แมตช์การปล้ำของหน้ากากเสือและ Dynamite Kid สิ่งที่คุณคิดจะเปลี่ยนไปครับ การปล้ำของสองคนนี้ถือเป็นข้อยกเว้นที่ต่อให้คุณไม่รู้จักมวยปล้ำ ก็ต้องเหลียวหลังกลับมามอง เพราะลีลาการปล้ำแบบที่เราไม่สามารถหาได้แล้วในปัจจุบัน
สำหรับคนไทยแล้วชื่อของ “หน้ากากเสือ” ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวเลย และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงมีหน้ากากเสือเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจเมื่อครั้งตัวเองยังเด็ก จากการ์ตูนยอดนิยมที่นำมาฉายในบ้านเราและได้รับความนิยมในทุกยุคทุกสมัยจนปัจจุบัน

แต่ในอีกมุมหนึ่ง “หน้ากากเสือ” ที่เป็นนักมวยปล้ำจริงๆ กลับไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก อาจเพราะไม่มีการนำมวยปล้ำเข้ามาฉายในเมืองไทยเหมือนกับการ์ตูน หรืออาจเป็นเพราะมวยปล้ำนั้นเข้าถึงได้ยากกว่าสื่อบันเทิงอื่นๆ เพราะมันคล้ายจะเป็นการดูกีฬาซะมากกว่า แต่ผมคิดว่าหากคุณได้ชมแมตช์การปล้ำของหน้ากากเสือ และ Dynamite Kid สิ่งที่คุณคิดจะเปลี่ยนไปครับ การปล้ำของสองคนนี้ถือเป็นข้อยกเว้นที่ต่อให้คุณไม่รู้จักมวยปล้ำ หรือแม้กระทั่งไม่รู้จักหน้ากากเสือ อย่างน้อยก็ต้องเหลียวหลังกลับมามอง เพราะลีลาการปล้ำแบบที่เราไม่สามารถหาได้แล้วในปัจจุบัน รวมไปถึงความคล่องแคล่วว่องไวที่ยากจะหาคนเปรียบเทียบ


“หน้ากากเสือ” นั้น รับบทบาทโดย “ซาโตรุ ซายามะ” (ไม่ใช่ ดาเตะ นาโอโตะนะเฟ้ยยย) หนึ่งในนักสู้ศิลปะป้องกันตัวที่เก่งที่สุดในโลก เขาปล้ำได้ทั้งสไตล์ยุโรป สไตล์เม็กซิโก สไตล์เอเชีย ส่วน “ไดนาไมท์ คิด” เป็นนักมวยปล้ำอังกฤษซึ่งหลายๆ คนอาจจะรู้จักเขาในฐานะครึ่งหนึ่งของแทคทีม “เดอะ บริทิช บูลด๊อก” (The British Bulldog) ใน WWE นั่นเอง ในหนังสือชีวประวัติของไดนาไมท์คิด บอกว่าการปล้ำแมตช์นี้คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเขา มันเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ (?) และมันยังถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเขาด้วย เพราะอะไรกันล่ะเนี่ย ?

การปล้ำครั้งแรกของพวกเขาคือการปล้ำเปิดตัว “หน้ากากเสือ” บนสังเวียนมวยปล้ำในวันที่ 23 เมษายน 1981 ครับ (นานมาก) คือทางสมาคมต้องการหาใครสักคนที่จะบิวท์หน้ากากเสือให้กลายเป็นดาราชูโรงของ สมาคมโดยเร็วที่สุด และ Dynamite Kid ก็เป็นชื่อแรกๆที่เขาหยิบขึ้นมาพูดถึง เพราะเขามีดีกรีมาแล้วมากมายและยังมีสไตล์การปล้ำที่โดดเด่นด้วย ส่วนหน้ากากเสือตอนนั้น ถูกกดดันจากสื่อพอสมควร ด้วยความที่แกมีสถานะเป็นฮีโร่อยู่แล้ว จากการ์ตูนที่คนทั้งญี่ปุ่นรู้จัก ดังนั้นแกจะต่างจากนักมวยปล้ำคนอื่นที่ค่อยๆ ไต่เต้ามาสู่จุดสูงสุด แต่หน้ากากเสือจะต้องเปิดตัวมาแล้วเก่งเลย ดังนั้นทั้งการคัดเลือกคนมาสวมหน้ากาก รวมถึงคู่ต่อสู้ล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้นต่อการสร้างชื่อให้หน้ากากเสือครับ
ทีนี้ทาง Dynamite Kid เองก็ต้องการสร้างชื่อเสียงด้วย แต่เดิมเขาขึ้นปล้ำที่แคนาดาเป็นหลัก และจะมาญี่ปุ่นเป็นครั้งคราว เนื่องจากสัญญาขึ้นปล้ำที่ญี่ปุ่นในสมัยนั้นจะเป็นสัญญาทัวร์ กล่าวคือสมาคมจะจ่ายเหมาเป็นทัวร์ๆไป พอหมดทัวร์ก็จะแยกย้ายกันกลับที่ใครที่มัน และ Dynamite Kid ในฐานะของชาวต่างชาติ เขาต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดึงดูดโปรโมโตเตอร์ให้ดึงเขากลับมา หรืออาจรวมไปถึงสมาคมอื่นๆ ที่อาจนใจใช้บริการเขาด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือในการเตรียมตัวปล้ำ เขากับหน้ากากเสือตกลงกันที่จะใช้ท่ามวยปล้ำยากๆ เต็มไปหมด และต้องใช้ความรวดเร็วแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และที่น่ากลัวที่สุดคือเขาต้องการให้คู่ต่อสู้โจมตีลงบนจุดอันตราย อย่างเช่นจับทุ่มโดยไม่ต้องสนใจว่าจะเอาหัวหรือหลังของตัวเองลงพื้น ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพื่อให้คนดูสนุกและจดจำแมตช์เหล่านี้ไปตลอด เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกัน เขาก็เข้าสู้ด้านมืดทันที โดยการยัดยาแก้ปวด ฉีดสเตรอยด์ สารเสพย์ติด ฯลฯ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองพร้อมสำหรับการแข่งขัน และสุดท้ายแมตช์เปิดตัวของหน้ากากเสือก็ออกมาได้อย่างงดงาม โดยที่หน้ากากเสือเป็นฝ่ายชนะ แบบที่ไดนาไมท์ช้าไปเพียง 0.1 วินาที คนดูสนุกกันมากและเรียกร้องให้ทั้งสองคนกลับมาสู้กันอีกครั้ง

