ทำไม Manga และ Anime ญี่ปุ่นถึงโด่งดังถึงเพียงนี้?
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า Manga หรือ Anime ของญี่ปุ่น จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดเต็มปากว่า “ไม่รู้จัก” หรือ “ไม่เคยดู”?
ธุรกิจบันเทิงของญี่ปุ่นประเภทนี้ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในสื่อกระแสหลักของ J-Pop ที่มีอิทธิพลต่อเกือบทุกประเทศทั่วโลก วันนี้จะขอพูดถึงสาเหตุว่าทำไมธุรกิจ Manga หรือ Anime ของญี่ปุ่นถึงประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ โดยจะกล่าวเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาก
การวาดการ์ตูนแบบญี่ปุ่นนั้นพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดคือกลางศตวรรษที่ 12 พบภาพเขียนรูปสัตว์เช่น นก กระต่าย หรือ กบ เพื่อล้อเลียนวิธีชีวิตของชนชั้นสูงในสมัยโบราณ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 18 เมื่อศิลปินญี่ปุ่นที่ชื่อ คัทซึชิกะ โฮะคุไซ (葛飾北斎) (ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ ภาพเขาฟุจิ 36 มุม และ ภาพคลื่นยักษ์) ได้พัฒนาเทคนิคการพิมพ์ภาพที่พิมพ์ด้วยไม้แกะสลักที่เรียกว่าภาพอุคิโยะ (浮世絵) และเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อให้ภาพเขียนแนวนี้ว่า Manga (漫画) ซึ่งหมายถึง ภาพเขียนอันหาแก่นสารหรือหาสาระใด ๆ ไม่ได้ จึงเกิดการสถาปนาศิลปะแบบ Manga นับแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา มีการพัฒนาศิลปะชนิดนี้มานานที่สุดในโลกก็คงกล่าวไม่เกินจริง
2) อิทธิพลจากตะวันตก
ญี่ปุ่นเปิดรับอารยธรรมตะวันตกเข้ามาระลอกใหญ่มาก ๆ อยู่ 2 ระลอก โดยระลอกแรกคือการปฏิรูปเมจิในปี ค. ศ. 1868 ทำให้แนวคิดทางตะวันตกและศิลปวิทยากรต่าง ๆ แพร่เข้าสู่ญี่ปุ่น และระลอกที่สองคือหลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเปิดรับอารยธรรมตะวันตกทุกรูปแบบผ่านสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ทำให้ญี่ปุ่นรับแนวคิดตะวันตก (เช่น ฮอลลีวู้ด, ดิสนีย์, คริสตศาสนา, เทพปกรณัมกรีกและนอร์ส, นิยายวิทยาศาสตร์, แนวคิดเสรีภาพและประชาธิปไตย ฯลฯ) เข้ามาผนวกกับศิลปะ Manga ของตัวเอง เกิดเป็นพล็อตต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์มากมายใน Manga และพัฒนาเป็น Anime ต่อมาในภายหลัง
3) เทะสึกะ โอะซะมุ (手塚治虫)
ผู้เป็นบิดาแห่งการ์ตูนญี่ปุ่นสมัยใหม่ ครอบครัวของโอะซะมุมีฐานะค่อนข้างดี ทำให้มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อหาสื่อจากตะวันตกพวกดิสนีย์หรือภาพยนตร์มาหาชมได้ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีต้นทุนทางสังคมที่สูงพอระดับจะเข้าเรียนวิทยาลัยแพทย์ได้ โอะซะมุเป็นผู้พัฒนาพล็อตของ Manga ให้กลายเป็นเรื่องซับซ้อนแบบนวนิยาย (จากเดิมที่นิยมเขียนเป็นเพียงการ์ตูน 3-4 ช่องเพื่อล้อการเมืองหรือเสียดสีสังคมเท่านั้น) และพัฒนาวิธีการวาดภาพให้คล้ายภาพยนตร์ รวมทั้งริเริ่มการวาดดวงตาโต ๆ เพื่อให้ตัวละครแสดงความรู้สึกได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นคนสร้างระบบการจ้างลูกมือผู้ช่วยนักเขียน ส่งผลให้วงการ Manga พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
4) วงการสิ่งพิมพ์, วงการโทรทัศน์ และวงการเกมของญี่ปุ่น
เกิดเป็นระบบนิเวศทางการผลิตสื่อประเภทนี้ขึ้น โดย Manga ที่โด่งดังมากพอ ในที่สุดก็จะมีเวอร์ชั่นรวมเล่มของตัวเอง (จากเดิมที่พิมพ์เพียงไม่กี่หน้าในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์) พอโด่งดังมากกว่านั้นอีกก็จะได้กลายเป็น Anime แล้วถ้าโด่งดังระดับตำนานก็จะกลายเป็น Library Version และมี Side Story หรือมีภาพยนตร์ภาคพิเศษอีกมากมาย รวมทั้งกลายเป็นเกมได้ด้วย ญี่ปุ่นมีการประสานพลังระหว่างวงการต่าง ๆ เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและพลังแห่งโอะตะกุ
ก่อนปี ค. ศ. 2000 นั้น Manga และ Anime โด่งดังมาก ๆ เพียงในเอเชียเท่านั้น มีเพียงบางเรื่องที่ข้ามไปสู่โลกตะวันตกได้สำเร็จ (น้อยเรื่องมาก เช่น เรื่อง Akira เป็นต้น) แต่โดยประมาณหลังจาก ปี ค. ศ. 2000 เป็นต้นมา ที่มีการพัฒนาอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมที่แฟนคลับของ Manga และ Anime ที่เรียกว่า โอะตะกุ ซึ่งเป็นเพียงผู้ชื่นชอบในสื่อเหล่านี้ในฐานะที่เป็น Sub-Culture (วัฒนธรรมกลุ่มย่อย) กลายเป็นเกิดการรวมพลังกันทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้นมาได้ มีพลังในการจับจ่ายไอเท็มของ Manga และ Anime อย่างมาก จนสถานภาพของ Manga และ Anime เริ่มขยับจากการเป็น Sub-Culture ไปสู่การเป็น Pop Culture (วัฒนธรรมมหาชน) มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเมื่อรู้ตัวอีกที สื่อเหล่านี้ก็ตีตลาดตะวันตกได้สำเร็จทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยมีหัวเรือนำทัพฝ่ายชายคือ Dragon Ball และฝ่ายหญิงคือ Sailor Moon (ส่วนในเอเชียนั้น ตีตลาดได้สำเร็จตั้งนานแล้ว)
อย่างไรก็ตาม Manga และ Anime มีหลายประเภทมาก เช่นเดียวกับละครหรือภาพยนตร์ ดังนั้นจึงควรเลือกเสพสื่อประเภทนี้ให้เหมาะกับเพศ, วัย, รสนิยม และแบ่งเวลาดื่มด่ำกับมันให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เสียการเรียนหรือเสียการเสียงาน
#ทำไม Manga และ Anime ญี่ปุ่นถึงโด่งดังถึงเพียงนี้?