ตอนดิฉันอยู่ปี 2 มีรุ่นพี่ในชมรมกีต้าร์คนหนึ่ง เราเรียกย่อๆ ว่าพี่โอก็แล้วกัน อยู่ปี 4 แล้ว ตัวผอมๆ หน้าเหมือนซูเนโอะเล็กน้อย (ตรงปาก…) ชอบมาสอนน้องๆ เล่นกีต้าร์ เผอิญบ้านพี่โอกับหอพักดิฉันอยู่ใกล้ๆ
ตอนดิฉันอยู่ปี 2 มีรุ่นพี่ในชมรมกีต้าร์คนหนึ่ง เราเรียกย่อๆ ว่าพี่โอก็แล้วกัน อยู่ปี 4 แล้ว ตัวผอมๆ หน้าเหมือนซูเนโอะเล็กน้อย (ตรงปาก…) ชอบมาสอนน้องๆ เล่นกีต้าร์ เผอิญบ้านพี่โอกับหอพักดิฉันอยู่ใกล้ๆ กันเดิน 5 นาทีถึง บางทีเราก็เดินกลับด้วยกันจากมหาลัย และเผอิญอีกว่าที่หอเรามีห้องซ้อมดนตรี ก็ซ้อมดนตรีด้วยกันอยู่ 3-4 ครั้ง

ตอนปิดเทอม พี่โอก็ sms มาบอกดิฉันว่า มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย ช่วงบ่ายๆ เจอตรงสวนสาธารณะระหว่างบ้านเราได้ไหม เกตุวดีก็ตอบว่าได้ แล้วก็นัดเวลากัน ในใจก็คิดว่า พรุ่งนี้วันเกิดฉัน เขาจะให้อะไรหรือเปล่านะ ลุ้นๆ พอเจอกัน พี่โอก็ทักว่าเป็นไง สบายดีไหม
“ค่ะ สบายดี”
อีพี่โอไม่พูดพล่ามทำเพลง สวนมาว่า
“คือ… พี่ชอบเกตุวดีนะ เราคบกันได้ไหม”
…
นึกในใจ ไม่ได้ตั้งตัว ถ้าเป็นหนุ่มไทยก่อนขอเป็นแฟน หนุ่มๆ จะต้องพยายามทำคะแนนกันสุดฤทธิ์ โทรไปคุยเอย text ข้อความหวานๆ เลี่ยนๆ ไปเอย ซื้อขนมมาฝากเอย ส่งเพลงให้เอย เอาเป็นว่า อย่างน้อยหนุ่มไทยจะแสดงสัญญาณอะไรบางอย่างว่าฉันสนใจเธออยู่นะ ฝ่ายหญิงก็จะพอจับทางได้ว่า เฮ้ย ตานี่จีบชั้นอยู่เว่ย ถ้าหล่อนสนใจ หล่อนก็อาจจะเล่นตัวบ้าง ขวยเขินบ้าง กว่าจะไปถึงขอเป็นแฟนและคบกันนี่ บางคู่ใช้เวลาเป็นปี
แต่…กรณีพี่โอ ดิฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสัญญาณใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นมวย ไม่มีการแย็พ แต่กระโดดชกหน้าจังๆ เลย เราไม่เคยไปกินข้าวด้วยกันสองคน ไม่เคยไปเดท กะอีแค่ไปเที่ยวกับชมรมด้วยกันยังไม่เคยเลย โทรศัพท์ไม่มีสักครั้ง กิจกรรมที่เคยทำกันสองคนก็มีแค่เล่นกีต้าร์เท่านั้น เวลาคุยกับเรา เขาก็คุยปกติม้ากมาก คิดอะไรตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ (วะ)
[ad id=”61″]
พอตั้งท่าจะปฎิเสธ ก็นึกขึ้นได้ว่า เราไม่รู้วิธีพูดปฏิเสธเป็นภาษาญี่ปุ่นเลย การ์ตูนรักใสแนวญี่ปุ่นที่เคยอ่านก็เป็นภาษาไทย โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นก็ไม่เคยสอน ฮ่าๆ สุดท้าย ก็ตอบประโยคง่ายๆ ไป อารมณ์ประมาณว่า “พี่เป็นคนดีมากเลย (นึกๆประโยคต่อ) แต่….หนูยังไม่ได้คิดอะไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ดันไปพูดขอบคุณเขาอีก
พี่โอก็คอตกเล็กๆ แล้วก็บอกว่า “อืม..เหรอ ไม่เป็นไร”
ด้วยความไม่ประสีประสา และไม่รู้จะคุยอะไร เราก็เสล่อไปถามเค้าอีก “พี่รู้เปล่า พรุ่งนี้วันเกิดหนูนะ”
ปรากฏว่าอีพี่โอไม่รู้ แกก็ตอบอย่างพยักเพยิดว่า “งั้นเหรอ สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะ” แล้วยิ้มเฝื่อนๆ เลือกฤกษ์ยามได้งามดีมาก ไม่มีการศึกษาเป้าหมายตัวเองก่อนเล้ย นึกจะทำอะไรก็ทำใช่มั้ย ยิ่งรู้อย่างนี้ก็เลยยิ่งมั่นใจว่า เซย์โนไปน่ะ ดีแล้ว
หลังจากนั้น พี่โอก็ไม่ค่อยได้โผล่หน้ามาห้องชมรมอีก เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร เจอกันอีกทีตอนคอนเสิร์ตปลายปี แอบเห็นแกใส่แหวนที่นิ้วนาง คงไปสารภาพรักกับใครแล้วเค้ายอมโอเคด้วยแล้วมั้ง พอเจอหน้ากันเราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม ไม่มีอะไร
เกตุวดีก็คุยกับเพื่อนผู้หญิงในชมรมที่เพิ่งคบกับแฟน แฟนเค้าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันในคณะ เค้าบอกว่าโดนสารภาพรักแบบงงๆ เหมือนกัน ที่ผ่านมา เค้ากับแฟนก็คุยกันปกติ เฮฮาไปวันๆ มีอยู่วันหนึ่ง ที่ภาคจัดงานปาร์ตี้ แล้วสองคนนี้เดินกลับด้วยกัน ระหว่างทางก็คุยกัน หัวเราะกันอย่างเมามันส์ จู่ๆ แฟนเขาก็หันมาบอกว่า “เฮ้ย เราว่าเราชอบเธออ่ะ คบกันได้ป๊ะ” อีเพื่อนอิฮั้นก็เมานิดๆ คึกหน่อยๆ มันก็อึ้งๆ คิดอยู่ 3 วิ.แล้วตอบว่า “เออ ลองดู”
คนญี่ปุ่นนี่ก็แปลก ถ้าคุยกับใครแล้วรู้สึกดี น่าจะโอเค ก็ลองคบกันก่อนเลย ไปด้วยกันไม่ได้ค่อยเลิก ส่วนคนไทยเหรอ กว่าจะคบกัน มันต้องมีช่วงโปรโมชั่นลองใจ ฝ่ายชายจะทุ่มเทกายและใจในการเข้าหาหญิงสาวที่ตนหมายปอง กว่าจะรู้ชื่อหล่อน กว่าจะได้เบอร์ กว่าจะหาเรื่องคุย ไหนจะหากิจกรรมที่ชวนกันทำ กว่าฝ่ายสาวจะยอมไปเที่ยวกันสองต่อสอง กว่าจะบอกรัก พอได้ใจสาวมาปุ๊บ ก็ต้องเผชิญกับคุณเพื่อนของหล่อน โหดกว่านั้นก็ต้องเจอคุณพ่อคุณแม่หล่อน อู๊ย เรื่องความรักมันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนแล้ว สาวเจ้าอาจบอกเลิกแฟนหนุ่มได้หลังหมอดูหรือพระทักว่าดวงไม่สมพงษ์กัน
ตัดภาพมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง หนุ่มสาวญี่ปุ่นจะคุยๆ กัน พอรู้สึกดี ก็ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์เรื่อยๆ ถ้าเปรียบความสัมพันธ์เสมือนการปลูกต้นไม้ ฝั่งญี่ปุ่นจะค่อยๆ รดน้ำ พรวนดิน ค่อยๆ รอต้นกล้าโต เพราะฉะนั้น หนุ่มไทยที่คิดจะจีบสาวญี่ปุ่น อย่าเพิ่งทุ่มสุดตัวเหมือนตอนจีบสาวไทย สาวญี่ปุ่นเขาไม่ชิน อาจจะแตกตื่นคิดว่าคุณเป็นพวกบ้ากามได้ ยิ่งไอ้ประเภทโทรศัพท์ไปคุยทุกวัน sms ไปหาทุกคืนนี่ไม่ต้อง คนญี่ปุ่นนี่ ถ้าไม่มีธุระอะไรจริงๆ เขาจะไม่โทรคุย เพราะถือว่ารบกวนเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน ไว้คุณจีบเขาติดแล้วค่อยว่ากันอีกที
เกตุวดีมีเพื่อนสาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อ อากิโกะ มาทำงานที่เมืองไทย อากิโกะก็คบกับหนุ่มไทยเป็นแฟนอยู่พักหนึ่งแล้วเลิกกัน เกตุวดีเลยถามว่า หนุ่มไทยมีอะไรไม่ดีเหรอ อากิโกะบอกว่า เขาเอาใจฉันเกินไป แล้วก็ไม่รู้จักกาลเทศะ
“มีอยู่วันหนึ่ง เขาโทรมาหาฉันตอนบ่ายสอง เขาบอกว่าให้มองนอกหน้าต่างมาสิ พอฉันมองลงไป หมอนี่กำลังยืนโบกมือบ๊ายบายชั้นอยู่ เกตุวดี… ตอนนั้นมันเวลางานนะ มันโดดงานมาเพื่อมาหาชั้น ฉันงงมากว่าเกิดอะไรขึ้น พอชั้นลงไปถามว่า มีธุระอะไรหรือเปล่า ทำไมต้องมาถึงที่ทำงาน รู้ไหมมันตอบว่าไง … ผมคิดถึงคุณน่ะ …. ชั้นจะบ้าตาย”
เป็นไงคะ ถ้าเป็นสาวไทยคงม้วนอายและปลื้มในความทุ่มเทของแฟนหนุ่มแล้ว แต่คนญี่ปุ่นไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ เขาเห็นความสำคัญของการงาน หน้าที่ส่วนรวมมาก่อนหน้าที่ส่วนตัว อากิโกะมองว่า การที่แฟนเก่าเอาเรื่องส่วนตัวมาก่อนการงาน เป็นนิสัยแบบเด็กๆ มาก ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ เวลาจะไปกินข้าวที่ไหนด้วยกัน แฟนก็ตามใจอากิโกะตลอด เธอบ่นว่า เขาไม่มีความเด็ดขาด ไม่มีความเป็นผู้นำ
หนุ่มไทยอาจงง…. ตูทำอะไรผิด
คุณๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ เพียงแต่สาวญี่ปุ่นเขาไม่ชิน หนุ่มญี่ปุ่นที่ป๊อปหน่อยจะเป็นประเภท เถื่อนนิดๆ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีรุ่นพี่ในชมรมคนหนึ่งชื่อ ฮอนดะ เดี๊ยนเรียกในใจว่า อีตาฮอนดะ เพราะหมั่นไส้ในความเก๊กของมัน อีตาฮอนดะเนี่ย หน้าตาก็โอเค ผอม สูง เล่นกีต้าร์เก่งมาก เพลงยากๆ เฮียเล่นได้หมด สาวๆ ในชมรมเลยกรี๊ดเป็นพิเศษ วิธีคุยกับสาวของมันจะห้วนๆ เถื่อนๆ เช่น ที่ร้านอาหาร …
รุ่นน้อง : (ทำเสียงหวาน) “พี่ฮอนดะจะสั่งอะไรค้า”
อีตาฮอนดะ : “หมี่น้ำชาม”
ระหว่างนั้น อีตาฮอนดะก็สูบบุหรี่ปุ๊ยๆ พ่นควันใส่หน้าพวกเรา พอพนักงานยกอาหารมา รุ่นน้องที่แอบปลื้มก็รีบหยิบตะเกียบกับช้อนให้ อีตาฮอนดะรับมา พูดแบบขอไปทีว่า “ขอบใจ” โดยไม่มองหน้าสาวเจ้า เกตุวดีก็ด่าในใจ อะไรมันจะเก๊กขนาดนี้ แต่เพื่อนอิฮั้นสิคะ มันมากรี๊ดกร๊าดให้ฟังทีหลังว่า พี่เขา So cool เท่ห์มาก อารมณ์พูดน้อย ต่อยหนัก นี่ถ้าคบเป็นแฟนวันๆ มันคงนั่งเล่นแต่กีต้าร์ ทิ้งให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายบริการอย่างเดียว สั่งนู่นสั่งนี่ แล้วก็จบด้วยคำขอบคุณแบบขอไปที ผู้หญิงญี่ปุ่นเขาทนได้ไงนะ
