鬼 [โอะนิ] ยักษ์ อสูร และ ตัวตนที่แท้จริงในมุมมองของญี่ปุ่น
รูปประกอบโดย WALK on CLOUD
ในการ์ตูนดังเรื่องดาบพิฆาตอสูร (鬼滅の刃: คิเมะซึ โนะ ไยบะ) มีการพูดถึง “โอะนิ” ที่เป็น“อสูร” หรือ “ยักษ์”
อสูรหรือยักษ์เหล่านี้เฝ้ากินคน สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนในญี่ปุ่นสังคมยุคไทโช
鬼 [โอะนิ] หรือ “ยักษ์” เป็นหนึ่งใน “สิ่งมีชีวิตในตำนานของญี่ปุ่น”
“สิ่งมีชีวิตในตำนาน” นั้นในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 妖怪 [โยไค] ซึ่งประกอบไปด้วยคันจิคำว่า 妖[โย] และ 怪 [ไค]
妖 [โย] เป็นคันจิที่ใช้ประกอบในคำอื่นๆ อย่างเช่นคำว่า
妖精
ようせい
[โยเซ]นางฟ้า
Fairy
妖精 [โยเซ] เราจะนึกถึง นางฟ้าตัวเล็กๆ ยกตัวออย่างเช่นนางฟ้าทิงเกอร์เบลในเรื่องปีเตอร์แพน หรือ นางฟ้า Fairy ในเกมเซลด้า
คันจิคำว่า 妖 [โย] จึงให้ฟีลลิ่งแบบนี้ เป็นสัตว์น่าพิศวง แบบ Fantastic beast
ส่วนคันจิตัว 怪 [ไค] นั้นมาจากคำว่า
怪しい
あやしい
[อะยะชี่]น่าสงสัย
suspicious
คันจิสองตัวนี้ 妖怪 [โยไค] จึงเป็นอะไรที่บ่งบอก “ความเป็นสัตว์ในตำนาน” ของญี่ปุ่น
เรากลับมาที่คำว่ายักษ์ 鬼 [โอะนิ] กัน
ภาพจำของ โอะนิ นั้นเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่มีเขางอกจากหัวหนึ่งเขา หรือสองเขา ผมเผ้ายุ่งเหยิงเขี้ยวงอกจากปาก เล็บแหลม นุ่งกางเกงที่ทำมาจากหนังเสือ และถือกระบองหนาม
โอะนิ ของญี่ปุ่น ว่ากันว่ามีผิวสีอยู่ 5 สี อันได้แก่ ฟ้า แดง เหลือง เขียว ดำ
ซึ่งสีเหล่าของโอะนิเหล่านี้เป็นการผสมผสานระหว่าง “นิวรณ์ 5 ของศาสนาพุทธ” และ “การเปลี่ยนสภาพทั้ง 5 ของลัทธิเต๋า” (Wuxing พินอิน)
นิวรณ์ห้า นั้นได้แก่
1. กามฉันทะ ความไม่พอใจ ติดใจ หลงใหล ใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่
2. พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณฑ์ทรมานอยู่
3. ถีนมิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม
4. อุทธัจจะกุกกุจจะ กระสับกระส่ายตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใดๆ
5. วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กล้าๆ กลัวๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ
ส่วนการเปลี่ยนสภาพทั้งห้า นั้นได้แก่
ไม้
ไฟ
ดิน
โลหะ(ทอง)
น้ำ
สีของโอะนิ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง นิวรณ์ห้า และ การเปลี่ยนสภาพทั้งห้า อันได้แก่
