ครบรอบ 150 ปีกิจการรถไฟในญี่ปุ่น
รูปประกอบโดย WALK on CLOUD
150 ปีผ่านไปรถไฟได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นดีขึ้น
ปีนี้ครบรอบกิจการรถไฟในญี่ปุ่น 150 ปี
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ปีค.ศ. 1872 ทางญี่ปุ่นเลยมีการจัดงานฉลองและให้ความรู้แก่ผู้คนสำหรับประวัติความเป็นมาของกิจการรถไฟ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ปีค.ศ. 1872 มีพิธีเปิดขบวนรถไฟที่สถานี ชิมบาชิ (新橋:しんばし) วันรุ่งขึ้นวันที่ 15 ตุลาคม รถไฟบรรทุกผู้โดยสารได้เดินทางออกจากสถานีชิมบาชิไปยังสถานีโยโกฮาม่า
สถานีชิมบาชิที่ว่านี้ ปัจจุบันเป็นสถานี ชิโอะโดะเมะ (汐留:しおどめ) ส่วนสถานีโยโกฮาม่าที่ว่านี้ปัจจุบันเป็นสถานี ซากุระกิโจ (桜木町:さくらぎちょう)
เวลาผ่านไป 150 ปีทำให้รถไฟนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ แต่เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไปแล้ว
ในนวนิยายเรามักจะได้ยินเรื่องราวที่กล่าวถึงผู้คนใช้ชีวิตนั่งรถไฟตามสถานีต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับชีวิตเราที่ได้ไปประสบพบเจอญี่ปุ่นที่สถานีใหญ่อย่างชินจูกุ
ชินจูกุ นั้นเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า 新宿 [しんじゅく:ชินจูกุ] ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “ที่พักอาศัยใหม่” จากประวัติที่ว่าพื้นที่แถวชินจูกุถูกกำหนดเป็นแหล่งที่พักอาศัยใหม่ในช่วงปีค.ศ.1603
ผมเองไปขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น เห็นผู้คนมากมายในสถานีชินจูกุ ผู้คนเร่งรีบก้าวฝีเท้าเดินกันไปอย่างรวดเร็ว สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างผมที่ไม่ได้มาญี่ปุ่นสามปีแล้ว ก็รู้สึกตระหนกตกใจ เราจะเห็นได้ว่ารถไฟนั้นเป็นการขนส่งหลักสำหรับมวลชนในประเทศญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
ผมได้หยิบหนังสือวารสารที่ระลึกที่เสียบอยู่หน้าที่นั่งรถไฟชินคันเซนที่ผมนั่งเดินทางระหว่างอุซึโนะมิยะกับสถานีโตเกียว ผมเปิดอ่านวารสารเล่มนั้นซึ่งกล่าวไว้ว่ารถไฟนั้นทำให้คนญี่ปุ่นเริ่มเข้าใจใน concept ของ “เวลา” เพราะรถไฟต้องมีตารางรถไฟเข้าออก ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักถึง “เวลา” ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ประจวบเหมาะกับสิ่งที่คุณ ยูวัล โนอาห์ แฮรารี เคยกล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง Sapiens ที่โด่งดังของเขา ว่าเพราะการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และ ตารางรถไฟทำให้มนุษย์อย่างเราๆตระหนักถึงเวลา และหันมาใช้นาฬิกาที่ชี้เวลาตรงกันทั่วทั้งประเทศ
สำหรับรถไฟในปัจจุบันนี้ซึ่งจริงๆแล้วคือรถที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้า ที่เราเรียกกันว่า 電車[เดงฉะ] ซึ่งประกอบมาจากคำว่า 電 [でん:เดง] ที่แปลว่า “ไฟฟ้า” กับ 車 [くるま:คุรุมะ] ที่แปลว่า “รถ”
แต่เมื่อประเทศญี่ปุ่นกล่าวแสดงถึงความยินดีต่อกิจการรถไฟครบรอบ 150 ปีเขาใช้คำว่าอะไร?
เขาใช้คำว่า
鉄道開業150年
てつどう かいぎょう ひゃくごじゅう ねん
[เทะซึโด ไคเกียว เฮียะคุโกะจู เนน]ซึ่งพอจะแปลตรงๆ ได้ว่า “ครบ 150 ปีเปิดกิจการเส้นทางรถไฟ”
คำว่า “เส้นทางรถไฟ” (railrod) ในภาษาญี่ปุ่นคือคำว่า 鉄道 [てつどう:เทะซะโด] ซึ่งประกอบด้วยคำว่า 鉄 [てつ:เทะซึ] ที่แปลว่า “เหล็ก” (iron, steel) ส่วนคำว่า 道 [みち:มิจิ] แปลว่า“ถนน”
鉄道 [เทะซึโด] ที่แปลตรงตัวตามอักษรว่า “ถนนเหล็ก” ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ หากเราลองนึกภาพว่าเมื่อผู้คนยังตอนสัญจนบนถนนดิน แล้วการที่มี “เส้นทางถนนที่ทำจากเหล็ก” สร้างขึ้นมาให้รถไฟได้วิ่งแล่น คำว่า 鉄道 [เทะซึโด] ก็แลดูจะเหมาะดีครับ
ในปี 1872 นั้นรถไฟสมัยนั้นขับเคลื่อนด้วยพลังไอน้ำ ซึ่งเราเรียกรถไฟแบบนั้นว่า รถจักรไอน้ำ(Steam locomotive) หรือเรียกในภาษาญี่ปุ่นกันว่า
蒸気機関車
じょうききかんしゃ
[โจคิคิคังฉะ]รถจักรไอน้ำ
蒸気[โจคิ] = ไอน้ำ , 機関[คิคัง] = engine, เครื่องจักร
ส่วนรถไฟนั้นภาษาญี่ปุ่นก็เรียกว่า 列車 [れっしゃ:เร็คฉะ] โดยที่ 列[れつ:เระซึ] แปลว่า “แถวเรียงกัน” ซึ่งก็มาจากลักษณะของรถที่เรียงต่อกันเป็นขบวนนี่เองเลยเรียกว่า 列車 [れっしゃ:เร็คฉะ] หรือแปลตรงๆได้ว่า “รถที่เรียงต่อกันเป็นแถว”
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปีค.ศ. 1964 มีการเปิดใช้รถไฟชินคันเซนวิ่งระหว่าง ชินโอซาก้า กับโตเกียว ซึ่งทางญี่ปุ่นตั้งใจเปิดใช้ชินคันเซนในปีนั้นเพื่อให้ทันกับการแข่งขันโอลิมปิกหน้าร้อนที่โตเกียวที่จัดในปีเดียวกันพอดี
คำว่า 新幹線 [しんかんせん:ชินคันเซน] แปลตามตัวอักษรได้ว่า “เส้นทางหลักใหม่” ซึ่งการเชื่อมเมืองใหญ่สองอันดับแรกในญี่ปุ่นระหว่าง โอซาก้า และ โตเกียว ด้วยรถด่วนหัวกระสุน
รถไฟชินคันเซนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความทะเยอทะยานของญี่ปุ่นในการเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งจากเหนือจรดใต้ ซึ่งรถชินคันเซนสามารถวิ่งไปใต้สุดที่ คะโกะชิมะจูโอ เมื่อปีค.ศ. 2004 และวิ่งไปเหนือสุดที่ ชินฮาโกะดะเตะโฮะคุโตะ เมื่อปีค.ศ. 2016 นับได้ว่าต้องใช้เวลากว่า 50 ปีกว่าจะเชื่อมทุกเกาะของญี่ปุ่นด้วยรถไฟความเร็วสูงชินคันเซน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่มาการเริ่มต้นแล้วพัฒนาเส้นทางรถไฟต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งชินคันเซนมีแผนขยายวิ่งต่อไปถึง ซัปโปโร ในปีค.ศ. 2031
ในปีค.ศ. 2001 บริษัท JR East มีการนำเอาบัตรเติมเงินด้วย IC Card ที่ชื่อว่า Suica นำเข้ามาใช้ ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการซื้อตั๋ว และเดินทางเข้าออกประตูสถานีรถไฟ ซึ่งลักษณะ IC Card นี้ก็ถูกขยายนำไปใช้กับบริษัทรถไฟเจ้าต่างๆทั่วญี่ปุ่น
ยิ่งในปัจจุบันตามในสถานีรถไฟใหญ่ๆนั้น มีซุปเปอร์มาร์เกต สามารถหาซื้อของสดได้ มีร้านค้าต่างๆมากมาย สถานีรถไฟจึงถือได้ว่าเป็นแหล่งชุมชนการใช้ชีวิตของผู้คน
ผมเองก็ฝันว่าจะมีรถไฟที่เดินทางสะดวกสบายตามเมืองใหญ่ๆต่างๆอย่างเช่นในกรุงเทพ ในเชียงใหม่ มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมทุกภูมิภาค จากกรุงเทพไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออก และมีระบบการชำระเงินที่สะดวกสบายกว่านี้ ทำให้รถไฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันผู้คนมากกว่านี้
ทุกอย่างล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผู้คนนั้นจะเอาเงินไปใช้สร้างรถไฟให้พวกเราได้นั่งใช้ หรือเอาไปทำอย่างอื่นที่เขาเห็นว่าสำคัญกว่า ซึ่งต่างคนก็ต่างคิด ขึ้นอยู่กับว่าใครมีอำนาจใช้กระเป๋าเงินนั้น
รูปประกอบโดย WALK on CLOUD
เรื่องแนะนำ :
– ノーノー [โนโน] ในวัฒนธรรมเบสบอลของญี่ปุ่น
– デマ [เดะมะ] “ข่าวลือที่ไม่จริง” จากภาษาเยอรมัน
– 自由 [จิยู] อิสระ, เสรี
– 戦争 [เซนโซ] สงคราม
– 勝利 [โชริ] ชัยชนะ
อ้างอิง
– https://www.jreast.co.jp/150th/
– https://www.city.shinjuku.lg.jp/
#ครบรอบ 150 ปีกิจการรถไฟในญี่ปุ่น