คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้อินกับนวนิยายของมุราคามิขนาดนั้น คำถามที่สื่อญี่ปุ่นตั้งคำถามเกี่ยวกับมุราคามิส่วนใหญ่คือ “ทำไมมุราคามิถึงไม่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม”
มุราคามิ ฮารุกิเอง อาจจะไม่ได้เหมือนคนญี่ปุ่นทั่วไป
จากความสำเร็จในงานเขียนหนังสือของเขา ทำให้มุราคามิ ย้ายตัวเองไปอยู่ในต่างประเทศเพื่อเขียนนวนิยาย เพื่อหลีกหนีจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาในประเทศญี่ปุ่น
คนเราอาจจะแฟนตาซีว่าชีวิตนักเขียนมีความชิวๆ ชิคๆ แต่ผมรู้สึกว่า เอาเข้าจริงแล้วชีวิตนักเขียนต้องมีระเบียบวินัยอย่างยิ่ง มี self-doubt ว่าสิ่งที่กำลังเขียนอยู่มันโอเคแล้วหรือเปล่า
เมื่อลองมองย้อนกลับมาดู งานเขียนของมุราคามิ ก็มียอดขายระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากงานเขียนของมุราคามิคือ ตัวละครเหล่านั้นในเรื่องดูแตกต่างจาก sterotype คนญี่ปุ่นทั่วไป
ตัวละครเอกในงานของมุราคามินั้น มีชีวิตสันโดษ ไม่ค่อยไปปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานเท่าไร มีอาชีพที่แลดูมีอิสระ แต่อิสระที่ได้มานั้นต้องแลกมากับ job security
คนญี่ปุ่นโดยทั่วไปนั้นมักเจอบริบททางสังคมให้ต้องอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เช่นไปกินเลี้ยงกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงาน อยู่ในสังคม Hiearachy ของบริษัท ขั้นตอนชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่โตขึ้นเป็นซาลารี่แมน แต่งงาน มีบ้าน ทำงานจนเกษียณ
แน่นอนว่าหลังๆ คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้กันทุกคน บางคนอาจจะไม่ได้แต่งงาน เลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวดีกว่า
ที่มุราคามิเขียนนิยายโดยกล่าวถึงตัวละครเอกที่มีชีวิตสันโดษนี้ น่าจะเป็นภาพสะท้อนจากชีวิตส่วนตัวของมุราคามิเสียมากกว่า มุราคามิไม่เคยอยู่ในสังคมบริษัท เปิด jazz bar เป็นของตนเอง ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นนักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
เท่าที่ผมรู้สึก คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้อินกับนวนิยายของมุราคามิขนาดนั้น คำถามที่สื่อญี่ปุ่นตั้งคำถามเกี่ยวกับมุราคามิส่วนใหญ่คือ “ทำไมมุราคามิถึงไม่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม”
ซึ่งคำถามนี้ไม่ได้ถูกต้ังขึ้นมาเพราะปราถนาให้มุราคามิได้รับรางวัล แต่คงจะเห็นว่าคนญี่ปุ่นอย่างมุราคามิที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาตินั้นทำไมถึงยังไม่ได้รับรางวัลเสียที เพื่อจะได้ชื่อว่า “คนญี่ปุ่น” ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
นวนิยายของมุราคามิมีการพูดถึงประวัติศาสตร์อย่างช่วงโศกนาฏกรรมที่เมืองนันกิง การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาในช่วงทศวรรษที่ 60 หรือเหตุการณ์หายนะของแผ่นดินไหวในปี 2011 แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การหยิบยกประวัติศาสตร์ส่วนนั้นเอามาใช้อย่างผิวเผิน ไม่ได้มีความต้องการจะพินิจพิเคราะห์เรื่องราวทางประวัติศาตร์เหล่านั้นเป็น theme หลักของนวนิยายจริงๆ เลยมีคนวิเคราะห์ว่าเป็นเหตุให้นวนิยายของมุราคามินั้นไม่เข้าข่ายที่จะได้รับรางวัลโนเบล
โดยรวมแล้ว มุราคามิก็ไม่ได้เป็นนวนิยายที่เป็นตัวแทนของความเป็นญี่ปุ่น มุราคามิได้รับอิทธิพลจากนักเขียนต่างชาติค่อนข้างมาก อย่าง F. Scott Fitzgerald, Raymond Carver และวิธีการที่มุราคามิใช้ในการเขียนนวนิยายเล่มแรกของเขาคือ “การเขียนเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วค่อยแปลกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่น” เพื่อที่จะได้ภาษาสัญลักษณ์ที่เป็นของตนเอง จนมีคนวิจารณ์ว่านวนิยายของมุราคามิไม่เหมือนนวนิยายภาษาญี่ปุ่นทั่วไป
ใครหลายคนทราบว่า มุราคามิไม่ได้เป็นตัวแทนของนวนิยายญี่ปุ่นอย่างแท้จริง แต่ก็คิดว่ามีข้อดีหลายๆ อย่างที่มุราคามิไม่ได้เหมือนคนญี่ปุ่น และทำให้นวนิยายของเขาถึงได้รับการยอมรับจากคนที่ against สังคมญี่ปุ่นอยู่หน่อยๆ
ผมคิดว่า นวนิยายของมุราคามินั้น “ภาษาญี่ปุ่น” ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่ง และใช้ภาษาญี่ปุ่นนั้นวิพากษ์วิจารณ์สังคมปัจจุบัน aginst สังคมญี่ปุ่น ด้วยความหวังลึกๆว่าสังคมญี่ปุ่นจะดีขึ้นกว่านี้
เรื่องแนะนำ :
– COVID-19 ที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 29 มีนาคม 2020
– อ่านอยู่บ้าน “สังหารจอมทัพอัศวิน” นวนิยายมุราคามิเล่มใหม่
– ที่มาของคำว่า 元気 [เกงคิ] “สบายดี”
– 根拠 [คงเขียะ] เหตุผลรองรับ, หลักฐานรองรับ
– 炎上 [เอนโจ] ลุกเป็นไฟ