ไม้ + พยาบาท = โอะนิสีฟ้า
ไฟ + กามฉันทะ = โอะนิสีแดง
ดิน + อุทธัจจะกุกกุจจะ = โอะนิสีเหลือง
(โลหะ)ทอง + ถีนมิทธะ = โอะนิสีเขียว
น้ำ + วิจิกิจฉา = โอะนิสีดำ
โอะนิทำร้ายมนุษย์ และกินมนุษย์เป็นอาหาร ในตำนานของญี่ปุ่นมักจะกล่าวไว้ว่า โอะนิอาศัยอยู่ในภูเขา บริเวณที่สูง
ตัวอักษร 鬼 [โอะนิ] ยังอ่านอีกแบบหนึ่งได้ว่า
鬼
き
[คิ]ซึ่งตัวคันจินี้มีความหมายดั้งเดิมว่า “วิญญาณของผู้ตาย”
ส่วนคำอ่าน “โอะนิ” (おに) นี้ แปรผันมาจากเสียงคำว่า “โอะนุ” (隠) ที่มีความหมายว่า “หลบซ่อน” ซึ่งนั่นก็หมายความว่า “เหล่าอสูร เหล่ายักษ์เหล่านี้ ในแรกเริ่มนั้นไม่มีรูปร่างให้แลเห็นเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
เรื่องราวของ โอะนิ นั้นถูกกล่าวถึงในตำนานของญี่ปุ่น จนมีการตั้งคำถามว่าตัวตนที่แท้จริงของโอะนิ นั้นคืออะไร
ถ้าจะมองเป็นสองแบบ แบบแรกคือโอะนิ เป็นผลผลิตจากกิจกรรมทางจิตวิญญาณของมนุษย์กับแบบที่สองคือ โอะนิ เป็นปรากฏการณ์ที่มีตัวตนอยู่จริง
มุมมองที่ โอะนิ คือ ผลผลิตจากกิจกรรมทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือภัยธรรมชาติต่างๆ อย่างเช่น แผ่นดินไหว พายุ หรือ อัคคีภัย ซึ่งมนุษย์เราอาจจะมองปรากฎการณ์เหล่านี้ สร้างภาพร่างกายของมีสองแขนสองขาของมนุษย์แบบ Humanoid ขึ้นมากลายเป็น“โอะนิ”
ส่วนอีกมุมมองที่บอกว่า โอะนิ มีตัวตนอยู่จริงแล้ว แท้จริงมันคืออะไร ซึ่งก็มีผู้คนตั้งข้อสังเกตไว้หลากหลายทฤษฎี ดังต่อไปนี้
1.
ทฤษฎีแรก แท้จริงแล้ว โอะนิ เป็น “ช่างตีเหล็ก“
ในสมัยอดีตกาลเหล่าช่างตีเหล็กนี้จะอาศัยอยู่ตามเหมืองแร่ ตามภูเขา ซึ่งผู้ริเริ่มทฤษฎีนี้คือคุณวะคะโอะ อิซึโอะ (若尾五雄) นักวิจัยผู้เขียนหนังสือ “การวิจัยตำนานโอะนิ – จากมุมมองของประวัติศาสตร์การตีเหล็ก(鬼伝説の研究 – 金工史の視点から) ไว้ในปีค.ศ.1981
คุณวะคะโอะ สังเกตว่า ตำนาน โอะนิ ทั้งหลายนั้นมักจะปรากฎอยู่ตามเหมืองแร่ต่างๆ และเหล่า โอะนิ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ช่างตีเหล็ก ซึ่งมีตัวอย่างในบางตำนานที่ โอะนิ นั้นแลดูเหมือนช่างตีเหล็ก จึงเป็นเหตุให้ คุณวะคะโอะ เสนอ ทฤษฎีที่ว่า “โอะนินั้นน่าจะเป็นช่างตีเหล็ก”
จากทฤษฎีช่างตีเหล็กนี้ ณ ตอนแรกที่มีการประกาศ ก่อให้เกิดแรงต่อต้านกับความคิดเห็นสงสัยในทฤษฎีนี้ แต่เวลาผ่านก็มีการอภิปรายที่คล้อยตามกับความคิดนี้
2.
ทฤษฎีที่สองนั้น “โอะนิ” อาจจะเป็นคำที่ทาง ราชสำนักญี่ปุ่นใช้เรียก กลุ่มเอะมิชิ (蝦夷) หรือกลุ่มคนเถื่อน (barbarian) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น (ปัจจุบันคือแถบคันโต และ โตโฮะคุ) และ แถบทางเหนืออย่าง ฮอกไกโด และ เกาะซาฮาลิน (ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า คะระฟุโตะ樺太)
ราชสำนักญี่ปุ่นหรือเมืองหลวงนั้นตั้งอยู่ที่ นารา หรือ เกียวโตะ
ในหน้าประวัติศาสตร์กล่าวว่า สะกะโนะอุเอะ ทะมุระมะโระ (坂上田村麻呂) ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นโชกุน ได้ถูกส่งตัวจากราชสำนักไปกวาดล้าง เอะมิชิ ทางภูมิภาค โตโฮะคุ
ซึ่งในโตโฮะคุนั้นก็มีตำนานมากมายที่กล่าวถึง การกำจัดโอะนิเพื่อปกป้องพระเจ้าและพระพุทธเจ้า (神仏:ชินบุซึ) และมีตำนานที่กล่าวถึงหัวหน้าของ เอะมิชิ ผู้มีชื่อเสียงอย่าง โอทะเคะมะรุ (大武丸) นั้นตัวตนที่แท้จริงแล้วเป็นโอะนิ
3.
ทฤษฎีที่สาม ว่าจริงๆ แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของ โอะนิ ก็คือ “ฝรั่งตาน้ำข้าว” หรือคนผิวขาว นั่นเอง
โอะนิ ที่เป็นที่รู้จักอย่าง ชุเทนโดจิ (酒呑童子) นั้นในภาพวาดเก่าแก่ก็วาด ชุเทนโดจิ ให้มีเส้นผมสีน้ำตาล และมีตาสีสดใส มีผิวสีแดงซึ่งอาจจะเป็นการเปรียบเปรยผิวที่โดนแดดเผาแถมยังมีร่างกายใหญ่โต
ในยุคสมัยเอะโดะ เป็นที่ลือกันว่า โอะนิ อาจจะเป็นเหล่าโจรสลัดจากต่างประเทศที่ขึ้นบกมาบนเกาะญี่ปุ่น
ในยุคสมัยเมจิ ก็เป็นที่ลือกันว่า โอะนิ = ชาวรัสเซีย
ณ ปัจจุบัน ยังมีกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในทฤษฏีนี้ที่ว่าโอะนิคือคนผิวขาว ถึงขั้นที่นักเขียนการ์ตูนอย่างเทซึกะ โอะซะมุ ผู้เขียนเรื่องเจ้าหนูอะตอม ยังเขียนเรื่อง โอะนิมะรุไทโช (鬼丸大将) โดยยึดถือจากทฤษฎีนี้
แต่ด้วยความก้าวหน้าทางวิชาการ จากการศึกษาด้านมานุษยวิทยาที่ศึกษาระดับโมเลกุล พบว่าในชาวญี่ปุ่นนั้นก็มียีนของคนผิวขาวอยู่แม้นจะเป็นจำนวนน้อยก็ตาม
ซึ่งจากการวิจัยนั้นบ่งบอกว่าในพื้นที่อย่างโตโฮะคุนั้น ผู้คนที่มียีนคนผิวขาว มีอยู่เป็นจำนวนมากกว่าผู้คนในแถบภูมิภาคอื่น ซึ่งมันประจวบเหมาะว่าในภาคพื้นที่เหล่านั้นมักจะมีเรื่องเล่ากล่าวขานถึง โอะนิ หรือ พิธีกรรม นะมะฮะเกะ (ナマハゲ) ที่ผู้คนสวมหน้ากากโอะนิและเสื้อฟาง ในช่วงเทศกาลปีใหม่
แต่ทว่า ที่กล่าวไว้ด้านบนว่า ทฤษฎีที่กล่าวว่า โอะนิ = คนรัสเซีย หากเราลองมองย้อนดูประวัติศาสตร์การกระจายตัวตามภูมิภาคต่างๆของคนรัสเซีย เทียบกับ “ยุคสมัยที่โอะนิมีอยู่” มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่า โอะนิ = คนรัสเซีย
+++
โอะนิ และ ยุคไทโช ในการ์ตูนเรื่องดาบพิฆาตอสูร
สำหรับการ์ตูนเรื่อง ดาบพิฆาตอสูร (คิเมะซึ โนะ ไยบะ : 鬼滅の刃) ได้วาดภาพของเหล่าพระเอกที่ต่อสู้กับ โอะนิ ในญี่ปุ่นยุคไทโช
ความจริงก็มีข้อสงสัยที่ว่า ทำไมถึงกำหนดให้เหล่า “โอะนิ” เป็นวายร้ายของเรื่อง
ซึ่งมีคนวิเคราะห์ไว้ว่า*
ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเรานั้น เป็นที่น่าสนใจว่า ในหลายๆประเทศมี “สิ่งมีชีวิตในตำนาน” ที่มีความละมายคล้ายคลึงกับ “โอะนิ” ของญี่ปุ่น
ประเทศไทยเราก็มี “ยักษ์” ซึ่งมาจากเรื่องรามเกียรติ์
ในยุโรปก็มียักษ์อย่าง Orge, Troll, Golbin
ภาพจำของ “โอะนิ” = ความชั่วร้าย, คนร้าย เป็นไอเดียที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับ การ์ตูนโชเนนมังงะ (การ์ตูนสำหรับเด็กวัยประถม มัธยม)
และยิ่งเป็นมุมมองจากชาวต่างชาติที่อ่านมังงะแล้ว “โอะนิ” ก็เป็นอะไรที่น่าจะเข้าถึงง่าย เพราะมีอะไรที่คล้ายๆกันในวัฒนธรรมของชาติอื่น
เสริมนิดนึงว่า ทำไมถึง ต้องเป็น “ยุคไทโช” ด้วยในการ์ตูนเรื่องดาบพิฆาตอสูร
กล่าวกันว่าหากวาดภาพไปในยุค เอะโดะ แล้ว ทรงผมของพระเอกคงต้องวาดให้เหมือนยุคโบราณที่มีมวยผมด้านหลัง (ที่เรียกภาษาญี่ปุ่นว่า “จนมะเกะ” ちょんまげ)
พอเป็นยุคไทโช และ ทรงผมของตัวละครที่วาด สามารถวาดให้มีความเป็นชาติตะวันตกมากขึ้นใกล้เคียงยุคปัจจุบันมากขึ้น ทำให้คนอ่านรู้สึกซึมซับ ใกล้เคียงกับตนเองมากขึ้น และเข้าถึงได้ง่ายกับคนต่างชาติจากทรงผมการแต่งตัวที่ใกล้เคียงยุคปัจจุบัน
แล้วทำไม ไม่วาดเป็นยุคเมจิ ละ หากเรียงตามลำดับเวลาแล้ว เมจิ ก็ถือว่าเป็นยุคอดีตเกินไป ซึ่งคนเราอาจจะไม่อินเพราะมันห่างไกลตัวเราเองเกินไป
ต้องเสริมว่า ส่วนประกอบสำคัญสำหรับหนังสือเรื่องเล่า ก็คือ “ความรู้สึกคิดถึง” (Nostalgia) ซึ่งการวาดการ์ตูนในยุคเมจินั้นมันเก่าจนเกินไปสำหรับเด็กรุ่นใหม่
มองในอีกมุม ยุคเมจินั้นก็มีการพูดถึงมากไปในประวัติศาตร์ ใน ขณะที่ยุคไทโช ยังไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก ซึ่งน่าจะเป็นการดีที่จะหยิบยกประวัติศาตร์ยุคนี้มาเล่าเป็นเรื่องราว
อีกอย่างหนึ่ง ยุคไทโชนั้นเป็นยุคที่การพัฒนาอาวุธยังไม่ไปไกลมากนัก พอที่จะวาดให้ เหล่าพระเอกจำเป็นต้องใช้ “ดาบ” ในการกำจัด โอะนิ ซึ่งทำให้การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับโอะนินั้นต้องเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อต่อ สร้างความประทับใจให้คนอ่านได้
+++
โอะนิ สิ่งมีชีวิตในตำนาน ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการ์ตูนดังเรื่อง ดาบพิฆาตอสูร
ในแง่ทางภาษาปัจจุบันนี้ คำว่า โอะนิ (鬼) ยังใช้อ้างอิงถึง “ความน่ากลัว” “ความเลวร้าย”
แต่ในบางภาคพื้นที่ ก็มีมุมมองว่า โอะนิ “ในแง่ดี”
ตัวอย่างเช่น จังหวัด ทตโตริ เมือง โฮคิโจ (伯耆町) ก็นับถือ โอะนิ “ผู้แข็งแกร่ง” เป็นผู้ซึ่งดูแลคุ้มครองหมู่บ้าน
หรือในจังหวัด อาโอโมริ ภูเขา อิวะคิซัน (岩木山) มีการทำกุศลกรรมเพื่อแสดงการขอบคุณต่อโอะนิ ผู้เป็น พระเจ้าของศาลเจ้า
ซึ่งสาเหตุที่ภาพลักษณ์ของ โอะนิ จะเป็นภาพของ ความชั่วร้าย ความน่ากลัว นั้นน่าจะมาจากอิทธิพลของละคร Nogaku (能楽) ที่มักจะมอบบทให้ โอะนิ เป็น “ร่างที่แปลงมาจากวิญญาณอาฆาต” หรือ “สิ่งที่มาจากนรก”
ในแง่มุมด้านภาษาในชีวิตประจำวัน เด็กญี่ปุ่นที่กลัวแม่ที่กำลังโกรธ ก็อาจจะอ้างอิงแม่ตัวเองว่าเป็น “โอะนิ” ก็ได้
เด็กอาจจะร้องว่า
ママは鬼だ
[มะมะ วะ โอะนิ ดะ]แม่เป็นโอะนิแล้วววว
ในแง่มุมประวัติศาสตร์ เราอาจจะมองว่า โอะนิ เป็นทั้งภาพของความชั่วร้าย แต่ก็มีบางท้องถิ่นที่มองว่า โอะนิ เป็น “เทพเจ้าผู้คุ้มครอง” แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ โอะนิ มีภาพลักษณ์ของ“ความน่ากลัว” “ความแข็งแกร่ง” และ “ความเหนือมนุษย์”
หรือ “โอะนิ” อาจจะเป็นตัวตนอีกคนหนึ่งที่อยู่ในใจเรา ที่ไม่ได้เผยออกมาให้เห็นแน่ชัด ซึ่งอาจรอเวลาที่มันจะระเบิดออกมาก็เป็นได้
รูปประกอบโดย WALK on CLOUD
เรื่องแนะนำ :
– 病 [ยะไม่] โรคภัย
– แผ่นดินไหว กับร้านสะดวกซื้อ…
– 露 [โระ] รัสเซีย
– ความตายหาใช่ขั้วตรงข้ามของชีวิต : ความตายที่กล่าวโดย มุราคามิ
– 冬オリンピック โอลิมปิกฤดูหนาว [ฟุยุโอะลิมปิกคุ]
อ้างอิง
– https://ddnavi.com/interview/888715/a/
– https://ja.wikipedia.org/wiki/鬼
– https://detail.chiebukuro.yahoo.co.jp
– https://en.wikipedia.org
– https://th.wikipedia.org
#鬼 [โอะนิ] ยักษ์ อสูร และ ตัวตนที่แท้จริงในมุมมองของญี่ปุ่น