วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
ท่านผู้อ่านวันนี้ผมก็ขอกลับมาที่เรื่องของปรัชญาเซนจากหนังสือของพระอาจารย์ไทเซ็น เดชิมารุ กันอีกครั้งนะครับ หลังจากที่ย้อนอดีตกันไปไกลนิดนึง ไม่ไกลมากแค่เกือบๆ 30 ปีก่อนแค่นั้นเองครับ งั้นวันนี้เรากลับมาพูดถึงเรื่องปัจจุบันปี 2021 กันดีกว่าครับ
ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ตอนนี้ที่เชียงใหม่ก็เปิดยิมมาได้ 2 สัปดาห์แล้ว หลังจากที่ปิดไป 2 เดือนกว่า ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์จะทรงตัวได้หรือจะมีอะไรที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก หรือได้ต้องล็อคดาวน์ปิดนั่นปิดนี่กันอีก แต่ก็นั่นแหละครับกังวลเรื่องอนาคตไปก็เท่านั้น เรามาเพ่งจิตเพ่งใจไปกับ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” กันดีกว่า
ในคำสอนของพระอาจารย์ไทเซน การเพ่งจิตใจไปที่ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” ก็คือการที่เราลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วเราก็ทุ่มแรงกายแรงใจใส่พลังให้เต็มที่เลย โดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลถึงวันพรุ่งนี้ หรือกังวลกับสิ่งที่เราเคยมีเคยเป็นในวันวาน ตอนนี้ผมกลับไปยิมอีกครั้งหนึ่งก็พยายามเล่นเต็มที่ในทุกวันมันก็เหนื่อยเวลาหลังเลิกงานก็ต้องรีบขับรถมามาซ้อมถึงประมาณสองทุ่ม เหนื่อยแฮ่กๆ เหงื่อท่วมตัว ต้องบำรุงเนื้อนมไข่ น้ำเกลือแร่อย่าให้ขาด นอนให้อิ่ม เมื่อวานวันเสาร์ผมซ้อมพื้นฐานท่าทุ่ม “อิปป้งเซโออินาเงะ” แล้วก็สแปริ่งต่ออีกราวสามสี่ยก นั่งแวะกินซูชิสามสี่คำกับน้ำบ๊วยโซดา ฟังเพลงโฟร์-มดในร้าน (ร้านเขาเปิดน่ะ 55) แล้วก็กลับบ้าน เอาชุดฝึกหย่อนลงถังซัก นอนร่างแหลกสองสามชั่วโมง ลุกขึ้นมาตากผ้า เล่นกับลูก กลางคืนหัดวิดพื้น ซิตอัพ เสริมร่างกายตามที่โค้ชบอกให้ทำ
โอเคผมรู้วิถีชีวิตที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้อาจจะมีคนที่รู้จักผมหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมผมไม่ทำโอที 5 โมงแล้วต้องรีบออกจากที่ทำงานเพื่อไปซ้อม ทำไมอาทิตย์นึงต้องซ้อมอะไรเยอะขนาดนั้น บางคนก็มองว่าชีวิตผมทำไมตึงจัง ทำไมไม่ทำตัวหย่อนใจบ้าง เช่นไปนั่งกินเหล้าเฮฮาปาร์ตี้หลังเลิกงาน อะไรอย่างนี้ (ตามวิถีชีวิตพนักงานบริษัททั่วๆ ไป) บางคนหาว่าผมใช้ชีวิตแบบนี้ไม่คิดถึงเวลาที่จะต้องให้ลูกให้เมียบ้างหรือไร?
ต่อไปนี้คือคำสอนของพระอาจารย์ไทเซน:
Forms and colors are the same but every person sees them differently, through his illusions, physiological and psychological.
Life’s problems are different for each of us and each of us needs a different way of solving them.
Therefore, each of us has to create his own method. If you imitate, you’ll be wrong. You have to create for yourself.
รูปร่างและสีสันทั้งหลายล้วนเหมือนกัน แต่ทุกคนมองเห็นต่างกันผ่านภาพลวงตาต่างๆ ทั้งทางกายและทางใจ
ปัญหาชีวิตของเราแต่ละคนนั้นต่างกัน และเราแต่ละคนต้องการวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน
เราแต่ละคนจึงต้องสร้างวิธีการของตนเอง ถ้าคุณเลียนแบบ คุณจะผิด คุณต้องสร้างขึ้นมาเพื่อตัวคุณเอง
เมื่อผมอายุจะเข้าสี่สิบ ผมก็ต้องเผชิญ “วิกฤติวัยกลางคน” ในเรื่องสุขภาพ วิถีชีวิตการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ในโรงงานที่ระยองได้ทำลายรูปร่างและสุขภาพของผมอย่างสาหัส ทำงาน ทำโอที เลิกงาน กินเหล้า นอน ตื่นมาถอน ไปทำงาน ผลคือน้ำหนักตัวที่เกินร้อยกิโล ไขมันในเลือด (ซึ่งน่าจะลามไปถึงไขมันเกาะตับ) เมื่อลูกชายผมเริ่มจะโตขึ้นมาได้สักสองสามขวบ ผมบอกตัวเองว่าถ้าสารรูปผมยังเป็นแบบนี้ อาจจะไม่ได้อยู่เห็นลูกชายโตเป็นหนุ่ม
นี่จึงเป็นเหตุให้ผมต้องกระเสือกกระสนอดทนกับการสู้กับร่างกายที่กำลังอ่อนแอ ด้วยการกลับไปเล่นไอคิโดเป็นระยะสั้นๆ ก่อนจะตัดสินใจหันมาเรียนบราซิลเลียนยูยิตสูแทน
If you open your hand, you can take hold of anything, if you close your hand, nothing can enter it. In the martial arts the point is to penetrate elements and phenomena, not skim alongside them; so the martial arts are essentially virile, because man penetrates woman.
You must learn to penetrate life.
หากคุณแบมือ คุณจะจับอะไรก็ได้ ถ้าคุณกำมือ ก็ไม่มีอะไรเข้าไป (ในมือคุณ) ได้ ในศิลปะการต่อสู้นั้น ประเด็นคือการทะลวงองค์ประกอบและปรากฏการณ์ทั้งหลาย ไม่ใช่แฉลบเลียบๆ เคียงๆ ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ทั้งหลายนั้นโดยแก่นแล้วมันจึงมีความเป็นชาย เพราะผู้ชายนั้นทะลวงเข้าไปในตัวผู้หญิง
คุณต้องเรียนรู้ที่จะทะลวงชีวิต
อย่างแรกเลยคือผมได้แบมือเพื่อเปิดรับเอาสิ่งที่เรียกว่า “บราซิลเลียนยูยิตสู” เข้ามาในชีวิตผม ซึ่งตอนที่ผมได้ลองมันครั้งแรกเมื่อสักสี่ปีก่อนได้กระมัง ผมไม่มั่นใจหรอกว่าผมจะเล่นมันได้ มันเป็นกีฬาต่อสู้ที่ต้องใช้ทั้งความอึดของร่างกาย ความแข็งแรงทนทานกล้ามเนื้อ ความแคล่วคล่อง ซึ่งคนอ้วนหนักร้อยโลอายุขึ้นเลขสี่ที่ไม่ได้ฝึกอะไรมานานพอดูแล้ว มันจะไหวเหรอ? มันก็ต้อง “ทะลวงชีวิต” เอาจนมันไหวสิ! ถ้าคิดจะเปิดหนทาง แก้ไขความผิดพลาดในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา คิดที่จะ “มีชีวิตต่อไป” อย่างแข็งแรงและภาคภูมิ เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อลูก ให้ได้ล่ะก็ มันก็ต้องทะลวงไป การทะลวงนี่แหละที่จะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาได้ (เหมือนดั่งที่ผู้ชายทะลวงเข้าไปในตัวผู้หญิงเพื่อที่จะผลิตลูก)
หลังจากที่ผมเล่นบีเจเจอย่างจริงจังมาขึ้นปีที่สาม อย่างน้อย ผลของการ “ทะลวงชีวิต” คือน้ำหนักที่เหลือราว 85 กิโล กล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้น (ซึ่งต้องทำให้แข็งแรงขึ้นอีกเพื่อสู้กับภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ) จิตใจที่ปลอดโปร่งขึ้นจากการได้ออกเหงื่อทุกวัน ภรรยาผมเข้าใจและโอเคในสิ่งที่ผมทำผมเป็นอยู่ในปัจจุบัน
We must create our lives, free ourselves, become detached, simply attentive to here and now; everything lies in that.
เราต้องสร้างชีวิตของเรา ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ ละจากการยึดติด สนใจเพียงแค่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทุกสิ่งวางอยู่ในนั้น
ช่วงต้นปี 2020 และ 2021 ภาวะโควิดทำให้ยิมต้องปิด ตอนนั้นปี 2020 เป็นอะไรที่เดือดร้อนวงการกีฬาต่อสู้ทั่วโลก จำได้ว่ายิมบีเจเจในอเมริกาถึงขนาดร้องทางยูทูปว่าขอให้รัฐบาลยอมให้เขาเปิดยิมได้เถิด กำลังจะแย่แล้วรายได้ไม่มี เมืองไทยก็เหมือนกัน เชียงใหม่ก็เหมือนกัน มันก็น่าเศร้า แต่ผมก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ ก็ดูยูทูปบ้าง ซ้อมเล่นบอลพิลาทีส (Swiss ball) บ้าง มันก็มีวิดีโอในยูทูปสอนท่าเล่นบอลพิลาทีสเพื่อฝึกทักษะการเคลื่อนไหวในบีเจเจ ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เราก็พยายามทำสิ่งที่ทำได้ ดีกว่ามานั่งกลุ้มใจเสียเวลาไปเปล่าๆ
มาปีนี้ 2021 เจอคำสั่งปิดยิมไปสองเดือนกว่า ผมก็วิ่ง ชกมวย (อาศัยคอนโดยางกับนวมและผ้าพันมือเป็นที่พึ่ง) วิดพื้น สควอท ซิตอัพ ตามที่โค้ชบอกไปด้วย ก็ทำแค่สิ่งพื้นๆ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร
หันกลับมาที่ชีวิตในที่ทำงานต่อ ผมไปซ้อม (หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ไปโดนซ้อม”) เนี่ย ก็ยอมรับว่าสิ่งที่ต้องมีเลยคือการปวดกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บในระดับต่างๆ ตั้งแต่ฟกช้ำ เจ็บตรงข้อต่อแขนที่โดน Armbar เรียกว่าความเหนื่อยล้ากับความเจ็บปวดนั้นมีเป็นปกติเป็นเรื่องประจำวัน คนก็หาว่าหาเรื่องเจ็บตัว ทำอะไรสุดโต่ง ทำไมไม่ “เซฟ” ตัวเองบ้าง หรือแบบ ทำไมไม่พักบ้างอะไรบ้าง
ต่อไปนี้คือคำสอนของพระอาจารย์ไทเซน:
Concentrating means “all out,” total release of energy; and it should be the same in every act of our life.
In the present-day world what we see is the opposite: young people half living, half dead. Their sexuality is half way, too, yet they think about sex at work or during zazen, and the other way round as well, and so it goes with everything they do.
But if you have exhausted all your energy, you can take in fresh energy, flowing like the water in the stream.
การเพ่งจิตนั้นหมายถึง “เอาออกให้หมด” คือปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมา และควรจะทำเช่นนี้เหมือนกันในการกระทำทุกๆ อย่างในชีวิตเรา
ในโลกปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นกลายเป็นตรงกันข้าม คนหนุ่มสาว (ทุกวันนี้ ใช้ชีวิตอย่าง) ครึ่งเป็นครึ่งตาย เรื่องเซ็กซ์ของพวกเขาก็ครึ่งๆ กลางๆ เช่นกัน กระนั้น พวกเขาคิดถึงเรื่องเซ็กซ์ในเวลาทำงานหรือตอนนั่งฌาน หรือกลับกัน แล้วก็เป็นเช่นนี้ในทุกอย่างที่พวกเขาทำ
แต่ถ้าคุณใช้พลังงานจนหมด คุณก็สามารถรับเอาพลังงานสดใหม่ ที่หลั่งไหลเหมือนน้ำในสายธารเข้ามาได้
ครับ ผมเองปีนี้ตั้งเป้าว่าจะต้องทำยอดการซ้อมบีเจเจให้ได้ “สัปดาห์ละสี่วัน” คือเป้าหมาย เหนื่อยไหม เหนื่อย เจ็บปวดกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ซ้อมเสร็จกลับมาอาบน้ำเล่นกับลูกสอนเลขสอนอะไรให้ลูก แล้วก็ต้องรีบนอนไวๆ ตื่นเช้าไปทำงานก็บำรุงเข้าไป กินไข่กินนม ถ้ากล้ามเนื้อล้า ร่างกายอ่อนแรง ก็ชงผงเกลือแร่ใส่น้ำกินเข้าไป เย็นมากินอะไรใส่ท้องเล็กน้อยพอให้ได้กินไม่กระวนกระวายเวลาซ้อม เวลาซ้อมก็คอยจิบน้ำเรื่อยๆ ลงสแปริ่งอะไรก็ตามปกติ คือทำยังไงก็ได้ให้มีแรงไปซ้อม ถ้าอาหารมีคุณค่าดีพอ ร่างกายได้นอนพอ ตื่นมายังไงมันก็ประคองตัวได้ คนเราประกอบด้วยจิตใจและร่างกาย สำคัญคือเราบำรุงร่างกายแล้ว ให้เวลามันได้พักผ่อนฟื้นตัวแล้ว ที่เหลือคือเรื่องของ “ใจ” ครับ (ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา) ถ้าเราคิดว่าตัวเราไม่ไหว ต้องพักนะ ต้องกั๊กนะ ต้องเซฟตัวเองนะ มันจะเป็นการป้อนข้อมูลในจิตใต้สำนึกของเราว่า “เราอ่อนแอ” แล้วเราจะกลายเป็นอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงไปจริงๆ แต่ถ้าเราเตรียมร่างกายให้มันไหวแล้ว บอกใจตัวเองเลยว่า “สู้โว้ย” “เอาให้สุด” เอาให้มันสุดจริงบนเบาะจนหมดชั่วโมงเรียนแล้วกลับไปพักที่บ้าน ทำแบบนี้บ่อยๆ มันจะเป็นการป้อนข้อมูลเข้าจิตใต้สำนึกว่า “เรานี่มันก็อึดเหมือนกันโว้ย” “เราผ่านมันมาได้” “เราทำได้” สิ่งนี้แหละที่จะทำให้เรา “มีพลัง” สดใหม่หมุนเวียนเข้ามาในใจกายของเราได้ทุกวัน
นี่คือสิ่งที่คนเพิ่งหัดบีเจเจควรทำนะครับ (ขำๆ แต่แอบจริง เอาแค่หอบแฮ่กๆ อาบเหงื่อต่างน้ำ ชุดฝึกแฉะ พอครับไม่ต้องขนาดปอดระเบิดก็ได้ 555 แค่เกือบๆ ก็พอ)
จริงๆๆๆ ยิ่งกว่าจริง (ที่มา https://pics.me.me)
ผมเห็นบางคนที่อาจจะอยากจะแก้ปัญหา “วิกฤติวัยกลางคน” ของตัวเอง ทั้งในเรื่องสุขภาพ และอื่นๆ แต่น่าเสียดาย แค่ด่านแรกคือการจดจ่อกับ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” ก็ไม่ผ่านกันเสียแล้ว เพราะมัวแต่ไปยึดติดกับอดีต ภาพที่ตัวเองมองตัวเองในทางลบ ว่าฉันไม่มีความสามารถ ฉันมันอ่อนแอ ฯลฯ มันไร้สาระครับ คนเราไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่ ต้องมีความสามารถเก่งกาจกว่าคนอื่นให้คนมานั่งชม สิ่งที่ต้องทำเพื่อทะลวงชีวิตของตัวเองคือการโฟกัสไปที่ตัวเองมากกว่าว่าเราได้ทำอะไรที่เราควรทำเพื่อทำให้ชีวิตมันดีขึ้นแล้วหรือยัง? “แค่เป็นตัวเราในวันนี้ที่ดีกว่าเมื่อวาน” ก็ถือว่าดีแล้วครับ วันนี้เราดีกว่าเมื่อวานไหม ถามตัวเองวันนี้ พอตื่นมาวันใหม่ วันที่เคยเป็นพรุ่งนี้ก็กลายเป็นวันนี้ วันที่เคยเป็นวันนี้ก็กลายเป็นเมื่อวาน ก็ปล่อยมันไป
ก่อนจากกันวันนี้ขออนุญาตขุดรูปเก่ามาลง (อีกละ) ปีที่แล้ว ปี 2020 หลังจากผมผ่าตัดตาต้นเดือนสิงหา ผมหยุดซ้อมพักฟื้นไปหนึ่งเดือน แล้วผมก็รีเทิร์นกลับมาในเดือนกันยาด้วยการไปเข้าสัมมนาของอาจารย์ Olavo Abreu ซึ่งก็เป็นรุ่นเก๋าอยู่กับวงการมานานแล้วเหมือนกัน ก็ถือว่าดีครับได้เปิดหูเปิดตา ว่าแล้วก็ขออนุญาตเซลฟี่นะครับ (ฮา)
อย่าหัวเราะนะครับที่แบบ เอิ่ม ตาไม่เท่ากัน ตอนนั้นเพิ่งผ่าตัดตาได้เดือนเดียวครับ การโฟกัส กล้ามเนื้อสายตาซ้ายขวายังไม่ค่อยเข้าที่ดี รู้สึกเมื่อยๆ ตาซ้ายหน่อยๆ แต่ตอนนี้ดูตัวเองในกระจกก็ไม่ขนาดในรูปละมั๊ง (ฮา)
อาทิตย์หน้าสลับไปเขียนเรื่องไปเที่ยวปราสาทฮิเมจิ ณ ปี 2006 ดีกว่าครับ เปลี่ยนบรรยากาศสลับอารมณ์กันนิด ช่วงนี้หลายคนอาจมีอาการ I miss Japan ซึ่งผู้เขียนก็ทำได้ดีที่สุดคือไปนั่งกินอาหารญี่ปุ่นแถวบ้าน แค่นั้นเอง (ฮา) พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (2) “ฮิชิเรียว” 非思量 เมื่อการ “ไม่หยุดคิด” คือทางรอด
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (1) “จนกว่าโยมจะตายน่ะแหล่ะ”
– เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (2) หนังสือ “ไวยากรณ์ญี่ปุ่นเบื้องต้น” ของอาจารย์สุเทพ น้อมสวัสดิ์
– เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (1) หนังสือ “มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ของอาจารย์สุวินัย
– ยามว่าง เดินชมบ้านแถวโอโนฮาระ แล้วไปต่อคิตะเซ็นริ ต่อด้วยเซ็นริจูโอ (เอาให้จบ)
– ยามว่าง เดินชมบ้านแถวโอโนฮาระ แล้วไปต่อคิตะเซ็นริ ต่อด้วยเซ็นริจูโอ
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”