เหตุที่ต้องมาญี่ปุ่นในช่วงที่อากาศร้อนๆ เดินทีเหงื่อไหลโทรมกาย ตามอารมณ์ดวงอาทิตย์ราวปลายกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคมแบบนี้ ก็เพราะ Sumidagawa Fireworks Festival (隅田川花火大会, Sumidagawa Hanabi Taikai) หรือ “เทศกาลดอกไม้ไฟแห่งสึมิดะ”งานนี้แหล่ะจ้าาาาาาา
เอาละจ้า.. มาถึงไฮไลท์ของทริปนี้กันแล้ว!
เพราะเหตุที่ต้องมาญี่ปุ่นในช่วงที่อากาศร้อนๆ เดินทีเหงื่อไหลโทรมกาย ตามอารมณ์ดวงอาทิตย์ราวปลายกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคมแบบนี้ ก็เพราะงานนี้แหล่ะ “เทศกาลดอกไม้ไฟแห่งสึมิดะ” หลายๆ คนก็เรียกว่า “Sumidagawa Hanabi” แต่ชื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้ก็คือ Sumidagawa Fireworks Festival (隅田川花火大会, Sumidagawa Hanabi Taikai) จ้าาาาาาา

วันนี้ (28 กรกฎาคม 2012) …วันดี วันเหมาะเหม็ง ที่โตเกียวมีงานเทศกาลดอกไม้ไฟ ที่ถือว่ายิ่งใหญ่มากที่สุดงานหนึ่งของญี่ปุ่น Sumidagawa Hanabi เป็นเทศกาลดอกไม้ไฟที่จัดขึ้นที่แม่น้ำสึมิดะ ไม่ไกลจากย่านอะซะคึสะนัก และเนื่องจากงานนี้จัดกันในตอนกลางคืน ตอนกลางวันเราจึงมีเวลาเที่ยวเตร่ ลั้ลลากันนิดหน่อย ซึ่งเราก็ได้เตรียมจัดคิวเจ๋งๆ ไว้ให้ทีมงานที่มาถ่ายทำรายการได้เหนื่อยกันด้วย หึ หึ
คิวแรก… มีนัดตอน 10 โมงเช้า เราก็เลยมีเวลาชิลๆ ตื่นสายกันได้นิดหน่อย กินข้าวเช้ากันได้นิดนึง (ขอสารภาพว่า…พักที่โรงแรม Prince Hotel Shinjuku มา 2 คืนแล้ว ห้องอาหารเช้าของโรงแรมหน้าตาเป็นยังไง ยังไม่เคยเห็นเลย) หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟมุ่งหน้าสู่ย่านอะซะคึซะ ใช้บริการ JR สายสีเขียวยอดนิยม (Yamanote Line) แล้วต่อด้วยสายเอกชน Tsukuba Line ที่สถานี Akihabara ไปลงที่สถานี Asakusa เลย… ขอบอกว่าสถานี Asakusa ของสาย Tsukuba Line นั้นสวยมาก ทางเดินข้างในมีภาพเก่าๆ ของย่านอะซะคึซะให้เราได้เดินดูเล่นๆ จนเพลินทีเดียวเชียวแหล่ะ แต่ทำไมเราต้องมาที่สถานีอะซะคึซะของรถไฟสายนี้นะเหรอ? เหตุผลก็คือพอโผล่ขึ้นมาบนดินปุ๊บ เลี้ยวเล็กๆ แค่ 2 เลี้ยวก็ถึงSukeroku No Yado Sadachiyo Ryokan จุดหมายของเราเลย.. ไม่ต้องเดินเยอะ (^^)

