วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ผมก็ขอกลับเข้าสู่การบรรยายเรื่องของปรัชญาเซนกับบราซิลเลี่ยนยูยิตสูอีกครั้งนะครับ
ช่วงเวลาที่ผมกำลังเขียนอยู่ตอนนี้ (4 กรกฎาคม) ก็เป็นช่วงที่ค่อนข้างจะยากลำบากทั้งทางใจและกายอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่เนื่องจากภาวะโควิค ยิมวิชาต่อสู้ในเชียงใหม่ถูกสั่งให้ปิดอยู่ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ก่อนที่จะอนุญาตให้กลับมาเปิดใหม่ได้เมื่อตอนกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่มันก็คล้ายๆ กับว่าเรายังไม่ปลอดภัย อยู่ตลอดเวลา ซึ่งยิ่งเราอยู่ในภาวะที่มีภัยคุกคามสาหัสเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องอยู่อย่างมีสติ ทำอะไรก็ต้องมีความระมัดระวังตัวเตรียมตนให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา สมุนไพรหยูกยาอย่าให้ขาด และต้องคอยเตือนตนเองอย่าให้ความกลัว ข่าวอกุศล รวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ มาหลอกเราหรือมาทำร้ายเรา ให้มากขึ้นเท่านั้น เหมือนอย่างคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนที่ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้ดิ้นรน” นั่นแหละครับ เพราะทุกวันนี้สิ่งที่อยู่นอกตัวเรา โลกโซเชี่ยล ข่าวสาร หรือผู้มีอำนาจ หรือกระแสสังคม หลายสิ่งหลายอย่างเขาพยายามขู่เข็ญให้เรากลัว หลายสิ่งหลายอย่างพยายามชักจูง พยายามต้อนเราไปลงเหว การจะรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยในยุคสมัยเช่นนี้จะต้องรักษากายใจให้เข้มแข็งไว้เป็นดีที่สุดครับ
วันนี้จะมาขอพูดถึงเรื่องของความสำคัญของการฝึกฝน กาย เทคนิค ใจ อย่างที่คนญี่ปุ่นเขาเรียกว่า ใจ เทคนิค กาย (ชิน วาซะ ไต 心技体) กันก่อนนะครับ ขอเริ่มจากการเล่านิทานเรื่องนึงก่อนอันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับยอดนักดาบ มิยาโมโตะ มูซาชิ ซึ่งคัดมาจากหนังสือเล่มเดิมของพระอาจารย์ไทเซนนะครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า…
…กาลครั้งหนึ่ง มีนักดาบซามูไรอยู่คนหนึ่งมากราบ มิยาโมโตะ มูซาชิ เป็นอาจารย์ บอกว่าอยากให้มูซาชิสอนวิถีแห่งดาบที่แท้ให้ ซึ่งตัวมูซาชิเองก็ได้รับซามูไรผู้นั้นเป็นศิษย์ แล้วก็ให้ลูกศิษย์ผู้นั้นไปหาบน้ำผ่าฟืนอยู่ 3 ปี ( เรื่องนี้ในสายตาคนทั่วไปอาจจะฟังแล้วอุทานว่า อิหยังวะ แต่ตัวผมพอเข้าใจเรื่องนี้ได้ครับ มันก็คือ Strength and Conditioning (การฝึกความแข็งแรงและปรับสภาพร่างกาย) ฉบับโบราณดีๆ นี่เอง ก็เหมือนกับที่คนสมัยนี้วิดพื้นหรือยกน้ำหนักนั่นแหละครับ) พอได้ 3 ปีลูกศิษย์ก็โวยว่า นี่มันฝึกวิชาดาบอะไรกันอยู่มา 3 ปีได้แต่หาบน้ำผ่าฟืน ไม่ได้แตะดาบเลย ขอเอาแบบเข้าสู่วิชาดาบได้ไหม อาจารย์มูซาชิก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะสอนเทคนิคที่แท้ให้
เสร็จแล้วอาจารย์มูซาชิก็บอกให้ลูกศิษย์ไปที่โรงฝึก แล้วให้หัดเดินย่างก้าวสืบเท้า (คล้ายอย่างในวิชาเคนโด้) ที่รอบขอบเสื่อทาทามิ ฝึกวิชาสืบเท้าแบบนี้ทุกวันเช้ายันเย็น
พอฝึกอย่างนี้ได้ 1 ปีลูกศิษย์ก็บอกกับอาจารย์มูซาชิว่า กระผมก็เรียนวิชาดาบมา เคยเจออาจารย์วิชาดาบมาหลายสำนัก ไม่เห็นมีใครเขาสอนกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคราวนี้ขอท่านอาจารย์จงช่วยสอนวิถีแห่งดาบที่แท้ทรูให้ด้วยเถิด อาจารย์มูซาชิก็บอกว่าโอ้ดีมาก งั้นตามข้าพเจ้ามา
อาจารย์มูซาชิก็พาลูกศิษย์มาถึงหุบเหวที่หนึ่ง ซึ่งมีขอนไม้พาดข้ามไปที่อีกฟากหนึ่ง
“นั่นน่ะ ข้ามไปสิ” อาจารย์มูซาชิบอก
ซามูไรผู้นั้นพอเห็นเหวแล้วก็อึ้งไปพักนึง ตูจะไหวไหมเนี่ย…
ทันใดนั้นมีชายตาบอดเดินถือไม้เท้า เคาะไม้เท้ากับพื้นไปพลาง แล้วก็เดินข้ามเหวไปเฉย…
ซามูไรผู้นั้นพอเห็นอย่างนั้นเลยได้คิดว่า ถ้าขนาดคนตาบอดยังข้ามได้ เขาก็ควรจะข้ามได้
อาจารย์มูซาชิก็ว่า เจ้าหัดเดินรอบขอบเสื่อทาทามิมาทั้งปี ขอบเสื่อน่ะมันแคบกว่าขอนไม้นี้อีก ฉะนั้นเจ้าต้องเดินข้ามไปได้
ซามูไรผู้นั้นเข้าใจแล้ว แล้วก็เดินข้ามไป
ซามูไรผู้นั้นถือว่าสำเร็จยอดวิชาดาบแล้ว ฝึกร่างกาย 3 ปี ฝึกการเพ่งสมาธิจิตในกระบวนท่าอีก 1 ปี แล้วก็ผ่านการวัดใจท้าความตายแล้ว
สำหรับผมแล้วผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นนิทานที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการฝึกฝนร่างกาย เทคนิคและจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะก้าวหน้าหรือสำเร็จในวิชาต่อสู้ ซึ่งตัวผมเองผมมีทัศนะของตัวเองในเรื่องเกี่ยวกับ ใจ กาย เทคนิค อยู่สองอย่างครับ กล่าวคือ
หนึ่ง จริงๆ แล้วการฝึกร่างกาย เทคนิคและจิตใจนั้น ไม่ใช่สิ่งที่แยกกันเป็นส่วนๆ โดยเด็ดขาด จริงๆ แล้วในการที่เราฝึกอะไรสักอย่างนึงเนี่ย โอเค ในการทำอะไรอย่างนึงอาจจะมีการเน้นหนักไปทางด้านใดด้านนึงแต่มันก็มีการเสริมสร้างในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ในขณะที่ผ่าฟืนนั้น มันเป็นการเน้นการฝึกร่างกายก็จริง แต่มันก็แฝงไปด้วยเทคนิคด้วยนั่นก็คือท่วงท่าในการฟันดาบแบบยกดาบขึ้นเหนือหัวแล้วฟันลง (ตั้งท่าโจดัง 上段の構え) ไว้ด้วย ฝึกความอดทนของจิตใจในการทำอะไรที่มันดูซ้ำซากน่าเบื่อด้วย (แต่จำเป็นในการทำให้ร่างกายมันจำ อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Muscle memory) หรือการฝึกท่าเดินสืบเท้านั้นก็เป็นการฝึกสมาธิจิตด้วย ซึ่งพอร่างกายพร้อม เทคนิคพร้อมแล้ว สุดท้ายก็เป็นเรื่องของการวัดใจ ลองดูทีว่าในสภาวะกดดัน ต้องเผชิญกับความกลัวนั้น สามารถมีสติเข้มแข็งพอที่จะใช้เทคนิค ใช้ร่างกายที่ฝึกมาตอบโต้กับสถานการณ์อย่างว่าได้ไหม
สอง คำว่า กาย เทคนิค ใจ นั้น เป็นคำคลุมๆ ความกว้างมาก ฉะนั้นเพื่อให้จับต้องได้ง่ายขึ้นผมจึงอยากจะแจกแจงด้านต่างๆ ของ 3 คำนี้ตามประสบการณ์ของผมโดยเฉพาะเอาที่เกี่ยวข้องกับบราซิลเลี่ยนยูยิตสูนะครับ
กาย 体 ไท ความแข็งแรง ความยืดหยุ่นของร่างกาย ความแคล่วคล่อง (สองตัวหลังนี่จำเป็นมากกับบีเจเจเพราะความที่เป็นกีฬาต่อสู้ที่เน้นคว้าจับ เน้นการคลุกปล้ำในขณะที่นอนอยู่กับพื้น และต้องพึ่งพาการเคลื่อนไหวการออกแรงด้วยลำตัวและขาอยู่เยอะในแบบที่ว่าชีวิตประจำวันคุณไม่ได้ทำอะไรแบบนี้แน่ๆ เช่นการเอาเท้าไปยันต้นแขนของคู่ต่อสู้ใน Spider guard อะไรแบบนี้ เสร็จแล้วก็กวาดคู่ต่อสู้ลงพื้นอะไรแบบนี้)
เทคนิค 技 วาซะ แปลตรงตัวก็คือกระบวนท่านั่นแหละ ซึ่งท่วงท่าในบีเจเจหลายอันก็ต้องพึ่งคุณสมบัติทางร่างกายตามที่ว่าข้างบนอยู่เยอะ
