“ซีโร่ไฟเตอร์ จุดกำเนิด และ บทบันทึกแห่งความเกรียงไกร” หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้ออกแบบเครื่องบิน คุณ Horikoshi Jiro บางคนอาจจะคุ้นๆ เขา เพราะเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง The wind rises ของสตูดิโอ Ghibli ด้วย
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
เครื่องบินซีโร่ไฟเตอร์ (ชื่อย่อว่า “ซีโร่”) เป็นเครื่องบินรบของญี่ปุ่นที่ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินลำนี้มีกิตติศักดิ์เลื่องลือท่ามกลางกองทัพฝ่ายพันธมิตรว่า
“อย่าหาญต่อกรกับซีโร่ หากต้องสู้กันตัวต่อตัว”
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่ฝ่ายอักษะและกองทัพญี่ปุ่นเริ่มเพลี่ยงพล้ำ เครื่องบินซีโร่กลับถูกเอามาใช้โดยการบินพุ่งชนเข้าหาเรือรบของข้าศึก ซึ่งถูกขนานนามอยู่บ่อยๆ ว่า Kamikaze Attack (Kamikaze เป็นชื่อกองบินจู่โจมพิเศษที่มีเครื่องบินซีโร่อยู่บรรจุด้วย)
เครื่องบินซีโร่ ถูกกล่าวขานเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ มันทำให้ผมสงสัยว่า คนสร้างเครื่องบินเขาจะรู้สึกอย่างไรนะ
เมื่อลองไป Google ดู ผมก็พบว่าคนสร้างเครื่องบินเขาได้แต่งหนังสือไว้เล่มนึง หนังสือเล่มนั้นมีชื่อที่แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า “ซีโร่ไฟเตอร์ จุดกำเนิด และ บทบันทึกแห่งความเกรียงไกร” (ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ 零戦 その誕生と栄光の記録: Zerosen sono tanjo to eikou no kiroku)
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้ออกแบบเครื่องบิน คุณ Horikoshi Jiro (堀越二郎)
บางคนอาจจะคุ้นๆ ชื่อคุณ Horikoshi Jiro เพราะว่าเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง The wind rises ของสตูดิโอ Ghibli ด้วยครับ
เอาล่ะ เรากลับมาพูดถึงหนังสือกัน
หนังสือเล่มนี้ ได้เล่าถึงที่มาที่ไปว่าทำไม เครื่องบินซีโร่ ถึงได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบินรบที่เก่งกาจในสมัยนั้น
พูดง่ายๆคือ เพราะเกิดจากการกำหนดสเปคเครื่องบินไว้สูงตั้งแต่แรก จนทำให้เหล่าวิศวกรต้องหาทางพัฒนาเครื่องบินตามสเปคที่มีความเหนือชั้นมากกว่าเครื่องบินคู่แข่งในสมัยนั้น
สเปคของเครื่องบินที่สูงตั้งแต่แรกนั้นมาจากความต้องการของกองทัพเรือในช่วงกระบวนการจัดซื้อจัดขายเครื่องบิน
ที่บอกว่ากองทัพเรือจัดซื้อ เพราะเครื่องบินนี้จะบินลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินนะครับ
กระบวนการจัดซื้อเครื่องบินของญี่ปุ่นสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ทางกองทัพเรือจะกำหนดสเปค แล้วให้บริษัทเอกชนทำเครื่องบินออกมาแข่งกัน แล้วทางกองทัพจะตัดสินใจภายหลังว่าจะเลือกเครื่องบินของบริษัทใด ซึ่งบริษัทที่เข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้มีสองบริษัทคือบริษัท Mitsubishi heavy industry และ บริษัท Nakajima Hikoki ซึ่งตัวคุณ Horikoshi Jiro ทำงานให้กับบริษัท Mitsubishi Heavy industry นะครับ
แล้วสเปคสูงๆที่ว่านี้เป็นอย่างไร สารภาพตามตรงว่า ผมอ่านก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นสเปคที่โหดขนาดไหน ด้วยว่าไม่มีความรู้เรื่องเครื่องบินเท่าใด แต่ก็ขอเขียนรายละเอียดสเปคเอาไว้ให้คุณผู้อ่านจะได้เห็นภาพครับ
+++
สเปคเครื่องบิน
ขนาด : ความกว้างของเครื่องจากปลายปีกหนึ่งไปถึงอีกข้างกว้างอยู่ภายใน 20 เมตร
ความเร็วสูงสุด : ที่ความสูง 4000 เมตร บินด้วยความเร็วมากกว่า 500 km/h
การไต่ระดับเพดานบิน: บินถึงระดับ 3000 เมตรได้ด้วยเวลาภายใน 3 นาที 30 วินาที
ระยะทางในการบิน : ที่ความสูง 3000 เมตรด้วยแรงม้าสูงสุด บินติดต่อกันได้เป็นเวลา 1.2 – 1.5 ชั่วโมง โดยไม่ใช่ถังน้ำมันเสริม
ในกรณีที่มีถังน้ำมันเสริม บินได้ 1.5 ถึง 2 ชั่วโมง
หากบินด้วยความเร็วปรกติบินได้ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
ระยะทางวิ่งเพื่อการออกบิน : บินออกจากเรือบรรทุกเครื่องบินได้โดยใช้ระยะทาง 70 เมตรในขณะที่มีลมต้านที่ความเร็ว 10 เมตรต่อวินาที
บรรทุกปืนขนาด 20 มิลลิเมตร 2 ลำ และ ปืนขนาด 7.7 มิลิเมตร 2 ลำ
เครื่องยนต์ :เครื่องยนต์มิตซึบิชิรุ่นซุยเซ 13 ขนาด 870 แรงม้าที่ความสูง 3600 เมตร หรือ
เครื่องยนต์มิตซึบิชิรุ่นคินเซ 46 ขนาด 1070 แรงม้าที่ความสูง 4000 เมตร
+++
ซึ่งทางคุณ Horikoshi Jiro เห็นสเปคเครื่องบินครั้งแรกก็เหงื่อตก คิดว่าจะไหวไหมนะ แต่ด้วยความพยายามร่วมแรงร่วมใจกับทีมงานในบริษัท Mitsubishi heavy industry ก็ฝ่าฟันอุปสรรคสร้างเครื่องบินขึ้นมาได้ตรงตามใจกองทัพเรือญี่ปุ่น ส่วนบริษัท Nakajima Hikoki ขอถอนตัวกลางคันครับ
ในช่วงการพัฒนาเครื่องบินซีโร่นั้นมีปัญหาต่างๆ นานา และก็มีทหารที่เสียชีวิตไปกับเครื่องบินรุ่นที่อยู่ในช่วงพัฒนาอยู่ 2 นาย ซึ่งคุณ Horikoshi Jiro ได้กล่าวว่าเป็นความเสียสละอันใหญ่หลวงซึ่งช่วยให้เขาสามารถพัฒนาเครื่องบินที่ดียิ่งขึ้นได้
ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ น่าจะมีหนามทิ่มแทงเสียเยอะ ด้วยความที่เครื่องบินมีสเปคสูงก้าวกระโดดจากรุ่นเดิม ทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ออกบินในภารกิจรบ มีสมรรถภาพในการรบสูงกว่า เรียกว่ามีเครื่องบินคู่แข่งมีจำนวนมากกว่า 2 เท่ายังสู้ไหว
และแล้วญี่ปุ่นก็เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองพร้อมกับเครื่องบินซีโร่ ในช่วงแรกนั้นฝ่ายพันธมิตรก็ตกใจกลัวกับเครื่องบินปริศนาของญี่ปุ่น ฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นก็ได้ปลื้ม
แต่วันเวลาแห่งความสุขกํไม่เที่ยงแท้ ฝ่ายพันธมิตรก็พยายามหาวิธีต่อกรเครื่องบินปริศนา ลองพยายามศึกษาวิจัยซากเครื่องบินซีโร่ที่พอจะยิงร่วงลงมาได้ และมีวันหนึ่งที่ฝ่ายพันธมิตรเจอเครื่องบิน ซีโร่ ที่จอดทิ้งไว้ในเกาะร้างแห่งหนึ่งในสภาพที่สมบูรณ์ เครื่องบินเลยถูกขนกลับเอาไปวิเคราะห์ดูว่าโครงสร้างเครื่องบินส่วนไหนที่ช่วยในเรื่องการบิน และค้นหาจุดอ่อนของเครื่องบิน จนฝ่ายพันธมิตรสามารถสร้างเครื่องบินมาต่อกรได้
ในขณะเดียวกันในช่วงสงครามนั้นญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากร (วัตถุดิบ และ คน) ในการสร้างเครื่องบินรุ่นหลังที่ต่อจากซีโร่ ทางญี่ปุ่นก็ทำได้เพียงแต่ Minor change เครื่องบินซีโร่เท่านั้น
เครื่องบินรุ่นใหม่ๆ ของฝ่ายพันธมิตรมีสเปคสูงขึ้น ในขณะญี่ปุ่นย่ำอยู่กับที่ สงครามผ่านไปนาน นักบินที่มีฝีมือดีๆ ของญี่ปุ่นก็เสียชีวิตมากขึ้น นักบินรุ่นใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ เครื่องบินซีโร่ก็ต้องติดเกราะเพิ่ม เพราะต้องเผื่อไว้ว่า เครื่องบินซีโร่ที่ควบคุมโดยนักบินที่ขาดความชำนาญเหล่านั้นตัวเครื่องบินคงต้องเผื่อไว้ให้ยิงกันบ้าง เลยยิ่งทำให้เครื่องบินมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก ความสามารถในการบินของซีโร่ยิ่งลดลง
ช่วงสุดท้ายของสงครามต้องเริ่มโจมตีแบบ Kamikaze เป็นความเจ็บปวดของวิศวกรอย่างคุณ Horikoshi Jiro สุดท้ายแล้วสงครามก็จบลง จนญี่ปุ่นต้องเลิกสร้างเครื่องบินรบ ครึ่งชีวิตของคุณ Horikoshi Jiro ก็จบลง
+++
คุณ Horikoshi Jiro ได้เล่าเรื่องราวในการออกแบบเครื่องบินซีโร่ โดยละเอียด และภารกิจของเหล่านักบิน ไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นบทบันทึกให้คนรุ่นหลัง คงทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ความรู้สึกของช่วงเวลาสมัยนั้น ว่าผู้ออกแบบเครื่องบินซีโร่รู้สึกอย่างไร
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
ทักทายพูดคุยกับ Wasu ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– การพาดหัวข่าวดาราญี่ปุ่น…แต่งงานกับคนทั่วไป
– การศึกษาแบบ “สบาย ๆ” ที่ถูกสลัดทิ้งไปของญี่ปุ่น
– นิสสันหั่นพันธมิตร เพื่ออนาคตที่ดีของสองฝ่าย
– ชื่อของเธอคือ? คิมิโนะ “นะ” วะ : กับความหมายแท้จริงของคำว่า “นะ” [名]
– ความรักชาติใน Modern Japan