หาก ที่สุดผมจำเป็นต้องถอดหน้ากาก มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพียงแต่ทุกอย่างจะต้องมีเหตุผลชัดเจน เพราะผมเองก็อยากจะเป็นทั้งนักมวยปล้ำ และเป็นนักการเมืองที่ดีไปพร้อมๆกัน การทำเพื่อผู้อื่นคือความฝันของผม และมันจะไม่ยุติธรรมเลยหากสุดท้ายผมโดนตัดสิทธิ์เพราะเหตุผลเหล่านี้ ผมเป็นนักมวยปล้ำหน้ากาก ผมลงสมัคร และประชาชนก็เลือกผม นั่นแปลว่าเขาเลือกผมที่เป็นนักมวยปล้ำเข้ามาแล้ว ผมจึงน่าจะมีความชอบธรรมที่จะสวมหน้ากากนี้ และทำหน้าที่ทางการเมืองต่อไป
กลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลกเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ว่ามีนักการเมืองชื่อ “สกัล รีปเปอร์ เอ-จิ” (Skull Reaper A-Ji) จากจังหวัดโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ถูกห้ามเข้าร่วมประชุมสภา เพราะเจ้าตัวไม่ยอมถอดหน้ากากมวยปล้ำออกขณะเดินเข้าห้องประชุม โดยทางสภาไดเอทให้เหตุผลว่า “พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่” ดังนั้นวันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปไขเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาแบบตัวต่อตัวเกี่ยวกับประเด็นนี้

นอกเหนือจากการเป็นนักการเมือง เขาคือนักมวยปล้ำระดับแชมป์ประเภทคู่ของคิวชู ที่สนใจงานทางด้านสังคมและการเมืองมานานกว่า 10 ปี
“ผมมักจะร่วมทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศูนย์อนามัย การปลูกฝังศีลธรรมให้กับเด็กๆ รวมไปถึงการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย และช่วยเหลือคนที่กำลังยากลำบาก ความคิดเหล่านี้ติดตัวผมมาตั้งแต่ยังเด็ก และมันไม่มีปัญหาเลยที่ผมจะทำงานการเมือง และเป็นนักมวยปล้ำอาชีพไปพร้อมๆ กัน” นี่คือสิ่งแรกที่เขาพูดกับเราหลังจากแนะนำตัว
“ผมชนะการเลือกตั้งที่โออิตะ และผมคิดว่าหน้ากากไม่ทำให้การทำงานของผมแย่ลงเลย กลับกันผมคิดว่าประชาชนจะจดจำผมได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งมันก็น่าจะเป็นผลดี เวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะหาได้ไม่ยาก เพราะผมแตกต่างจากคนอื่น” เขาเริ่มตัดพ้อทันทีหลังจากที่เราถามถึงกระแสต่อต้านจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรญี่ปุ่น ที่ต่างเรียกร้องให้เขาถอดหน้ากาก
เขาเริ่มขยายความให้เราฟังว่า “นักการ เมืองที่สนับสนุนผมมีไม่กี่คนหรอกครับ ที่เหลือก็เอาแต่ค้านอย่างเดียว ผมว่าพวกเขาคงอิจฉาผม เพราะตั้งแต่ผมได้รับการเลือกตั้ง ผมก็มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุนี้ ผมจึงผิดหวังมากกับการแสดงออกของสภาไดเอท”
จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีนักมวยปล้ำสวมหน้ากาก เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะถ้าเราย้อนไปในปี 2003 ที่เมืองอิวาเตะ ตอนนั้นชายที่ใช้ชื่อว่า “เดอะ เกรท ซาสึเกะ” ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในสภา
หรือถ้าย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมานี้ ก็มีนักมวยปล้ำหน้ากากชื่อว่า “ซูเปอร์ เดลฟิน” ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนที่โอซาก้า แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ทั้งสองต่างได้รับสิทธิ์ในการสวมหน้ากาก โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐสภา คอยตรวจยืนยันตัวตนในห้องลับ ก่อนที่จะออกมาใส่หน้ากากเข้าร่วมประชุมสภา อย่างไม่มีปัญหาอะไร

จุดนี้เองที่เป็นประเด็นคาใจเสมอมา เขาบอกกับเราว่า “เดอะ เกรท ซาสึเกะ สนับสนุนผมเป็นอย่างดี และตัวผมเองคิดว่าสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็คือชื่อเสียงของผมน้อยกว่าสองคน ที่ผ่านมาอยู่หลายเท่า ดังนั้นผมจึงไม่ได้รับความเกรงใจจากใคร และถูกเลือกปฏิบัติแบบนี้”

อย่างไรก็ตามเขาก็ทิ้งท้ายว่า “หาก ที่สุดผมจำเป็นต้องถอดหน้ากาก มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพียงแต่ทุกอย่างจะต้องมีเหตุผลชัดเจน เพราะผมเองก็อยากจะเป็นทั้งนักมวยปล้ำ และเป็นนักการเมืองที่ดีไปพร้อมๆกัน การทำเพื่อผู้อื่นคือความฝันของผม และมันจะไม่ยุติธรรมเลยหากสุดท้ายผมโดนตัดสิทธิ์เพราะเหตุผลเหล่านี้ ผมเป็นนักมวยปล้ำหน้ากาก ผมลงสมัคร และประชาชนก็เลือกผม นั่นแปลว่าเขาเลือกผมที่เป็นนักมวยปล้ำเข้ามาแล้ว ผมจึงน่าจะมีความชอบธรรมที่จะสวมหน้ากากนี้ และทำหน้าที่ทางการเมืองต่อไป”
สุดท้ายนี้เราก็ไม่ทราบว่าอนาคตของคุณเอจิ จะเป็นอย่างไร แต่เรากล้าพูดได้เลยว่าคุณจะไม่มีทางเห็นนักการเมืองที่ไหนสวมหน้ากากเข้า สภา นอกจากในประเทศญี่ปุ่น และคงจะดี หากญี่ปุ่นสามารถสร้างข้อกำหนด หรือระเบียบการที่ชัดเจนสำหรับนักการเมืองทุกคน
ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคต อาจจะมีนักมวยปล้ำหน้ากากท่านอื่น ได้รับเลือกมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกก็ได้ และถ้าถึงตอนนั้น เขาจะเป็นอย่างไร?