อีกเคสเป็นเพื่อนในคณะชื่อมาจิโกะ แฟนของมาจิโกะก็เป็นเด็กในคณะรุ่นเดียวกันนี่แหละค่ะ เกตุวดีบ่นว่าไม่เข้าใจหนุ่มญี่ปุ่นเลย มาจิโกะบอกว่า ถ้าเทียบกับหนุ่มญี่ปุ่นทั่วไปแล้ว แฟนตัวเองถือว่าเทคแคร์และเป็นผู้ชายใจดี เวลาไปเดท ก็จะคอยถามว่า “เหนื่อยมั้ย พักก่อนมั้ย” ตลอด ทีนี้มีอยู่วันหนึ่ง มาจิโกะออกไปทำงานพิเศษ กลับมาที่ห้องเหนื่อยๆ แฟนก็นั่งรอ มาจิโกะก็ทำอาหารนู่นนี่ให้กินสารพัด กินเสร็จแล้วก็กองจานไว้ในครัว แล้วทั้งคู่ก็นอนตรงโซฟาดูหนังด้วยกัน มาจิโกะก็ผล็อยหลับไปสักแป๊บ แฟนเลยถามว่า “จะไปนอนมั้ย ไม่ต้องห่วงเรื่องจานนะ…. เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยล้างก็ได้” คือคุณแฟนก็ไม่ช่วยล้างจาน ยังไงๆ มาจิโกะก็ต้องเป็นคนล้างอยู่ดี แต่ด้วยความใจดี (?) ของแฟน เธอไม่ต้องเป็นแม่ศรีเรือนมากนัก ไม่ต้องล้างเลย เอาไว้ล้างทีหลังก็ได้ นี่หรือคือน้ำใจแฟน
มีคนถามเกตุวดีบ่อยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมไม่มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น จะได้ฝึกภาษา เคยอยากมีเหมือนกันแต่รู้สึกว่าเวลาเกตุวดีพูดภาษาไทยกับภาษาญี่ปุ่น บุคลิกจะไม่เหมือนกัน เวลาอยู่กับคนญี่ปุ่น เราก็จะสุภาพเรียบร้อย ยิ่งอยู่กับหนุ่มญี่ปุ่น เราก็ไม่ค่อยแสดงความเห็นอะไร เออๆ ออๆ ไปอย่างเดียว ปล่อยให้ผู้ชายเขาคิดไป เราเป็นผู้ตาม ซึ่งลึกๆ แล้ว เกตุวดีรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เป็นตัวของตัวเอง จะแย้งจะด่าก็ไม่ได้ เพราะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ขนาดนั้น เหตุผลอีกประการคือ พอนั่งสังเกตแฟนเพื่อนๆ และหนุ่มญี่ปุ่นโดยทั่วไปแล้วก็รู้สึกถอดใจค่ะ ขนาดเป็นเพื่อนกัน ชั้นยังต้องรินน้ำ รินเบียร์ให้ ข้าวของก็ไม่เคยช่วยถือ ขืนคบเป็นแฟนหรือแต่งงานกัน ชั้นคงต้องเป็นขี้ทาสพอดี
แต่เขียนแบบนี้ อาจโดนครหาว่า ปรักปรำหนุ่มญี่ปุ่นมากเกินไป อันที่จริงหนุ่มญี่ปุ่นก็มีหลายประเภทค่ะ หนุ่มใจดีขี้อายแต่สุภาพบุรุษก็มี หนุ่มฮาๆ ก็มี เกตุวดีก็ชอบ แต่ไม่มีบุญวาสนาได้เป็นคู่ครองเท่านั้นเอง (ฮ่าๆ) ถ้าคุณผู้อ่านได้เจอคนที่เรารู้สึกดีด้วย อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ก็อย่าไปสนใจเรื่องเชื้อชาติเลยค่ะ ของอย่างนี้มันก้าวข้ามกำแพงภาษาและวัฒนธรรมไปได้ ขอให้คุณสองคนรู้สึกดีต่อกันและรักกันจริงๆ ก็พอ
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura