คนไทยเราหากเพิ่งเจอกันครั้งแรก เราอาจเรียกชื่อจริงหรือไม่ก็ถามชื่อเล่น แล้วเรียกชื่อเล่นเลย เช่น “คุณเกตุ” “คุณเจน” พอสนิทๆ หน่อย ก็กลายเป็นเรียกพี่-น้องกัน “พี่เกตุ” … “น้องเจน” ก็มีแค่นี้ ของคนญี่ปุ่นจะสลับซับซ้อนขึ้นมาอีกนิดหนึ่งค่ะ ขอเริ่มจากระดับธรรมดาก่อนนะคะ
สุดสัปดาห์ก่อน ดิฉันมีเรื่องแปลกใจเล็กน้อยตอนที่ได้พบกับคุณ N. คุณป้าชาวญี่ปุ่นที่เคยเรียนภาษาไทยกับดิฉันกว่า 5 ปี ไม่ได้พบกันมา 2 ปี
จำได้ว่าตอนอยู่ญี่ปุ่น คุณ N. จะเรียกดิฉันว่า “Ketto Sensei” (อาจารย์เคทโตะ) ตอนนั้น ดิฉันยังปลื้มๆ อยู่เลยที่ถูกเรียกว่า “เซนเซ” แต่พอเจอครั้งนี้ แกเรียกดิฉันว่า “Ketto-san (คุณเคทโตะ)” ตลอดเลย โธ่…ไม่ได้สอนแล้ว เลยโดนลดตำแหน่งเสียเลย… (ล้อเล่นนะ แกคงไม่ได้คิดอะไร)
คนไทยเราหากเพิ่งเจอกันครั้งแรก เราอาจเรียกชื่อจริงหรือไม่ก็ถามชื่อเล่น แล้วเรียกชื่อเล่นเลย เช่น “คุณเกตุ” “คุณเจน” พอสนิทๆ หน่อย ก็กลายเป็นเรียกพี่-น้องกัน “พี่เกตุ” … “น้องเจน” ก็มีแค่นี้
ของคนญี่ปุ่นจะสลับซับซ้อนขึ้นมาอีกนิดหนึ่งค่ะ ขอเริ่มจากระดับธรรมดาก่อนนะคะ
1. ระดับธรรมดา: นามสกุล + ซัง
เวลาคนญี่ปุ่นเรียกชื่อฝ่ายตรงข้ามมักจะมีคำสร้อยห้อยท้ายเสมอ ส่วนใหญ่จบที่คำว่า “ซัง” ซึ่งแปลว่า “คุณ” พอแปลเป็นภาษาไทยแล้วฟังดูทางการแข็งๆ ไปเลยเนอะคะ แต่จริงๆ แล้ว เราสามารถใช้คำว่า “ซัง” เรียกท้ายชื่อคนญี่ปุ่นทุกคนได้เลย อย่างเพื่อนในมหาลัย ก็ใช้คำว่า “ซัง” เรียกกัน โดยเฉพาะกรณีเด็กผู้ชายเรียกเด็กผู้หญิง จะเรียกชื่อผู้หญิง+ซัง ค่ะ
2. ระดับสนิทกัน: ผันชื่อเป็นชื่อเล่น
ต้องเกริ่นก่อนว่าปกติคนญี่ปุ่นจะเรียกนามสกุล ไม่ได้เรียกชื่อ อย่างเช่น หากดิฉันชื่อ “น.ส. เกตุวดี มารุมุระ” คนญี่ปุ่นก็จะเรียกว่า “มารุมุระซัง” ไม่ใช่ “เกตุวดีซัง”
แต่ถ้าเป็นเพื่อนและเริ่มสนิทกัน เขาจะเริ่มเรียกชื่อจริงแทนนามสกุล หากเป็นเพื่อนผู้ชายเราก็จะใส่คำว่า “คุง” แทน “ซัง” เช่น ทานากะคุง ทาโร่คุง
![title](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Katewadee/Japan%20Title/1.png)
หากสนิทกันยิ่งขึ้นไปอีก เขาก็จะเอาชื่อจริงมาผันเป็นชื่อเล่น ซึ่งส่วนใหญ่เด็กผู้หญิงมักทำกัน
วิธีผันก็มีหลายแบบ แล้วแต่ความสมยอม …. เอ้ย ความยินยอมของทั้งผู้เรียกและผู้ถูกเรียก
เช่น
• ใส่ตัว N ไว้ท้ายชื่อ เช่น
Yumi -> Yumin
Hikari -> Hikarin
Emiri -> Emirin (เพื่อนดิฉัน มักบอกให้เรียกเธอว่า เอมิรินริน … ก็นานาจิตตังค่ะ)
• ย่อชื่อ เช่น
Matsumoto -> Macchan
Ayumi -> Ayu หรือ Ayu-chan
Kimura Takuya -> Kimu-taku
Atsuko -> Acchan (อั๊ตจัง)
• ใส่ “tan” ตัวนี้ใช้แทนคำว่า “จัง” คนญี่ปุ่นรู้สึกว่าฟังแล้วดูน่ารัก (จนบัดนี้ดิฉันยังไม่เข้าใจว่ามันน่ารักตรงไหน)
Emi -> Emitan
Chika -> Chikatan
• ย่อชื่อแล้วลากยาวหรือไม่ก็ตัดสั้น …ฟังดูซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วง่ายมากค่ะ เราเอานามสกุลหรือชื่อเขาตัดพยางค์บางส่วน แล้วลากเสียงยาวๆ ส่วนใหญ่ ผู้ชายจะเรียกกันแบบนี้
เช่น
Yoshida -> Yosshi (อ่านว่า ยชชี่)
Uchida -> Ucchii (อุชชี่…ไม่ใช่ อุนจิ อ่านดีๆ)
Machino -> Macchi (อ่านว่า มัจฉิ)
ส่วนหญิงชายถ้าคบกันเป็นแฟนแล้ว ก็จะเริ่มมีการร่วมกันคิดโค้ดลับเรียกชื่อเล่นของกันและกัน เป็นโมเม้นท์สุดฟินของสตรีญี่ปุ่น เพราะแปลว่าระยะห่างระหว่างเขาและเธอ ได้เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดแล้ว
3. ระดับทางการ: นามสกุล + ซามะ
คำว่า “ซามะ(様)” ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “ท่าน” ค่ะ เป็นคำเรียกฝ่ายตรงข้ามระดับสุภาพสูงสุด
ในบทสนทนาพูดคุยชีวิตประจำวัน เราจะได้ยินคำว่า “ซามะ” ก็ต่อเมื่อไปร้านอาหารหรือไปโรงแรมเท่านั้น เช่น หากเราโทรไปจองชื่อร้านอาหารไว้ พอไปถึงที่ร้าน พนักงานจะถามชื่อเรา และบอกว่า
“เกตุวดีซามะ … ขอประทานโทษที่ให้รอค่ะ เชิญที่โต๊ะด้านนี้เลยค่ะ”
ตอนไปญี่ปุ่นแรกๆ รู้สึกยิ่งใหญ่มาก เหมือนได้รับการยกย่อง ….. เกตุวดีซามะ ….ท่านเกตุวดี …. ฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่พอทุกร้านเรียกกันเฝือๆ แบบนี้ ดิฉันก็เลยชินชาไปเอง
แต่เราจะเห็นคำว่า “ซามะ” บ่อยยิ่งขึ้น หากเป็นการโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามผ่านอีเมล ยิ่งถ้าเป็นเรื่องการเรื่องงาน และทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยเจอหน้ากัน บอกได้เลยค่ะว่าร้อยละ 90 คนญี่ปุ่นจะใช้คำว่า “ซามะ”
![title](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Katewadee/Japan%20Title/2.png)
แต่!!! ถ้าเรายังอยากยกย่องฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่อยากให้มันดูทางการเกินไปล่ะ จะทำอย่างไรดี
คนญี่ปุ่นก็มีทางออกค่ะ เราเขียนคำว่า “ซามะ” เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากตัวคันจิ (様)เป็นอักษรฮิรากานะ (さま)ก็จะดูเคารพแต่ก็สนิทสนมมากขึ้น (แต่จนบัดนี้ ดิฉันก็ยังเข้าไม่ถึง level นี้เช่นกัน ยังไม่รู้สึกว่ามันสนิทขึ้นอีกนิดยังไง)
![title](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Katewadee/Japan%20Title/3.png)
สิ่งที่ต้องระวังคือ พอเจอหน้ากันครั้งแรก เราจะเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า “ซัง” เลยค่ะ ไม่ต้องเรียก “ซามะ” ไม่งั้นจะดูเหมือนพนักงานเสิร์ฟมากๆ แต่พอกลับไปคุยกันทางอีเมลต่อ ขอให้ใช้คำว่า “ซามะ” เหมือนเดิมค่ะ เว้นแต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนขำๆ และคุยกันดีก็อาจเรียกกันและกันว่า “ซัง” ก็ได้ค่ะ
++++++
เห็นไหมคะว่าภาษาญี่ปุ่นมีหลายระดับเช่นเดียวกับภาษาไทย การจะดูว่าคนญี่ปุ่นกับเราสนิทสนมขึ้นแค่ไหน ก็สามารถสังเกตได้จากภาษา เริ่มแรกอาจติดต่อทางอีเมลกัน เรียกกันและกันว่า “ซามะ” พอมาประชุมเจอหน้ากันก็เปลี่ยนเป็น “ซัง” พอสนิทกันมากไปอีก อาจกลายเป็นแค่เรียกชื่อหรือเรียกชื่อเล่นกันเฉยๆ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและความไว้ใจค่ะ
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> เกตุวดี Marumura
อ่าน Japan Gossip ทั้งหมด CLICK HERE
เรื่องแนะนำ :
– สิ่งที่ได้จากการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น…
– 8 กิจกรรมที่คงไม่ได้ทำชาตินี้ ถ้าเกตุวดีไม่ได้ไปญี่ปุ่น
– ทำไมญี่ปุ่นไม่มีการจอดรถซ้อนคัน
– สิ่งที่คนญี่ปุ่นแปลกใจเมื่อมาโฮมสเตย์บ้านคนไทย
– จัดงานประดับไฟอย่างไรให้ได้เงิน…บทเรียนจากงาน Luminarie เมืองโกเบ