วันนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับอีกสวนสนุกที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองและสามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟ JR โดยเดินต่อไปอีกไม่ถึงห้านาที นั่นคือสวนสนุก Tokyo Dome City นั่นเองครับ
![]() |
ปูมิ อดีตผู้บรรยายมวยปล้ำญี่ปุ่นในสมาคมชั้นนำ และปัจจุบันเป็นผู้จัดการของสมาคมมวยปล้ำ Gatoh Move Pro Wrestling ในความร่วมมือระหว่างไทย – ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังสนใจในศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เช่นปรัชญาของมิยาโมโตะ มุซาชิ หรือกระทั่งไอดอลสาว AKB48 |
คนที่ไปญี่ปุ่นนั้นมักจะมีเป้าหมายเพื่อไปช้อปปิ้ง ไปชมซากุระ หรือไปเที่ยวสวนสนุกดังๆ อย่าง Tokyo Disney Resort ซึ่งแน่นอนว่าการไปเที่ยวสวนสนุกแบบนั้นต้องใช้เวลาทั้งวัน และรวมถึงค่าเดินทางและค่าอาหารต่างๆแล้ว ย่อมเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย
ดังนั้นวันนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับอีกสวนสนุกที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองและสามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟ JR โดยเดินต่อไปอีกไม่ถึงห้านาที นั่นคือสวนสนุก Tokyo Dome City นั่นเองครับ

สวนสนุกแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สถานี Suidobashi (ห่างจาก Akihabara 2 สถานีเท่านั้น) หรือเรียกได้ว่าอยู่ติดกับ Tokyo Dome ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (ที่ดัดแปลงเป็นทั้งสนามเบสบอลหรือเวทีคอนเสิร์ตก็ได้)
ผมคิดว่าสวนสนุกแห่งนี้สามารถใช้สถานที่ได้คุ้มค่าและทำให้เกิดความดึงดูดต่อคนที่ผ่านไปผ่านมาได้ ยกตัวอย่างรถไฟเหาะของเขา มันเป็นเหมือนสิ่งที่ต้องมีในทุกๆ สวนสนุกครับ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ พวกเขาแก้ไขโดยการเอารถไฟเหาะไปพันรอบตึกซะเลย กลายเป็นโดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างแท้จริงครับ

กิจกรรมที่น่าสนใจในสวนสนุกแห่งนี้นอกจากรถไฟเหาะแล้วก็คือ ทางสวนสนุกได้แบ่งโซน Indoor ไว้โซนหนึ่งครับ ซึ่งที่นั่นจะมีกิจกรรมให้เล่นโดยอาศัยกล้องเป็นหลัก (คือเพื่อประหยัดพื้นที่นั่นแหละ แต่เค้าก็หาคอนเซปต์มาใส่ไว้อย่างน่าสนใจ) อย่างเช่นอันนึงเป็นให้เรานั่งรถครับ ทุกคนใส่แว่นสามมิติหมด แล้วเราก็จะถูกพาเที่ยวรอบญี่ปุ่น (คล้ายๆ 4DX) แล้วก็จะมีการต่อสู้ต่างๆ มาปรากฏให้ดูต่อหน้า คือมันอาจจะดูธรรมดา แต่ต้องลองครับ เพราะว่าเขาทำเอฟเฟคต่างๆ ออกมาได้คุ้มค่าและได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นครบจริงๆ

ถัดมาในห้องเดียวกันจะเป็นกิจกรรมที่อ้างอิงมาจากการ์ตูนจอมโจรลูแปงซึ่งเป็นการ์ตูนที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกครับ อันนี้ถือว่าเป็นเกมที่สนุกมากๆ เป็นเหมือนการเข้าไปขโมยของอะไรสักอย่าง วิธีการเล่นก็คือให้เราจับคู่ทีมละ 2 คนแข่งกับทีมของเพื่อน และตอนเริ่มต้นเขาจะมีภาพสิ่งของที่เป็นเป้าหมายให้ดู 3 ภาพ เราต้องจำอย่างละเอียดและเข้าไปหาสิ่งของทั้ง 3 ในห้องลับ (ที่ทำเป็นเขาวงกต) ให้ทันเวลาที่กำหนด จากนั้นก็เอาสิ่งของที่เราไปหานั้นมาที่จุดเช็ค ว่าถูกต้องรึเปล่า (คือมันจะมีทั้งของที่เราต้องหาจริงๆ กับของที่ทำมาไว้หลอกครับ มันจะเหมือนกันมาก ต่างกันนิดเดียว ต้องสังเกตดีๆ)
คนที่เข้าไปทุกคนจะได้เข็มทิศที่ระบุที่ตั้งของเป้าหมายครับ (แต่กว่าจะไปถึงก็ยากมาก เพราะบางทีของอยู่ตรงหน้า แต่ด้านหน้าดันเป็นกระจกห้ามเข้า ต้องหาทางวนเข้าไปอีก) สิ่งของที่ต้องหาก็เช่น ฟันปลอมทองคำ ที่เราต้องสังเกตถึงขนาดว่ามันมีฟันกี่ซี่ เพราะพอเข้าไปในห้องแล้วจะมีฟันปลอมแบบนี้เต็มไปหมด อันนี้เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากๆ ครับ มีคนเล่นเยอะและต้องต่อคิวนานพอสมควร