ใจ 心 ชิน อันนี้มีแบ่งไปอีกสองสามอย่างคือ ความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งการจะมีได้ก็ต้องผ่านการฝึกกายและท่วงท่า กับทัศนคติที่มีต่อตัวเองและคู่ต่อสู้ (หรืออุปสรรคที่เรากำลังเผชิญ) คือถ้ากายได้แต่เทคนิคได้แต่เรามีทัศนคติกับตัวเองในทางลบ เช่น เราคิดว่าตัวเองไม่เก่ง หรือเราคิดว่าโหยคู่ต่อสู้เก่งกว่าเรา แบบว่ากลัวอะไรงี้ และก็ทัศนคติที่เรามีต่อวิชาที่เราฝึก เราต้องเข้าใจสิ่งที่เราฝึก ข้อดี ข้อด้อย อะไรเราจะปรับใช้ได้ เทคนิคบางอย่างอาจไม่เหมาะกับกายเรา เทคนิคบางอย่างใช้กับคู่ต่อสู้บางคนได้ ใช้กับอีกคนไม่ได้ เราฝึกกายเพื่อให้สามารถใช้เทคนิคออกมาได้ แต่การที่ ณ ชั่วเวลานั้นเราจะใช้เทคนิคอะไร “ใจ” คือผู้เลือก ถ้าเรากลัว ไม่มั่นใจ เราจะถอย ตัวเราจะแข็งทื่อ ถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะใช้ท่านั้นท่านี้ก่อนแต่แรก ใจเราก็ถูกปิดกั้นจากการมองคู่ต่อสู้เพื่อที่จะเลือกท่าที่เหมาะสม ณ ชั่วเวลานั้น
ฉะนั้นการฝึกวิชาต่อสู้ทุกอย่าง เราอาจเริ่มจากกายหรือเทคนิค แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนที่สามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ใจ และบราซิลเลี่ยนยูยิตสูนี่แหละที่ขัดเกลาใจได้ดีนักแล (โดยเฉพาะการต้องทำตัวเองให้ชินกับความกลัวเวลาโดนดัดแขนรัดคอ)
ทุกวันนี้เรื่องของใจสำคัญมากนะครับท่านผู้อ่าน เราอยู่ในยุคสมัยแห่งความหวาดกลัว (โควิด) และความสิ้นหวัง บางคนภาวนาคอยฟ้าคอยฝนกับวัคซีน กับสิ่งที่มีอยู่นอกตัวเรา ที่ต้องคอยให้ท่านผู้มีอำนาจประทานมันลงมา ผมคิดว่าในยุคสมัยแบบนี้ เราคงต้องเรียนรู้วิถีการคิดและการใช้ชีวิตอย่างนักรบบ้าง เพราะเราทุกคนต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด ผมเองทุกวันนี้ก็ต้องพึ่งสมุนไพรไทย ขิง กระชาย ฟ้าทะลายโจร ไว้บำบัดรักษาตัว มีอาการหวัด ไข้ น้ำมูกไหล ไอ อะไรขึ้นมาแค่เล็กน้อย อย่าวางใจ ให้รีบอัดยาสมุนไพรทันที ที่ผมพูดมานี้ก็เพื่อจะสื่อว่า การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดนั้น เราต้องพึ่งตัวเองครับ ต้องพยายามทำทุกอย่างที่เราทำได้เอง ใช้วิจารณญาณคิดหาหนทางรอดเอง อย่ามัวนั่งภาวนาคอยฟ้าคอยฝน คอยวัคซีน คล้อยตามกระแสข่าวที่บุคคลผู้รับใช้ผู้มีอำนาจในคราบของบุคลากรทางการแพทย์ ออกมาทำท่าเป็นผู้รู้พูดชี้นำให้คนเชื่อ ใครอยากจะเชื่ออะไรก็ตามก็นึกถึงกาลามสูตรไว้ก่อนนะครับ (อย่าเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าดูเป็นผู้รู้) ชีวิตความเป็นความตายของเราจงเลือกเอาด้วยตัวเองครับ (เพราะพลาดท่าตายไปไม่มีใครมารับผิดชอบกับเรา)
ขออนุญาตขุดรูปเก่ามาลงแก้กลุ้มนะครับ หลายท่านอาจจะเบื่อหน้าผมแล้ว งั้นดูข้างหลังผมไปละกันครับ (ฮา) คราวหน้าจะเขียนเรื่องอะไรดีก็อย่าลืมติดตามนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ครั้งหนึ่งในชีวิตกับมรดกโลก “ปราสาทฮิเมจิ” เดือนมิถุนายน 2006 รูปเยอะจน บก. ร้องไห้หนักมาก (2) จบจริงๆ แล้วจ้า
– ครั้งหนึ่งในชีวิตกับมรดกโลก “ปราสาทฮิเมจิ” เดือนมิถุนายน 2006 รูปเยอะจน บก. ร้องไห้หนักมาก (1)
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (2) “ฮิชิเรียว” 非思量 เมื่อการ “ไม่หยุดคิด” คือทางรอด
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (1) “จนกว่าโยมจะตายน่ะแหล่ะ”
– เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (2) หนังสือ “ไวยากรณ์ญี่ปุ่นเบื้องต้น” ของอาจารย์สุเทพ น้อมสวัสดิ์
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู