เกษตรกรแนวใหม่คิดนอกกรอบ
แม้นประเทศญี่ปุ่นจะดูเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ แต่อาชีพเกษตรกรรมก็ยังคงเป็นอาชีพสำคัญที่จะเป็นแหล่งอาหารให้กับประชากร 126.5 ล้านคน ด้วยพื้นที่ที่จำกัดเนื่องจากภูมิประเทศมีสภาพเป็นหมู่เกาะ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การเกษตรต้องพัฒนาเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่มากที่สุด อีกทั้งผลผลิตที่ได้ก็ต้องมีคุณภาพที่ดีตามมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ด้วยสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่มีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาค จึงทำให้แต่ละเมืองจึงมีผลิตผลซึ่งเป็นจุดเด่นตามพื้นที่นั้นๆ
เมืองคิตาตะมิ จังหวัดอิวาเตะที่เราอาศัยอยู่นี้ ถือเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าปลูก “แอสพารากัสหรือเรียกทั่วๆ ไปว่าหน่อไม้ฝรั่ง” ได้ดี อีกทั้งยังมีรสชาติที่หวานอร่อย เราจึงถือโอกาสมาสัมภาษณ์คุณอิชีอิ เคนอิจิ เจ้าของฟาร์มแอสพารากัส Ishii farm
อนาคตอยู่ในมือของเรา
คุณอิชีอิก็เหมือนหนุ่มสาวยุคใหม่ทั่วไป ที่เรียนจบแล้วก็ทิ้งถิ่นฐานเพื่อเข้าไปเสี่ยงโชคในเมืองใหญ่ ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรโดยที่เขาเริ่มจากการเป็นพนักงานในโรงงานการผลิต จากนั้นก็ผันตัวไปเป็นพนักงานขายของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง จนวันหนึ่งเขาได้คิดทบทวนแล้วว่าสิ่งที่ตนทำอยู่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ชอบและสิ่งที่เขาอยากทำต่อไปเรื่อยๆในอนาคต ทำให้เมื่อปี 2017 เขาได้ตัดสินใจออกจากการเป็นลูกจ้าง แล้วมาเริ่มอาชีพที่คิดว่าจะตอบโจทย์ของเขาได้ นั่นคืออาชีพเกษตรกรรม ซึ่งโจทย์ในที่นี้คือการได้เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้านายตัวเอง และมีความมั่นคง
แต่การที่จู่ๆ จะมาทำอาชีพที่ไม่เคยทำมาก่อน แถมไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวที่ทำเกษตรกรรมมาก่อน ทำให้เขายิ่งจะต้องศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เขาจึงเริ่มจากการไปฝึกงานกับเกษตรกรท้องถิ่น ซึ่งมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างว่า “อย่าเป็นเกษตรกรเลย” เพราะหลายคนติดว่าอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่หนัก หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน แต่ก็ยังมีคนที่ให้กำลังใจเขาถึง 2 คน จากข้อมูลที่เขาไปรวบรวมมาเพื่อใช้ในการตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้เขาทราบว่า ในปัจจุบันการที่อาชีพเกษตรกรลดลงอย่างน่าใจหายทำให้รัฐบาลเข้ามากระตุ้นโดยมีเงินสนับสนุน อีกทั้งเครื่องจักรและที่ดินในการทำการเกษตรก็ไม่จำเป็นจะต้องซื้อ แต่ใช้การเช่าแทนในราคาที่ไม่แพงมากนักได้ จึงเป็นเหตุผลที่เขายังมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนมาเป็นเกษตรกร
กว่าจะเป็นแอสพารากัส
ขณะที่เขากำลังวางแผนว่าจะปลูกอะไรดี ก็บังเอิญไปรู้จักกับเกษตรกรท่านนึงที่เขาพึ่งเริ่มปลูกแอสพารากัสมาประมาณ1ปีแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะทำต่อไปได้ เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ คุณอิชีอิจึงซื้อกิจการมาทำต่อ โดยที่แอสพารากัสไม่ใช่ว่าปลูกแล้วจะเก็บผลผลิตได้ในระยะสั้น แต่จะต้องใช้เวลายาวนานถึง 2 ปีกว่าจึงจะเริ่มเก็บผลผลิตได้ นับจากวันนั้นเขาเองก็ลงมือดูแลแอสพารากัสไปพร้อมๆกับการต่อสู้กับโรคลำต้นไหม้ และสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เป็นใจ จนกระทั่งปี 2018 เขาจึงเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตและจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิจนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือน หลังจากนั้นเขาเองก็คิดถึงการเพิ่มผลผลิตโดยที่กำลังสร้างโรงเรือน ซึ่งโรงเรืองแต่หลังนั้นราคาค่อนข้างสูง เขาจึงใช้วิธีการไปรับซื้อโรงเรือนมือสองจากเกษตรกรที่เลิกอาชีพไปแล้ว
การจัดจำหน่ายแนวใหม่
จริงๆ แล้วแอสพารากัสสามารถเก็บผลผลิตได้เร็วกว่า 2 ปีที่กล่าวไปข้างต้น แต่เนื่องจากคุณอิชีอิต้องการให้แอสพารากัสของฟาร์มเขามีผลผลิตที่แตกต่างจากที่อื่น กล่าวคือการที่มีลำต้นอวบ มีความยาวเกินมาตรฐานทั่วไปของแอสพารากัสในท้องตลาด ทำให้เขาจึงไม่จำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือสหกรณ์การเกษตรที่จะได้ราคาเหมือนแอสพารากัสเจ้าอื่น ซึ่งคุณภาพด้อยกว่าแอสพารากัสของเขา ก่อนหน้านี้เขาจึงเน้นวางจำหน่ายตามสถานีริมทางเป็นหลัก จนกระทั่งในปัจจุบันเขาได้เริ่มเปิดจำหน่ายขายที่หน้าฟาร์มของเขา โดยช่วงแรกเปิดเฉพาะตลาดเช้าคือ 06:00 – 08:00 แต่ช่วงหลังที่ได้รับผลตอบรับที่ดีจึงทำให้เปิดตลาดเย็นเพิ่มอีกหนึ่งรอบคือช่วง 17:00 – 19:00 ทั้งนี้ราคาที่ขายหน้าฟาร์มจะถูกกว่าราคาที่ขายที่อื่น จำหน่ายในราคา 100 กรัม 120 เยน
ไอเดียตลาดหน้าฟาร์มนี้จะได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือผู้ซื้อจะได้ทานแอสพารากัสที่สดใหม่ ตัดเช้าหรือเย็นวันนั้นก่อนเปิดตลาด และซื้อได้ในราคาที่ถูกลง ส่วนผู้ขายนอกจากไม่ต้องเสียเวลาในการบรรจุ และขนส่งแล้ว ยังได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับเกษตรกรรายอื่นๆ ที่ส่งนมทุกเช้า จึงมีการส่งแอสพารากัสควบคู่ไปด้วย ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้การยอมรับจากหน่วยรัฐของเมือง ให้ไปจำหน่ายเป็นของดีประจำเมืองในเว็บไซต์ของของตอบแทนภาษีบ้านเกิด เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นทั่วประเทศได้รับประทานแอสพารากัสอร่อยๆ จากเมืองนี้อีกด้วย
คุณอิชีอิคิดว่าอาชีพเกษตรกรรมในภูมิภาคโทโฮขุนั้นยังสามารถพัฒนาไปได้อีกไกล ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาเองจะจ้างได้แต่แรงงานพาร์ทไทม์เพื่อมาช่วยงานของฟาร์มเขา แต่ในอนาคตเขก็อยากที่จะจัดตั้งเป็นรูปแบบของบริษัทเพื่อสร้างงานให้กับคนในชุมชน ทุกเช้าที่เขาต้องตื่นมาเจอกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบตัว เขาไม่ได้มองว่าเป็นอุปสรรค์ของการทำเกษตรกรรม แต่ถือว่าเป็นการเรียนรู้เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
จากการที่ได้ไปสัมภาษณ์คุณอิชีอิ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่คนเราได้รู้จักตัวเองว่า เราเหมาะสมกับอาชีพใด และยิ่งเรารู้ตัวได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราและอาชีพของเรา เพราะการทำอาชีพใดๆ ก็ตาม ไม่ได้วัดที่ตัวเงินอย่างเดียว เราจะต้องมีความสุขไปกับการประกอบอาชีพนั้นๆ ด้วย
เรื่องแนะนำ :
– ทุ่งดอกทานตะวัน 2 แสนต้นที่มากกว่าแหล่งท่องเที่ยว
– 1 วันแสนสนุกในเมืองมินาคามิ
– พายคายัคที่ฟินที่สุดในชีวิตที่เมืองมินาคามิ จังหวัดกุนมะ
– สัมผัสธรรมชาติที่เมือง Nishiwaga-machi
– ทุ่งลาเวนเดอร์ที่อิวาเตะก็สวยไม่แพ้ที่อื่น
#เกษตรกรแนวใหม่คิดนอกกรอบ