สำหรับในโซน Outdoor นั้นก็จะเหมือนกับสวนสนุกทั่วไปครับ มี Viking มีบ้านผีสิงอะไรเทือกนั้น แต่ว่าบ้านผีสิงของญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นผีโหดๆ เหมือนในบ้านเราครับ เพราะเหมือนกับว่าเราต้องไปเล่น Guest ในนั้นมากกว่า อย่างเช่นการเขียนชื่อหรือตอบคำถาม แต่ว่าเราเป็นคนต่างชาติ และผีก็พูดภาษาไทยหรืออังกฤษไม่ได้ มันเลยเป็นแค่การเดินเข้าไปในที่มืดๆ แล้วให้เขาตะโกนใส่ให้ตกใจเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าเรามีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นหน่อยก็อยากให้ลองเล่นดูครับ เพราะว่าคนที่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นนั้นต่างคอมเมนต์ตรงกันว่าทำออกมาได้ดีมากๆ

ในส่วนของโซน Outdoor ที่มีชื่อเสียงมากๆ ของที่นี่ก็คือส่วนของ LaQua ครับ ที่นี่นอกจากจะเป็นห้างสรรพสินค้า เป็นสปาแล้ว ที่นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกด้วย จุดเด่นของที่นี่ คนญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า “โซนน้ำ” ครับ ถือว่าเล่นกันกลางห้างนั่นแหละ ตรงไหนจะให้รถไฟเหาะผ่าน แกก็เจาะห้างกันดื้อๆ
โซนที่มีชื่อเสียงคือ Water Drop ครับ เหมือนกับ Super Splash ที่ดรีมเวิร์ลเรานั่นแหละ แต่อันนี้น้ำจะใสกว่ากันมาก เรียกว่าตกไปหลายๆ รอบก็ไม่ต้องกลัวว่าจะสกปรกหรือเกิดอันตราย (ทราบว่าทางญี่ปุ่นกำหนดให้ต้องดูแลและปรับเปลี่ยนระบบน้ำบ่อยมากๆ ซึ่งทุกอย่างต้องเซฟตี้สูงสุด ดังนั้นบางทีญี่ปุ่นจะไม่มีสวนสนุกสไตล์ Hardcore นัก เพราะถึงมันจะเซฟตี้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอ คนญี่ปุ่นต้องรู้สึกเซฟตี้ด้วยถึงจะอนุญาต)



ปิดท้ายกันด้วย Big O ที่ถือเป็นพระเอกของที่นี่ นี่คือชิงช้าสวรรค์ที่ไม่มีแกนกลางแห่งแรกของโลก (เขาว่ามาแบบนั้น) โดยทาง Tokyo Dome City เรียกขานมันว่า Big O เพราะมันเหมือนก้อนโดนัทที่ลอยอยู่กลางอากาศ โดยชิงช้าสวรรค์ที่นี่ (และอาจทั่วโลก) ถึงแม้จะมีขนาดเท่าของไทย แต่ก็จะใช้เวลามากกว่าสองถึงสามเท่า เพราะเป้าหมายของชิงช้าสวรรค์คือการปลดปล่อยครับ ทำอะไรชิลๆ มองเมือง มองความเป็นไปของโลก บนนั้นจะมีเพลงให้เลือกมากมาย ติดแอร์อย่างดี นั่นฟัง นั่งชิล นั่งคุยกันได้สบาย คืออย่างน้อยเวลาประมาณสี่สิบนาทีบนนั้นก็ได้คุยจบอย่างน้อยก็สักหัวข้อนึง เป็นบรรยากาศดีๆ ที่เหมาะกับสังคมเครียดๆ อย่างโตเกียวครับ

สวนสนุกแห่งนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นปืนเลเซอร์ หรือแข่งความเร็วด้วยการวิ่งตามลำแสง!? ที่แกจะแยกเป็นสองห้องอย่างจริงจังให้แต่ละฝ่ายวิ่งตามแสงไปอย่างมุ่งมั่นจนเวลาหมดค่อยมาดูว่าใครจะเก็บแสงได้มากกว่า หรือกระทั่งเอาเราไปนั่งบนสลิงแล้วดึงขึ้นไปบนฟ้า (มองเห็นโตเกียวทั้งเมือง) แล้วปล่อยเราทิ้งลงมาดื้อๆ และที่สำคัญทั้งหมดทั้งสิ้น ราคาเพียง 3900 เยนต่อวัน ซึ่งถือว่าถูกกว่าดิสนี่แลนด์เกือบเท่าตัว ดังนั้นใครมีโอกาสก็อย่าลืมไปนะครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