme)
3) Syntax (統語論) ภาษาไทยคือ วากยสัมพันธ์ เป็นการศึกษาไวยากรณ์ของหมวดคำที่ประกอบคำเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น
4) Semantics (意味論) ภาษาไทยคือ อรรถศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยความหมายของภาษา โดยวิเคราะห์จากรูปแบบของภาษาเอง
5) Pragmatics (語用論) ภาษาไทยคือ วัจนปฏิบัติศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยความหมายของภาษา โดยวิเคราะห์จากบริบทที่ใช้ภาษา
6) Discourse Analysis (談話分析) ภาษาไทยคือ ปริจเฉทวิเคราะห์ หรือ วาทกรรมวิเคราะห์ เป็นการวิเคราะห์หน่วยทางภาษาที่ใหญ่กว่าประโยค
7) Semiotics (記号学・記号論) ภาษาไทยคือ สัญวิทยา คือการวิเคราะห์ความหมายของสัญลักษณ์ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา
เวลาต้องล่ามหรือแปล ต้องคำนึงถึงหลักการทางภาษาศาสตร์ทั้ง 7 ประการ เช่น จะถอดเสียง TSU, ZU, SHI, JI ของภาษาญี่ปุ่นเป็นไทยอย่างไร? จะถอดเสียงยาว Tōkyō เป็น “โตเกียว” หรือ “โท-คโย”?
หรือเวลาคนญี่ปุ่นพูดว่า “ขอเวลาคิดก่อน” จะตีความหมายตรงตามตัวอักษรตามหลักอรรถศาสตร์ หรือจะตีความตามบริบทที่กำลังคุยกันตามหลักวัจนปฏิบัติศาสตร์? เวลาคนญี่ปุ่นใช้สำนวนหรือสุภาษิตเช่น “ถูกสุนัขจิ้งจอกหยิก” หรือ “อยากขอยืมมือแมว” เราจะใช้หลักสัญวิทยามาล่ามหรือแปลเป็นภาษาไทยอย่างไร? เป็นต้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เวลาล่ามและแปลภาษาญี่ปุ่นและไทย
3. ความรู้เฉพาะทางในแต่ละวงการ
หากเก่งทั้งภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง แต่ขาดความรู้เฉพาะทางในแต่ละวงการ แล้วไม่ยอมค้นคว้าเพิ่มเติม ย่อมนำหายนะมาสู่การล่ามและการแปลในครั้งนั้นแน่นอน โดยความรู้เฉพาะทางที่นิยมกล่าวถึงในวงการล่ามและแปลคือ
1) ด้านกฎหมาย
2) ด้านธุรกิจและการค้า
3) ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์
4) ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
5) ด้านวรรณคดีและวรรณกรรม
แม้จะเก่งภาษาต้นทางและปลายทางสักเพียงใด แต่หากขาดความรู้เฉพาะทางในแต่ละวงการและไม่ยอมศึกษาเพิ่มเติมในขณะที่ทำงานล่ามและแปล ก็อาจสร้างความเสียหายในการสื่อสารนั้น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น คำว่า Torikeshi (取消) ในภาษาญี่ปุ่น หากเปิดพจนานุกรมก็จะแปลว่า “ลบ ล้มเลิก ลบล้าง โมฆะ” แต่หากไปเจอคำนี้ในภาษากฎหมายก็มีแนวโน้มจะแปลว่า “โมฆียะ” ซึ่งมีความหมายคู่กับคำว่า Mukō (無効) ที่แปลว่า “โมฆะ” หากใครไม่ตรวจสอบแล้วแปลคำว่า Torikeshi ว่า “ล้มเลิก” ก็จะทำให้ความหมายไปซ้ำกับคำว่า Mukō และทำให้เนื้อหาทั้งหมดพังพินาศไปหมด เพราะคำว่า Mukō ก็แปลว่าโมฆะ แล้วคำว่า Torikeshi ก็ดันแปลว่าโมฆะซ้ำกันอีก
หรืออย่างคำว่า Kaichō (会長) ซึ่งในด้านธุรกิจและการค้าจะหมายถึง Chairperson ที่แปลว่า “ประธานกรรมการบริษัท” แต่หากแปลโดยระมัดระวังแล้วไปแปลว่า President ที่แปลว่า “ประธานบริษัท” ก็ทำให้ความหมายทั้งหมดเปลี่ยนไป และเกิดผลเสียกับการสื่อสารนั้น ๆ ได้
4. จรรยาบรรณ
จรรยาบรรณเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การไม่ลงภาพหรือข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับโครงการของงานนั้นจนกว่าจะได้รับอนุญาต, การไม่เผยแพร่ข้อมูลไปสู่คนรู้จัก, การรักษาความลับ, โดยเฉพาะในยุค Social Network นี้ยิ่งจำเป็นต้องรักษาความลับ โดยจรรยาบรรณยังรวมไปถึงความผูกมัดที่ต้องค้นคว้าให้เข้าถึงความรู้ทางภาษาและความรู้เฉพาะทางที่ถูกต้องที่สุดเท่าที่ล่ามหรือนักแปลจะสามารถทำได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดอีกด้วย
5. ตัวอย่างปัญหาที่เกิด
ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างการแปลที่ผิดพลาด โดยเกิดจากการแปลในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้ขาดโอกาสในการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นผลงานแปลในยุคที่ประเทศไทยยังไม่มีอินเทอร์เน็ต จึงมีแหล่งข้อมูลค้นคว้าจำกัด ซึ่งในโลกยุคปัจจุบันไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดในระดับนี้แล้ว อาจเกิดจากขาดความรู้ในภาษาต้นทาง หรือ ขาดความรู้เฉพาะในแต่ละวงการ ก็เป็นได้
1) กรณีที่ 1 – พ่อแม่ของเคนชินในเรื่องซามูไรพเนจร “ถูกกอริลล่าฆ่าตาย”
โคะโระริ (虎狼痢) เป็นภาษาญี่ปุ่นของคะตะกะนะ コレラ แปลว่า “อหิวาตกโรค” แต่เมื่อผู้แปลเปิดพจนานุกรมพบว่า 虎狼痢 แปลว่า コレラ (โคะเระระ) จึงแปลว่าพ่อแม่ของเคนชินถูก “กอริลล่า” ฆ่าตาย ไปเสียเลย คือแปล โคะเระระ ผิดเป็น กอริลล่า นั่นเอง (ผู้เขียนไม่กล่าวโทษผู้แปลแต่อย่างใด เนื่องจากยุคก่อนอินเทอร์เน็ตเป็นยุคที่เข้าถึงข้อมูลได้ยากมากจริง จึงนำตัวอย่างนี้มาใช้ด้วยจิตคารวะ มิได้มีเจตนาวิจารณ์หรือโจมตีแต่อย่างใด)
2) กรณีที่ 2 – สาเหตุที่ซงโกคูเก่งมากเพราะ “มันเป็นสุดยอดนักรบอัจฉริยะ”
ในเรื่อง Dragon Ball มีบทสนทนาระหว่างจีสและกินิว ว่าทำไมชาวไซย่าถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ควรจะเก่งเท่าใครในหน่วยรบกินิวทั้ง 5 คนได้เลย และกินิวก็ตอบชัดเจนว่าต้องเป็นเพราะ 突然変異 (Totsuzen-hen-i) ซึ่งเป็นศัพท์ทางชีววิทยาแปลว่า “การกลายพันธุ์ (Mutation)” ดังนั้นที่ถูกต้องคือชาวไซย่าไม่ควรเก่งเท่านี้ แต่ซงโกคูน่าจะเป็นชาวไซย่าที่กลายพันธุ์เหมือนกับทั้ง 5 คนในหน่วยรบกินิวที่แข็งแกร่งจากการกลายพันธุ์ทั้งหมด แต่คำศัพท์ 突然変異 น่าจะไม่สามารถค้นเจอในพจนานุกรมญี่ปุ่นไทยแบบปกติได้ ทำให้ผู้แปลต้องเลี่ยงไม่แปลคำนี้ไปเลย (ผู้เขียนไม่กล่าวโทษผู้แปลแต่อย่างใด เนื่องจากยุคก่อนอินเทอร์เน็ตเป็นยุคที่เข้าถึงข้อมูลได้ยากมากจริง จึงนำตัวอย่างนี้มาใช้ด้วยจิตคารวะ มิได้มีเจตนาวิจารณ์หรือโจมตีแต่อย่างใด)
แม้ว่า A. I. ในยุคปัจจุบันจะพัฒนาไปมากจนสามารถล่ามและแปลแทนมนุษย์ได้ในหลาย ๆ วาระ แต่เมื่อพิจารณา “ปัจจัยสี่แห่งการแปลและล่าม” แล้ว ผู้เขียนยังเชื่อว่าล่ามและนักแปลจะยังไม่โดน A. I. แย่งงานไปได้ง่าย ๆ ตราบใดที่เครื่องจักรยังไม่สามารถอ่านบริบท หรือ ทำความเข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางในแต่ละวงการที่แตกต่างจากคำศัพท์คำเดียวกันในภาษาปกติของภาษานั้น ๆ ได้
จึงฝากประเด็นการล่ามและการแปลระหว่างภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย แบบคร่าว ๆ ไว้เพียงเท่านี้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– การฝึกคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking) และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ฟ้า-ฝน-ร่ม (โซระ-อะเมะ-คะซะ)”
– Soft Power และกรุงโรม ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว: มาพิจารณาการพัฒนา Soft Power ของญี่ปุ่นกัน
– รีวิว “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ของญี่ปุ่นเทียบกับของไทย
– โฮ-เร็น-โซในยุคดิจิทัล: ตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงแบบง่าย ๆ
– เกิดเป็นเอเลี่ยนในญี่ปุ่นนั้นอยู่ยาก: เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังคงปฏิเสธไม่ให้ชาวต่างชาติเช่าที่พักn>
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://www.ft.com/content/602d49fa-b486-323b-b320-28d7bbbf631d
#การล่ามและการแปลภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย