เหตุนี้ในยุคสมัยที่เด็กๆ ไม่เข้าใจว่า “ออกเทป” แปลว่าอะไร หรือเริ่มตั้งคำถามว่า “ซีดีที่จุได้สิบเพลง จะสู้ mp3 ที่จุได้เป็นร้อยๆ ยังไง?” ผมเลยไปหาคำตอบว่าเหตุใดวงการเพลงของญี่ปุ่นจึงแข็งแกร่ง และถือได้ว่าพวกเขาก้าวไปเป็นหนึ่งในที่สุดของโลกไปแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมาผมเองมีโอกาสได้เข้าพูดคุยกับตัวแทนหรือนักธุรกิจในสื่อบันเทิงของญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้งและได้ทราบถึง มุมมองต่อวงการดนตรีซึ่งแตกต่างจากมุมมองที่เราเห็นในเมืองไทยเป็นอย่างมาก เมืองไทยคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องผิดลิขสิทธิ์ ในขณะที่ญี่ปุ่นค่อนข้างขาวสะอาดและถือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสำคัญ ดังนั้นบริบทของทั้งสองประเทศจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามนักธุรกิจยังมองว่าตลาดในเมืองไทยเป็นตลาดที่น่าลงทุน เพราะแฟนๆ ชาวไทยมีกำลังซื้อสูง หากเราสามารถวางรากฐานให้ตัวผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจพอ มันก็น่าจะเจาะตลาดในเมืองไทยได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
โดยส่วนตัวผมชอบฟังเพลงครับ และในสมัยก่อนก็มีความสุขมากตอนที่เมืองไทยมีร้านอย่าง CD WAREHOUSE ตั้งอยู่บริเวณสยาม เป็นร้านขายซีดีที่ใหญ่มาก (แบบที่เราเห็นกันในต่างประเทศเลย) แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงอย่างน่าเศร้า และด้วยความที่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้นานแล้ว พอได้มีโอกาสไป TOWER RECORD ที่ชิบุย่าเมื่อเดือนที่ผ่านมา จึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และมีความสุขไปกับการเลือกซื้อซีดีมากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือประทับใจในความรักเสียงเพลงของญี่ปุ่น รวมถึงการรักษาวัฒนธรรมการซื้อซีดีซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังเลือนหายไป จากโลกเพราะการเข้ามาของระบบดิจิตอล
เหตุนี้ในยุคสมัยที่เด็กๆ ไม่เข้าใจว่า “ออกเทป” แปลว่าอะไร หรือเริ่มตั้งคำถามว่า “ซีดีที่จุได้สิบเพลง จะสู้ mp3 ที่จุได้เป็นร้อยๆ ยังไง?” ผมเลยไปหาคำตอบว่าเหตุใดวงการเพลงของญี่ปุ่นจึงแข็งแกร่ง และถือได้ว่าพวกเขาก้าวไปเป็นหนึ่งในที่สุดของโลกไปแล้ว จนได้มาเจอบทความจาก BILLBOARD ชาร์ตเพลงอันดับหนึ่งของโลกที่เขียนโดยคุณ Alan Swarts เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนั้นผมจึงอยากจะนำเรื่องที่ตนได้อ่านมาเล่าและใส่ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อ อธิบายถึงวงการเพลงในญี่ปุ่นครับ

1. ค่าครองชีพของญี่ปุ่นสูงขึ้น
ตรงนี้เขามองว่าสาเหตุหนึ่งที่เม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจนี้สูงขึ้น ก็เพราะว่าค่าครองชีพในญี่ปุ่นสูงขึ้นครับ ทุกอย่างแพงไปหมดไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าขนส่ง หรือกระทั่งค่ากินค่าอยู่ สิ่งสำคัญต่อมาที่เกี่ยวเนื่องกันก็คือการเข้ามาของสื่อดิจิตอลที่มีการทำ ตลาดเพลงออนไลน์ขึ้น เฉลี่ยๆ แล้วเพลงหนึ่งก็อยู่ประมาณ 2.5 USD ขึ้นไป ดังนั้นด้วยความที่คนญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนของแท้เสมอ ราคาของเพลงที่สูงขึ้นจึงไม่ใช่อุปสรรค นี่คือสิ่งที่นำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นครับ

2. ราคาขายที่แน่นอน
ราคาแผ่นเสียงของญี่ปุ่นไม่เปลี่ยนแปลงมานานกว่า 10 ปีแล้วครับ เฉลี่ยแล้วก็อยู่ประมาณ 1,500 เยน ซึ่งถือว่ากำลังดีหากเทียบกับว่าในแผ่นมีแถมทั้ง BONUS SHOT หรือภาพถ่ายต่างๆ นอกจากนี้การที่ราคาถูกกำหนดเอาไว้อย่างตายตัว ทำให้ทางร้านไม่สามารถลดราคาสินค้าได้แบบสุดโต่ง ไม่งั้นก็ต้องเตรียมขาดทุนแหงๆ (ประมาณว่าต้นทุนในการผลิตแผ่นสูงขึ้น ราคารับมาก็สูงขึ้นด้วย คนที่จะได้ประโยชน์สูงสุดคือผู้ฟัง ไม่ใช่พ่อค้า) เมื่อคนซื้อรู้สึกว่ามันคุ้มค่า ยอดขายก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย

3. ของแถมในแผ่นและความต้องการสะสมของเหล่าแฟนคลับ
หลังๆ ของแถมกลายเป็นสิ่งสำคัญที่วงการเพลงจะขาดไม่ได้แล้วครับ (จริงๆ วงการหนังสือก็เช่นกัน เช่น พวกนิตยสาร บางทีแถมกันจริงจังเป็นพวกหูฟังใหญ่ๆ หรือกระเป๋าแบรนด์เนมด้วยซ้ำ) วงการไอดอลก็ทำเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน อย่างเช่นภาพถ่ายที่แถมตามแผ่น (แบบสุ่ม) ใครที่ชอบศิลปินคนไหนก็ต้องพยายามซื้อให้สุ่มได้ภาพคนที่ตัวเองชอบ กลายเป็นการกระตุ้นยอดขายไปในตัว (และยังทำให้เกิด community เล็กๆ สำหรับเอาภาพมาแลกหรือซื้อ-ขายกันด้วย)
นอกจากนี้แล้วปัจจุบันแผ่น มักจะออกมาให้เลือกหลายๆ เวอร์ชั่น เพื่อให้นักสะสมพยายามสะสมให้ครบคอลเลคชั่น แม้ว่าเนื้อหาข้างในจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วก็ตาม
อีกอย่าง ปัจจุบันซีดีเพลงไม่ใช่แค่เรื่องของการฟังเท่านั้นครับ เพราะของแถมแต่ละอย่างอาจรวมถึงบัตรจับมือ หรือการมีทแอนด์กรีท ศิลปินคนนั้นๆ ด้วย นี่คือข้อได้เปรียบที่แผ่นผีไม่มีทางทำได้ และได้รับการกล่าวว่านี่คือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้วงการเพลงญี่ปุ่น ยังรักษาสถานะเดิมไว้ได้

4. ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์แทบจะไม่เกิดขึ้นเลยในญี่ปุ่น
ปัญหาเรื่องนี้แทบจะไม่มีเลยจริงๆ ครับในญี่ปุ่น นอกจากเรื่องกฎหมายที่แรงมากๆ แล้ว ผมคิดว่าญี่ปุ่นยังมีร้านเช่าแผ่นเสียงหรือแม้กระทั่งเกมส์ต่างๆ ไว้อย่างครบวงจร คือเราไม่ต้องเสียเวลาไปโหลดบิททอร์เรนท์หรือทำอะไรผิดกฏหมายก็ได้ ผมเคยถามคนญี่ปุ่นว่าทำไมไม่เอาแผ่นที่เช่ามาก๊อบลงคอมพ์เก็บไว้ล่ะ… ? คำตอบที่ผมได้รับคือการถูกทำหน้างงๆ ใส่เหมือนกับว่าผมเป็นคนที่ขี้โกงที่สุดในโลกซะอย่างงั้น =*= (ญี่ปุ่นยังมีร้านขายซีดีมือสองคุณภาพดีมากๆ อย่าง Traderz ที่ขายบางแผ่นอยู่ที่ 40-50 เยนเท่านั้น ถูกมาก !)

นอกจากนี้ตลาดดิจิตอลยังไม่เติบโตมากเท่าไหร่ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีอัตราการใช้งาน smartphone ที่สูงขึ้นมากก็ตาม บริษัท Sony Japan ก็พยายามที่จะไม่นำงานของตนเองเข้าไปสู่โลกดิจิตอลมากนัก คือถึงแม้เขาจะร่วมมือกับค่ายเพลงหรือบริษัทจัดจำหน่ายต่างๆ แต่ก็เป็นการผลักดันศิลปินต่างประเทศให้คนญี่ปุ่นซื้อออนไลน์มากกว่า
คนญี่ปุ่นยังมองว่าตลาดเพลงที่ขายแผ่น CD คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนและทำให้วงการดูมีระดับมากที่สุด พวกเขายังอยากให้วัยรุ่นมีความฝันและมีซีดีเป็นของตัวเอง มากกว่าที่จะให้ทุกอย่างจบลงแค่ไฟล์ดิจิตอลบนอินเตอร์เน็ทที่พร้อมจะถูกลืม ไปได้โดยง่าย ตอนนี้เป้าหมายของญี่ปุ่นคือการเอาชนะอเมริกาให้กลายเป็นตลาดเพลงที่ใหญ่ ที่สุดในโลก ซึ่งบางสถาบันบอกว่าญี่ปุ่นทำสำเร็จไปแล้วด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของญี่ปุ่นที่ผมอยากให้เมืองไทยทำได้จริงๆ ครับ

ปล. ไหนๆ ก็ไหน ยังมีเวลาเหลืออีกนิดนึง ฝากแฟนๆ AKB โหวตให้ ทานากะ นัตสึมิ แห่ง HKT48 ด้วยนะครับ ^^ (แอบเนียน 555)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ !