คั่นรายการ by Lordofwar Nick
เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (2) หนังสือ “ไวยากรณ์ญี่ปุ่นเบื้องต้น” ของอาจารย์สุเทพ น้อมสวัสดิ์
สวัสดีครับท่านผู้อ่านวันนี้ก็พบกันอีกแล้วนะครับ สำหรับเรื่องราวของเหตุต้นผลกรรมที่ทำให้ผมต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่น นั่นแหละครับพระท่านว่า กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม การที่ผมนั้นไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นผลแห่งกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกันซึ่งมันก็ต้องมีเหตุปัจจัย
ในคราวที่แล้วได้พูดถึงเรื่องของหนังสือและนักเขียนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมอยากไปเรียนที่ญี่ปุ่นไปแล้ว คราวนี้จะมาพูดถึงหนังสือที่เป็นตัวปูทางให้ผมมีพื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่นในกาลต่อมา ซึ่งจะขออธิบายโดยพิสดารดังนี้
ในสมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่นั้นยุคนั้นมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มีสื่อการเรียนการสอนอะไรที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ง่ายๆ แบบกระดิก teen อยู่กับบ้านก็เรียนได้ ฉะนั้นถ้าไม่ใช่คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเอก น้อยคนมากที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วไปถึงที่สุดที่ใช้การได้อ่านออกเขียนได้จริงๆ ส่วนใหญ่ก็อาจจะไปเทคคอร์สตามโรงเรียนข้างนอก เรียนภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้นพอขำๆ แบบ คอนนิจิวะ คอมบังวะ แล้วก็จบกัน เพราะภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่เขียนยากอ่านยากเข้าใจยากและใช้ยาก การเรียนให้ “ใช้การได้” แบบจริงๆ จังๆ ต้องใช้แรงงานและเวลามาก โอเคครับสมัยนั้นอาจจะมีหนังสือตำราอยู่บ้างแต่มันก็ไม่ได้แพร่หลาย ตัวผมเองนั้นตอนปริญญาตรีก็เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเอกแต่อย่างใด แต่ถ้ามีใครจะถามว่าอ้าวแล้วคุณเรียนภาษาญี่ปุ่นได้อย่างไร มันก็มีวิธีอย่างนี้ครับ
ขั้นแรก เราต้องรู้จักเรื่องของไวยากรณ์ก่อน คือรู้จักเรื่องของการผันคำ ชนิดของคำ วิธีการเอาคำเข้าต่อเป็นประโยค ซึ่งในการนี้ผมได้ตั้งต้นจาก 0 ด้วยตำรา “ไวยากรณ์ญี่ปุ่นเบื้องต้น” ของอาจารย์สุเทพ น้อมสวัสดิ์ ซึ่งเป็นตำราที่ง่ายและตรงไปตรงมาดีมาก แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนจะเรียนไวยากรณ์ต้องเรียนหนังสือก่อนไม่ใช่เหรอ? (ฮา) ok ครับผมพูดข้ามชอตไปนิดนึง จริงๆ ต้องเรียนตัวคานะก่อนครับ สมัยนั้นผมเรียนโดยใช้ตำราคานะเบื้องต้นปกสีเหลืองๆ (かな入門) ที่จัดพิมพ์โดยสนญ. เริ่มเรียนตั้งแต่ อาสะ คาสะ あさ かさ กันเลย ผมเรียนฮิรากะนะและคาตากานะด้วยตัวเองจบแบบว่าพออ่านสะกดคำได้ภายใน 1 อาทิตย์ จากนั้นก็เรียนคันจิเบื้องต้น 100 ตัวแรกโดยใช้หนังสือคันจิเบื้องต้นปกสีส้มน้ำตาลคล้ายสีหมากสุก (漢字入門 จัดพิมพ์โดย สนญ.เช่นกัน) เรียนคันจิ 100 ตัวแรกจบจำได้ภายใน 1 เดือน แล้วค่อยมาหัดอ่านประโยคในหนังสือเรียนไวยากรณ์เบื้องต้น
ตำราหน้าตาแบบนี้เลยครับ โอ้พระเจ้าผมยังอุตส่าห์หารูปจนเจอ ขนลุกเลยครับ (ที่มา: สำนักหอสมุด สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น http://library.tni.ac.th/)
พูดถึงหนังสือคันจิเบื้องต้นนั้นเสียดายมากว่าราคาสมัยนั้นถูกมากๆ พอตอนหลังจากนั้นไม่นาน หาไม่ได้แล้ว เขาเลิกพิมพ์ขาย ต่อมาก็มี Kodansha’s compact kanji guide ขาย ซึ่งดีจริง โจโยคันจิครบพันเจ็ดร้อยกว่าตัว (หรือเปล่าหว่า?) แต่ราคาก็หลายร้อยเหมือนกัน แพงมากสำหรับนักศึกษา
ขั้นที่สอง เนื่องจากผมไม่ใช่นักเรียนวิชาเอกญี่ปุ่น ปัญหาต่อไปคือเราจะเข้าถึงสื่อต่างๆจะทำให้เรามีความรู้ในภาษาญี่ปุ่นมากขึ้นได้อย่างไร? โชคดีที่ในยุคนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า “ห้องสมุดมูลนิธิญี่ปุ่น” ซึ่งใครๆ ก็เข้าไปอ่านหนังสือหรือยืมหนังสือได้ขอเพียงแค่สมัครสมาชิกและจ่ายค่าสมาชิกรายปีเท่านั้น สำหรับนักศึกษาอย่างผมในยุคที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต YouTube ยังไม่เกิด และไม่ต้องไปถามไฟล์หนังสือให้ดาวน์โหลดออนไลน์ (นักศึกษายุคนั้นบูชาเครื่องซีรอกซ์เป็นพระเจ้า) ห้องสมุดมูลนิธิญี่ปุ่นนี่แหละคือสวรรค์ ผมได้ฝึกการฟังภาษาญี่ปุ่นผ่านการฟังเทปคาสเซ็ทและดูวีดีโอในห้องสมุดตั้งแต่วีดีโอสอนสนทนาภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น การ์ตูนนิทานญี่ปุ่น (เด็กสมัยนี้อย่าเพิ่งผวา!!! ยุคผมเป็นนักศึกษา มีแผ่น CD แล้วครับแต่ยังเป็นของแพงมาก)
ส่วนการเพิ่มระดับความสามารถในการอ่านการเขียนภาษาญี่ปุ่นนั้น หลังจากที่เราเรียนรู้ไวยากรณ์เบื้องต้นไปแล้ว มันจะเข้าสู่ไวยากรณ์ขั้นสูงที่มีเรื่องของรูปประโยคสำเร็จ (บุงเคย์ 文型) ที่นั่นมีตำราเยอะครับเป็นตำราเรียนภาษาญี่ปุ่นระดับที่ขนาดอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นยังต้องยืมไปใช้เลย เอาเป็นว่าผมอ่านตำราที่นั่นอ่านไปอ่านมาเริ่มอ่านไม่ถึงตำราเรียนติวสอบวัดระดับด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ต่อมาผมสามารถสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 2 (2級)ผ่านเลยทีเดียว
ขั้นที่สาม เมื่อผมมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นในระดับนึงแล้วผมก็คิดว่าผมควรจะหาที่เรียนแบบมีครูสอนให้เป็นกิจจะลักษณะหน่อย สมัยนั้นที่มูลนิธิญี่ปุ่น (แหมเรียกชื่อเชยจัง สมัยนี้ต้องเรียก Japan Foundation) เขามีคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนเย็น ซึ่งทีแรกเรียนฟรีแต่ต้องผ่านการทดสอบเข้าไปก่อน แล้วอาจารย์ที่สอนข้างในนั้นแทบจะเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย ซึ่งสำหรับสมัยนั้นการที่จะหาที่เรียนที่อาจารย์เป็นคนญี่ปุ่นเจ้าของภาษามาสอนเนี่ยมันไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ แถมฟรีอีกด้วยเนี่ย หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ถึงตอนหลังจะเปลี่ยนมาเก็บค่าเล่าเรียนผมว่ามันก็ยังคุ้มสุดๆ อยู่ดี
ขั้นที่สี่ พอตอนหลังตรงชั้นสิบ (มั๊ง) ของอาคารเสริมมิตร ซอยอโศก ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องสมุดมูลนิธิญี่ปุ่นและโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นของมูลนิธิญี่ปุ่นอย่างที่ผมพูดถึงในตอนต้นไปแล้ว ปรากฏว่ามีสถาบันแนะแนวการเรียนต่อญี่ปุ่นซึ่งสมัยนั้นชื่อว่า AIEJ ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับคนที่เขามาทำงานแนะแนวตรงนั้น ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกอยากไปเรียนต่อญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีก
นี่แหละครับคือเหตุต้นผลกรรมที่ทำให้ผมต้องไปเรียนต่อญี่ปุ่น กล้าพูดว่ามันเป็นเหตุต้นผลกรรมจริงๆ งั้นเพราะผมมีเหตุผลจะยกขึ้นมาพูด 2 อย่างครับ