ทีนี้สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ท่ามวยปล้ำ” ครับ ถึงแม้ตอนนี้หากเด็กสมัยใหม่ย้อนกลับไปมองมวยปล้ำยุคนั้น อาจจะรู้สึกว่าท่าที่พวกเขาใส่มันดูธรรมดา แต่อย่าลืมว่าในสมัยนั้นมวยปล้ำมันค่อนข้างไปทางกีฬามากๆ ไม่เอ็นเตอร์เทนสุดโต่งเหมือนสมัยนี้ และท่ามวยปล้ำส่วนใหญ่ก็จะใช้กันตามตำราซะมาก แต่ท่าที่สองคนใช้ “แตกต่าง” และตื่นตาตื่นใจสุดๆ อย่างเช่นท่า SUPERPLEX หรือจับทุ่มจากเชือกเส้นที่สาม สมัยนี้อาจเป็นท่าปกติ แต่ในวงการแล้วเขาให้เกียรติว่า ไดนาไมท์ คิด เป็นคนเอามาใช้คนแรก ส่วนหน้ากากเสือของเรา ก็ได้เครดิทในการนำท่า Turning Moonsault หรือตีลังกาหลังแบบบิดตัวมาใช้
สามารถดูไฮไลท์การปล้ำของทั้งสองคนได้ด้านล่างนี้ครับ
สรุปแล้วพวกเขาเจอกันทั้งหมด 6 ครั้งอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่เป็นการปล้ำชิงเข็มขัด WWF – หน้ากากเสือชนะทั้งหมด 4 ครั้ง, ไดนาไมท์ชนะทั้งหมด 1 ครั้ง (ชนะฟาล์ว) และเสมอกันอีก 1 ครั้ง (ขึ้นเวทีไม่ทันทั้งสองคน)
เมื่อเวลาผ่านไป ในหนังสือชีวิตประวัติของไดนาไมท์เล่าว่า เขาใช้ยาแก้ปวดหนักมาก เพราะปัญหาบาดเจ็บสะสมจากการแข่งขัน และอาการส่วนใหญ่นั้นมีที่มาจากการปล้ำกับหน้ากากเสือในช่วงปีสองปีเท่านั้น สุดท้ายหมอมาแจ้งกับเขาว่าการใช้สเตรอยด์ นอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อโตแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อหัวใจโตด้วย เหตุนี้เองทำให้ร่างกายของเขาไม่แข็งแรง และค่อยๆ เสื่อมสภาพลง จนวันนี้เขาเป็นอัมพาตและต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา
หน้ากากเสือเองหลังจากนั้นไม่นาน ก็ออกจากสมาคมไปและพอมีหน้ากากเสือคนใหม่ สไตล์การปล้ำก็เปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะเป็นนักมวยปล้ำที่ดี แต่หลายๆ คนก็บ่นว่าความเป็นหน้ากากเสือที่เขาตื่นเต้นนั้นได้หายไปแล้ว
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างนึงที่นักมวยปล้ำสู้เต็มที่เพื่อแฟนๆ ครับ สุดท้ายแล้วนักมวยปล้ำส่วนใหญ่ก็จบอาชีพลงด้วยอาการบาดเจ็บหรือไม่ก็โรคภัย ต่างๆ อย่างน่าเศร้า แต่พวกเขามีความสุขนะครับ เพราะนื่คือเส้นทางที่พวกเขาเลือกเอง และก็ทำมันอย่างเต็มใจ
แมตช์ต่างๆ ของหน้ากากเสือปะทะไดนาไมท์ คิดแบบเต็มๆ สามารถหาดูทางยูทูปได้เลยนะครับ ^^
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือพูดคุยทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