Gero Onsen เป็นเมืองในหุบเขาขนาดไม่ใหญ่มาก บรรยากาศดี มีจุดชมวิว มีร้านค้า ร้านอาหารน่าสนใจ มีที่ให้แช่ออนเซนมือ ออนเซนเท้าหลายจุด และเรียวกังแต่ละแห่งในเมืองนี้ก็มีห้องแช่ออนเซนกันทั้งนั้น ที่สำคัญที่นี่ยังติดอันดับ 1 ใน 3 เมืองออนเซนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
ตอนที่แล้ว เราเที่ยวกันที่เมือง Takayama ประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง จากนั้นก็ใช้บัตร Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass จับรถไฟต่อไปยัง Gero Onsen
จากสถานี Takayama ไปสถานี Gero ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เอากระเป๋าเข้าโรงแรม (ที่จริงแล้วหน้าสถานีก็มีตู้ล็อคเกอร์นะ แต่ถ้าใครใช้กระเป๋าใหญ่ที่ร้านขายของฝากหน้าสถานีก็มีบริการรับฝากนะ ลองไปดูกันได้) จากนั้นก็นั่งเมล์จากหน้าสถานีไปพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านโบราณญี่ปุ่น (Gero Onsen Gassho-mura) นั่งรถเมล์ป้ายเดียว ประมาณ 5 นาที (100 เยน) จะเดินเล่นชมบรรยากาศเฉยๆ หรือจะทำหัตถกรรมสไตล์ญี่ปุ่น เช่น เพ้นท์เครื่องปั้นดินเผา หรือว่าทำกระดาษญี่ปุ่น เป็นต้น ที่พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านโบราณนี้ก็มีบริการ มีเครื่องเล่นคล้ายสไลเดอร์ สูง 175 เมตร อยู่ในส่วนของ “Mori no Suberidai” อีก อันนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่มจากค่าเข้าชมอีก 100 เยน แล้วยังมีส่วนของการแสดง ที่มีโปรแกรมการแสดงชัดเจน ดูจากโบรชัวร์หรือถามพนักงานก็ได้ว่ามีโชว์อะไร รอบกี่โมงบ้าง ส่วนเรามาแค่ชมบรรยากาศบ้านเก่าๆ ดูที่มาที่ไปของบ้านโบราณแต่ละหลัง แค่นี้ก็เพลินแล้ว ที่ Gero Onsen Gassho-mura นี้ ได้รวบรวมบ้านทรง Gassho-zukuri (บ้านหลังคาทรงจั่ว หรือแปลกันบ้านๆ ว่าบ้านหลังคาทรงประนมมือ) จำนวน 10 หลังมาจากที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น รวมทั้งจาก Shirakawa-go ด้วย


แต่ที่นี่ปิด 17.00 น. เรามาเย็นมากแล้ว เลยไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินดูบ้านโบราณของญี่ปุ่น เข้าบ้านนู้น ออกบ้านนี้กันไป ที่นี่มีค่าเข้าชม 800 เยนนะ แต่ก็คุ้มแหล่ะ (ถ้าจะดูโชว์ ก็จ่ายเพิ่มอีก 300 เยน)
ข้อมูลเพิ่มเติม : Gero Onsen Gassho-mura
พอใกล้ๆ พลบค่ำ เรานั่งรถเมล์กลับไปเดินเล่นในเมือง Gero (ใช้บริการ Gero Onsen Town Walking Route กันหน่อย ถ้าไม่รู้จะเดินอย่างไร หน้าสถานี เขาก็มี Tourist Information Center อยู่นะ) ที่นี่เป็นเมืองในหุบเขาขนาดไม่ใหญ่มาก บรรยากาศดี มีจุดชมวิว ร้านรวงน่าสนใจ มีที่ให้แช่ออนเซนมือ ออนเซนเท้าหลายจุด และเรียวกังแต่ละแห่งในเมืองนี้ก็มีห้องแช่ออนเซนกันทั้งนั้น แต่ละแห่งจะควบคุมความร้อนของน้ำให้อยู่ที่ประมาณ 55 องศาเท่ากันหมด (เมืองออนเซนระดับท็อปๆ ระดับอุณหภูมิเกิน 50 องศาทั้งนั้นเลยแฮะ ^^”)
สำหรับ Gero Onsen นั้น ถือว่าเป็น 1 ใน 3 เมืองออนเซนที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น (อีก 2 แห่งคือ Kusatsu Onsen และ Arima Onsen) มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว ยิ่งพอ JR เปิดสถานีรถไฟ Gero เมื่อ ค.ศ. 1970 เมืองนี้ยิ่งได้รับความนิยม นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมา จนเมืองได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลเพิ่มเติม : Gero Onsen
ที่เมืองออนเซน Gero นี้ เราพักกันที่ Gero Onsen Suimeikan จากฝั่งสถานีรถไฟเราต้องข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Hida ไปก่อน ก็ถือว่าเดินเล่นชมเมืองค่ะ ไม่ไกล แต่ถือเป็นสะพานที่ค่อนข้างยาวที่เดียว Suimeikan เป็นโรงแรมใหญ่อันดับท็อปของเมืองนี้ (มีตั้ง 4 ตึก) สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นก็เคยมาพักด้วย ถ้ามีกระเป๋าใหญ่จะนั่งชัตเติ้ลบัสมาจากสถานีก็ได้ สะดวกดี
ตอนค่ำเรายังไม่ได้แช่ออนเซน แค่กินข้าวกันในโรงแรมก่อน (อาหารชุดใหญ่อีกเช่นเคย ทยอยมาเรื่อยๆ อร่อยและอิ่มมาก) แล้วรีบออกไปดูดอกไม้ไฟ เพราะช่วงนี้ (9 มกราคม – 26 มีนาคม 2016) ที่ Gero Onsen จะจุดพลุในตอนค่ำทุกวันเสาร์ ดูพลุไปก็แอบคิดไปว่า ที่นี่ดีเนอะ ใครจะดูพลุตรงจุดไหนก็ได้ … เห็นกันหมดทั่วถึง ไม่ต้องวิ่งไปแย่งจับจองที่ แบบบางงานที่ต้องจุดนั้น ต้องจุดนี้เท่านั้น ถึงจะเห็นพลุแจ่มๆ งานแบบนั้นคนมาชมพลุจะตีกันตายเพราะแย่งที่กัน (จุดชมดอกไม้ไฟที่เราไปก็คือเดินย้อนกลับมาที่สะพานข้ามแม่น้ำ Hida แล้วก็เดินลงไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ เจอที่โล่งๆ อยู่ใต้สะพานพอดี คนก็ไม่เยอะ ได้ดูพลุสวยๆ แบบชิลๆ มาก)
ข้อมูลเพิ่มเติม : Gero Onsen Suimeikan
ในตอนเช้า เรานั่งรถไฟไปเที่ยวกันต่อ จากสถานี Gero Onsen เราก็ใช้บริการบัตร Takayama Hokuriku Area Tourist Pass เหมือนเดิม นั่งรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะไปถึงสถานี Gifu สถานีนี้กว้างขวาง เอาใจทั้งนักท่องเที่ยว และคนท้องถิ่น มีห้าง ร้านค้า ร้านอาหาร และมุมจัดการแสดงต่างๆ ที่คนท้องถิ่นมาจัดงานอะไรก็ได้ โดยทางสถานีเป็นผู้สนับสนุนด้านพื้นที่ คุณลุงคุณป้า ลูกเด็กเล็กแดงมานั่งชมกันหน้าสลอน คนญี่ปุ่นเขาดูสนุกเพราะคนดูสามารถมีส่วนร่วมได้เกือบทุกกิจกรรม ไม่เหมือนบ้านเรา ขืนมาทำอย่างนี้กันทุกสัปดาห์ ไม่รู้จะมีคนดูหรือเปล่า ต้องโชว์เจ๋งๆ กิจกรรมสนุกจริงๆ ไม่งั้นกร่อยแน่ เพราะคนไทยไม่ค่อยชอบมีส่วนร่วม ขอดูเฉยๆ กันซะมากกว่า


เรามากันที่สถานี Gifu เพราะจะไปเยี่ยมชมสถานที่ไฮไลท์อีกสักจุดในจังหวัดกิฟุ นั่นก็คือประสาทกิฟุ จากที่นี่ เราฝากกระเป๋าไว้เหมือนเดิม แล้วนั่งรถเมล์จากหน้าสถานีมาได้เช่นกัน (ป้ายหมายเลข 12 หรือ 13 ก็ได้) นั่งไปประมาณ 10 นาที พอลงรถเมล์ป้าย Gifu Koen (Gifu Park) เดินทะลุสวนเข้าไปด้านในก็จะถึงจุดขึ้นกระเช้า (Kinkasan Ropeway) ค่ากระเช้าเที่ยวละ 620 เยน ตั๋วไป-กลับ 1,080 เยน


ปราสาทกิฟุ เป็นปราสาทเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา (Mt. Kinka) สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1201 เปลี่ยนเจ้าของปราสาทมาหลายครั้ง แต่เจ้าของที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคงเป็น Oda Nobunaga ด้านในปราสาทกิฟุปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ และยังสามารถมองเห็นวิวเมือง และแม่น้ำสายหลักของเมือง (แม่น้ำ Nagara) ที่โด่งดังในเรื่องการจับปลาด้วยนกกาน้ำได้ด้วย (ประเพณีนี้เรียกว่า “Ukai” จัดประมาณวันที่ 11 พ.ค. – 15 ต.ค. ของทุกปี) สำหรับค่าเข้าชมปราสาทก็ 200 เยนเท่านั้น





เรากินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหารบนยอดเขา (ร้าน Tea House Le Pont de Ciel) ไม่ไกลจากจุดตั้งปราสาทกิฟุ จัดอาหารง่ายๆ แต่ขอเป็นเมนูแนะนำของทางร้าน ข้าวหน้าเครื่องในวัวตุ๋น อร่อยเลย แนะนำว่าใครมาเที่ยวปราสาทกิฟุ ก็มาลิ้มลองกันได้
ข้อมูลเพิ่มเติม : ปราสาทกิฟุ | Ukai | Kinkazan Ropeway
ได้เวลาย้อนกลับไปที่สถานี
จุดหมายต่อไปเมื่อออกจากจังหวัดกิฟุ ถือเป็นสถานที่ปิดจ๊อบของเรา …ออร์เดอร์ ของซื้อฝาก ของฝากซื้อทั้งหลาย ตลอดทางที่ผ่านมา เราหาได้สนใจไม่ ถ่ายรูป เก็บบรรยากาศ เพลิดเพลินไปเรื่อย เอาจริงๆ นะ ตั้งใจมาซื้อที่เดียวเลย
(ขออภัย ผู้ที่ฝากซื้อของทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ใช่ขาช้อป ไม่มีการประเมินราคาใดๆ ที่ไหนถูก ที่ไหนแพง ข้าฯ ขอไม่พิจารณา .. เอาเป็นว่า มีของไปให้ตามที่ท่านระบุมา โอเคนะ ^^)
เดินเล่นในสถานี Gifu พักหนึ่ง แล้วก็ลากกระเป๋าเดินไปที่สถานีรถไฟเอกชน Meitetsu (มีเที่ยวรถไฟที่เราต้องการพอดี) เพื่อนั่งรถต่อไปสนามบินเพื่อฝากกระเป๋าไว้ก่อน (ค่ารถไฟประมาณ 1,300 เยน) …จากสถานี Gifu นั่งรถไฟประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็จะถึงสนามบิน Centrair เราฝากกระเป๋าไว้สนามบิน แล้วค่อยนั่งชัตเติ้ลบัสที่ป้ายหมายเลข 9 ไป Tokoname (ฟรี!) ชื่อเมืองอาจไม่คุ้นหูนัก แต่ว่าที่นี่มี Aeon ใหญ่เบิ่มเพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่กี่เดือน





ขอบอกว่าตอนที่เราไปกันนั้น Aeon Mall Tokoname แห่งนี้เพิ่งเปิดทำการได้เดือนเดียวเอง (เปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 4 ธันวาคม 2015) ทั้งใหญ่โต กว้างขวาง นอกจากจะมีร้านค้าให้ช้อปแบบว่าเยอะมากแล้ว (แต่ละร้านนี่ ทำให้รู้สึกว่าเป็นแจ็คที่ปีนต้นถั่วขึ้นไปบนบ้านยักษ์เลย ใหญ่ทุกร้าน รวมไปถึง Daiso ที่ใหญ่มากๆ) ยังมีโซนอาหารที่มีร้านอาหารให้เลือกหลากหลายเป็นสิบๆ ร้าน … คิวก็ยาวทุกร้านแหล่ะ แหะ แหะ โซนที่เป็น Food Court ที่อยู่ชั้นสอง ก็คนเยอะไม่แพ้กัน คนญี่ปุ่นแถวนี้มารวมตัวกันอยู่ที่ห้างนี้กันหมดแน่ๆ เลย ฮะ ฮะ ใครคิดจะแวะมากินข้าวที่นี่ก่อนขึ้นเครื่อง เผื่อเวลาไว้เลย อีออนแห่งนี้ต้องการเวลาจากคุณ ไปแล้วคุณจะรู้ว่าคุณเองก็คงต้องการให้เวลากับอีออนแห่งนี้ เยอะๆ ด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม : Aeon Mall Tokoname

สำหรับจุดสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับ แน่นอน..สนามบินเซ็นแทร์ (Central Japan International Airport หรือ Centrair บ้างก็เรียกว่าสนามบิน Chubu) ที่นี่ก็ไม่น้อยหน้าสนามบินอื่นๆ ในญี่ปุ่น มีบริการครบครัน แล้วยังทั้งโซนช้อปปิ้งและร้านอาหารด้านนอกก่อนผ่านตม. และหลังผ่านตม. ในอนาคตจะมีช็อปแบรนด์ดังๆ มาเปิดอีก และสินค้าบางตัวในช็อปก็ต้องซื้อที่นี่เท่านั้น สาขาอื่นไม่มีจำหน่าย ก็รอติดตามกันได้
ข้อมูลเพิ่มเติม : Chubu Centrair International Airport



ในที่สุดเราก็เดินทางมาครบ 5 วัน ในเส้นทางที่วางแผนไว้ ว่าจะใช้บัตร Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass คุ้มค่ามาก กับราคา 13,500 เยน/5 วัน ในโซนญี่ปุ่นภาคกลาง ใครจะมาเที่ยวในละแวกนี้เหมือนเรา ชอบธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรม ก็แนะนำบัตรตัวนี้เลยค่ะ เชื่อว่าเพื่อนๆ ต้องสามารถจัดเส้นทางท่องเที่ยวเองโดยใช้บัตรนี้ได้คุ้มกว่าเราแน่ๆ ลองใช้ดูกันนะ
คราวหน้าจะมีเส้นทางไหนมาแนะนำอีก ก็ติดตามกันได้ สำหรับทริปนี้ได้เวลากลับไปชาร์ตเงินในกระเป๋าที่กรุงเทพฯ แล้วล่ะ จะได้มีงบมาเที่ยวญี่ปุ่นอีก ….จนกว่าจะพบกันใหม่ บายยยย (^^)/
เรื่องแนะนำ :
– เที่ยวญี่ปุ่นภาคกลางด้วย Takayama-Hokuriku Pass (3) : Takayama
– เที่ยวญี่ปุ่นภาคกลางด้วย Takayama-Hokuriku Pass (2) : Kanazawa
– เที่ยวญี่ปุ่นภาคกลางด้วย Takayama-Hokuriku Pass (1) : Kaga Onsen