อย่างแรก ตอนแรกๆ เลยไม่ได้มีความคิดที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นนะครับ จริงๆ อยากเรียนภาษาจีน เพราะเคยอ่านหนังสือ “เรื่องน่ารู้ในอักษรจีน” เลยรู้สึกว่าภาษาจีนเนี่ยมันน่าสนใจมากก็เลยอยากเรียนภาษาจีน
หนังสือเล่มนี้แหละครับที่จุดประกายความสนใจในอักษรจีน โอ้พระเจ้าผมยังอุตส่าห์หาภาพหน้าปกมาได้อีก ผมนี่ขนลุกเลยครับ (ที่มา http://uauction4.uamulet.com)
แต่ยุคนั้นจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่เปิดประเทศ ภาษาจีนที่เรียนกันตามมหาลัยในเมืองไทยก็ยังเป็นภาษาจีนแบบไต้หวันอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเท่ากับที่ว่า สมัยนั้นการเรียนการสอนภาษาจีนยังไม่เปิดกว้าง สื่อต่างๆ หนังสือก็หาแทบไม่ได้ เมื่อเทียบกันแล้วภาษาญี่ปุ่นนั้นมีความสะดวกมากกว่ามากๆ (ก็มีหนังสือให้ผมเป็นห้องสมุดเลยนิ) ผมก็เลยตัดสินใจเรียนภาษาญี่ปุ่นแทนเพราะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ยังไงภาษาญี่ปุ่นก็มีตัวหนังสือจีน ซึ่งเป็นความคิดที่บ้องตื้นมาก แต่เพราะความคิดบ้องตื้นนี่แหละที่ทำให้ทางเดินของชีวิตของผมต้องกลายมาเป็นแบบนี้ อ้าวลองคิดดูสิครับท่านผู้อ่าน ถ้าเกิดผมตัดสินใจเอาดีทางเรียนภาษาจีน มันอาจจะกลายเป็นว่าพอวันนึงอาจไปทำงานที่เมืองจีน หรือไปเรียนหนังสือต่อที่เมืองจีน (สมัยนั้นจริงๆ ต้องไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ยุคปลายศตวรรษที่ 20 ยังเป็นแค่ประเทศคอมมูนิสต์ล้าหลัง ไม่ได้เป็นประเทศยิ่งใหญ่เทียบชั้นเจ้าโลกแข่งกับอเมริกาเหมือนทุกวันนี้นะครับ ประเทศจีนเริ่มจะมาร่ำรวยยิ่งใหญ่ก็ช่วงที่ผมเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นี่เอง) ทางชีวิตของผมก็คงไปอีกทางนึงไปเลย
อย่างที่สอง จริงๆ ตอนช่วงก่อนจะเรียนจบและกำลังคิดว่าจะทำอะไรดี หางานทำหรือหาที่หาทุนไปเรียนต่อดี จริงๆ แล้วมองเรื่องการขอทุน East West ไปเรียนที่ ม.ฮาวาย ไว้ก่อนด้วยซ้ำ ถึงขนาดไปเตรียมสอบ TOEFL เอาไว้เลย แต่มีอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในมหาลัยเห็นว่าผมน่าจะขอทุนไปเรียนต่อที่ Osaka University of Foreign Studies ได้ ก็เลยยื่นเอกสารต่างๆ ไป แล้วทางมหาลัยดันรับผมเข้าเรียนเสียด้วย ผมก็เลยยึดหลักสิบเบี้ยใกล้มืออะไรมาก็เอาไว้ก่อน ได้ไปอยู่ญี่ปุ่น 3 ปีเรียนฟรีมีเงินเดือนให้ ใครไม่เอา ผมเอาฮะ เรื่องมันก็เลยเอวังด้วยประการฉะนี้ สมมุติว่าถ้าผมได้ทุน East West ก่อน แล้วไปเรียน ม.ฮาวาย ทางชีวิตของผมก็คงไปอีกทางนึงไปเลยเช่นกัน (สายฝ. 555)
ฉะนั้นการที่ผมมีอันต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นต้องถือว่ามันเป็นกรรมจริงๆ นะครับ (ขำขื่น)
คราวหน้าเขียนเรื่องอะไรต่อดีน้า จะว่าเรื่องปรัชญาเซนกับบราซิลเลียนยูยิตสูดี หรือเอาเรื่องที่ไปปราสาทฮิเมจิขึ้นก่อนดีน้อ แต่ไม่ว่าจะเขียนอะไรก่อน ยังไงก็ได้เขียนทั้งสองเรื่องแน่นอนน อย่าติดตามอ่านกันด้วยนะครับผม
เรื่องแนะนำ :
– เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (1) หนังสือ “มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ของอาจารย์สุวินัย
– ยามว่าง เดินชมบ้านแถวโอโนฮาระ แล้วไปต่อคิตะเซ็นริ ต่อด้วยเซ็นริจูโอ (เอาให้จบ)
– ยามว่าง เดินชมบ้านแถวโอโนฮาระ แล้วไปต่อคิตะเซ็นริ ต่อด้วยเซ็นริจูโอ
– เที่ยวนารา ไปแค่วัดโคฟุคุจิกับไปดูของใหญ่วัดโทไดจิ แค่นั้นเองแหละ
– เที่ยวเกียวโตแบบกระท่อนกระแท่น (3) วังหลวงเกียวโต (จริงๆ แล้วนะ)
#เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (2) หนังสือ “ไวยากรณ์ญี่ปุ่นเบื้องต้น” ของอาจารย์สุเทพ น้อมสวัสดิ์