วันนี้ทาง Sadachiyo Ryokan จะเปิดให้เราถ่ายทำรายการ เก็บภาพบรรยากาศที่พักสไตล์ญี่ปุ่นในย่านอะซะคึสะ ที่เป็นธุรกิจในครอบครัว เก่าแก่และยังคงอยู่คู่กับย่านนี้มาจนถึงปัจจุบัน พี่ๆ ป้าๆ น้าๆ อาๆ ที่นี่น่ารักมากๆ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ภาษาอังกฤษก็ใช้ได้เลยทีเดียว มีห้องพักแบบญี่ปุ่นให้เราเลือกขนาดได้ตามจำนวนคนที่จะเข้าพัก (1 – 6 คน) มีห้องอาบน้ำร้อนรวมด้วยนะ แล้วแขกที่มาพักก็จะได้ป้ายไม้สลักชื่อของตัวเอง เป็นของที่ระลึกด้วยหล่ะ …อันนี้เราชอบมาก ทั้งดูคลาสิคและทันสมัยในเวลาเดียวกัน อิ อิ


ที่เราแวะมาที่นี่ก็เพื่อมาแต่งตัวให้กับพิธีกรสาวสวยของเราด้วย ต้องแปลงกายน้องเค้าให้เข้ากับงานเทศกาลฤดูร้อนของญี่ปุ่นกันหน่อย เพราะคนญี่ปุ่นเขามักจะแต่งชุดยูกาตะมาประชันความสวย ความหล่อให้เข้ากับงานเทศกาลแบบนี้ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ขอบอกว่า… พอหลังเที่ยง ย่านอะซะคึซะ ก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากทั้งหนุ่ม สาว เด็ก และคุณลุงคุณป้า ซึ่งแต่งชุดยูกาตะที่ดูอนุรักษ์นิยม แต่สวยงาม มาเดินเล่นกันอย่างเนืองแน่น

หลังจากคุณป้า คุณน้าที่ Sadachiyo Ryokan มะรุมมะตุ้มรุมแต่งตัวให้น้องอร พิธีกรของเราซะจนสวยปิ้ง ดูกลมกลืน เข้ากั้น เข้ากันกับงานเทศกาล ….เสร็จแล้ว เราก็ต้องกล่าวอำลาผู้คนที่แสนจะมีน้ำใจเหล่านี้ แล้วมุ่งหน้าสู่หน้าวัดอะซะคึซะ (ชื่อจริงๆ คือวัดเซนโซจิ) ซึ่งอยู่ห่างจาก Sadachiyo Ryokan เพียงไม่ก็บล็อค… เดินแป๊บเดียวก็ถึงตัววิหารเลย (ประมาณว่าเข้าทางหลังวัดนั่นเอง)
แม่เจ้าโว้ย! ยังไม่ทันเที่ยงวัน ผู้คนทั้งชุดทั่วไปและคนที่แต่งชุดยูกาตะซึ่งตั้งใจมาดูดอกไม้ไฟกันอย่างจริงๆ จังๆ ก็เดินกันให้เพียบ เยอะกว่าช่วงที่มาเที่ยวปกติ ตอนที่ไม่มีงานเทศกาลหลายเท่าตัว ภายในบริเวณลานวัดก็มีแผงลอย ขายของกิน สไตล์งานวัดญี่ปุ่นมากมาย ใจก็อยากจะลอง แต่ต้องขอบาย… เพราะหิวข้าวมากกว่า จึงลากทีมงานทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังซุ้มประตูวัดด้านนอก (ประตูสายฟ้า Kaminarimon) ซึ่งกว่าจะฝ่าฝูงชนออกมาได้ เหงื่อแตกกันเลยทีเดียว…



จากนั้นเราก็เลี้ยวขวา มุ่งหน้าสู่ร้าน Aoi Marushin ร้านเทมปุระที่ค่อนข้างมีชื่อในย่านนี้เลย … เพื่อนๆ ที่เคยมากินเล่าให้ฟังว่า ถ้ามากับกรุ๊ปทัวร์ บางทีเทมปุระก็ไม่ค่อยร้อน และเริ่มจะเหี่ยวๆ บ้างแล้ว แม้รสชาติก็ยังอร่อยอยู่ แต่เวลาหันไปมองโต๊ะอื่นๆ ที่เดินดุ่มๆ เข้ามาสั่ง ก็เห็นเขาได้เทมปุระร้อนๆ ทำเสร็จใหม่ๆ ดูน่าอร่อยกว่าอีก … เราก็เลย จะลองเดินดุ่มๆ เข้าไปสั่งกันมั่งในคราวนี้ พิสูจน์กันหน่อยสิ โอ้ว! มันเป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ ค่ะ มันทอดมาร้อนๆ กุ้งตัวใหญ่ กัดไปแต่ละคำเด้งสู้ฟันมากๆ ไข่ตุ๋นแล้วก็มิโสะซุปก็อร่อย กินอิ่มจนไม่อยากขยับเขยื้อนตัวไปไหนกันเลย ^^”








แต่ The show must go on ดังนั้นเราจึงเดินสายถ่ายภาพ เก็บบรรยากาศผู้คนที่มารอชมเทศกาลดอกไม้ไฟในมุมต่างๆ ในละแวกอะซะคึสะกันอย่างสนุกสนาน …ที่สนุกก็เพราะ… ทำงานไป ก็ซื้อขนมกินกันไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็น ไทยากิ (ขนมรูปปลาไท) น้ำแข็งไสสไตล์ญี่ปุ่น (ใส่เครื่องเพียบ) ซอฟท์ครีม แล้วก็โซดาป๊อบ (เครื่องดื่มซ่าๆ มีลูกแก้วอยู่ที่คอขวด เวลาเปิดจะมีเสียงดัง Pop! และดื่มหมดแล้วต้องคืนขวดซะด้วย ฮะ ฮะ)

แล้วเราก็เดินย้อนกลับมาถึงตัววิหารวัดเซนโซจิกันอีกครั้ง เพื่อจะเดินแยกไปทางด้านหลัง (ประมาณว่าย้อนกลับไปทาง Sadachiyo Ryokan นั่นเอง) แต่คราวนี้เดินไปแค่ครึ่งทาง เพราะเราจะไปเที่ยวสวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่อยู่ห่างจากตัววัดไปนิดเดียวเอง สวนสนุกแห่งนี้มีชื่อว่า Hanayashikiเปิดให้บริการเมื่อปี 1853 (ตอนแรกเปิดเป็นสวนดอกไม้ธรรมดาๆ ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นสวนสนุก) เสียค่าเข้าคนละ 900 เยน ถ้าอยากเล่นเครื่องเล่นเยอะๆ ก็ซื้อ Free Pass เพิ่มอีกคนละ 2,200 เยน แต่ถ้าจะเลือกเล่นเป็นอย่างๆ ไป ก็ดูตามระดับของเครื่องเล่น ซึ่งเขาจะระบุเอาไว้ว่าเครื่องเล่นอะไรต้องซื้อกี่ Ticket …เข้าใจง่ายๆ ว่าจ่าย Ticket ละ 100 เยน ก็แล้วกันนะ เครื่องเล่นบางตัวก็ต้องการแค่ 2 – 3 Tickets แต่บางตัวก็ต้องจ่ายถึง 4 Tickets ต่อการเล่นหนึ่งครั้งจ้าาาา




การได้เข้ามาในสวนสนุกในวันที่มีเทศกาล ก็น่าประทับใจไปอีกแบบหนึ่งนะ เพราะที่ญี่ปุ่นนี่… ไม่ว่าจะวัยไหนๆ ปกติก็เคยเห็นเดินเข้าสวนสนุกกันอยู่แล้ว (ทั้ง Disneyland, Disney Sea แล้วก็ USJ) ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือรุ่นปู่ย่า แต่ที่น่าประทับใจในครั้งนี้ก็เพราะ…เราจะได้เห็นพวกเขาใส่ยูกาตะเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกด้วยอ่ะ ดูขัดแย้งกันสุดๆ แต่ก็ดูน่ารักมากๆ ด้วย มองไปบนรถไฟเหาะก็มีแต่คนใส่ยูกาตะ คนที่รอคิวเข้าบ้านผีสิงก็ใส่ยูกาตะ ขนาดเครื่องเล่นหวาดเสียวๆ (เสียวจะโป้นะ) เขาก็ยังใส่ยูกาตะเล่นกันเลย คนญี่ปุ่น…เปรี๊ยวมากค่าาาาาา

หลังตกอยู่ในวังวนของสวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นกันมาสักพัก เราก็ระลึกได้ว่า…ถ้าไม่รีบไปจองคิวที่ริมฝั่งแม่น้ำสึมิดะ รับรองว่าหามุมสวยๆ สำหรับให้ทีมกองถ่ายเราเก็บภาพไม่ได้แหง๋ๆ งานนี้เขาจะจุดพลุขึ้นมา 2 จุด คือที่บริเวณระหว่างสะพาน Sakurabashi กับสะพาน Kototoibashi ส่วนจุดที่สองอยู่ระหว่างสะพาน Komagatabashi กับสะพาน Umayabashi เราเลือกจุดแรก เพราะน่าจะเดินใกล้กว่า..และไม่ต้องย้อนไปทางวัดซึ่งคนน่าจะเยอะมาก เลือกเดินมาทางนี้.. แรกๆ ก็ยังไม่ค่อยมีเพื่อนร่วมทางเท่าไหร่ (เขาปิดถนนให้เราเดินกันชิลๆ เลย) แต่พอใกล้แม่น้ำสึมิดะ คนก็ยิ่งหนาแน่น กว่าจะผ่านเข้าไปในแต่ละจุดได้..เหนื่อยมาก บางจุดเจ้าหน้าที่ก็เริ่มกั้นไม่ให้เดินผ่านเข้าไปแล้ว เพราะคนเยอะจนแออัดเกินไป
ขอแนะนำอย่างจริงใจเลยว่า… ผู้ที่ตั้งใจจะมาชมเทศกาลดอกไม้ไฟที่นี่อย่างแรงกล้า ควรจะมาจองที่กันแต่หัววัน เอาข้าวกล่อง ของกิน แล้วแต่ชอบ มาปูเสื่อสังสรรค์รอเวลากันให้เต็มที่ไปเลย แล้วคุณจะได้วิวสวยๆ ให้ถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่



ยิ่งเข้าใกล้ริมฝั่งแม่น้ำคนยิ่งเยอะจริงๆ เบียดกันแทบตายกันไปข้างหนึ่ง (แค่เบียดๆ นะ แล้วก็เฉพาะจุดด้วย ถ้าอยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำหน่อย ก็ไม่ต้องเบียดใคร) ญี่ปุ่นเขาพยายามจัดระเบียบกันอย่างเต็มที่นะ (นี่ถ้าเป็นเมืองไทย รับรองมีเหยียบกันตาย… ไม่ก็ตีกันตาย) และแล้ว… ความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าคนเยอะแค่ไหน… ทีมของเราผลัดหลงกันจนได้
ไม่ต้องตกใจ… เราตกลงกันไว้แล้วเผื่อว่าจะเกิดกรณีแบบนี้ …ส่วนที่ต้องถ่ายทำรายการเกี่ยวกับเทศกาลนี้ (รายการ FAST FEST) เขาก็พยายามหามุมสวยๆ ใกล้ๆ ฝั่งแม่น้ำกันต่อไป ส่วนชุดที่เหลือซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นถ่ายทำรายการเกี่ยวกับเทศกาล แต่เป็นรายการกิน! (รายการก่อนตายต้องได้กิน) เราก็พาเดินย้อนกลับไปที่วัดเซนโซจิ เพื่อถ่ายทำเกี่ยวกับของกินตามแผงลอยในงานเทศกาลของญี่ปุ่นแทน ระหว่างทางที่เดินสวนคนอื่นออกมา ก็ยังมีโอกาสได้เห็นดอกไม้ไฟด้วยนะ แม้พลุจุดอยู่ที่แม่น้ำนู่น แต่สูง… มองเห็นได้ไกลจ้าาาาา ขนาดเดินย้อนกลับมาตั้งไกล ยังสวยมากเลยอ่ะ (คราวหน้าจะกลับมาใหม่..จะตั้งใจมาดูพลุอย่างเดียวเลย ฮึ่ม!)
น่าเสียดายที่งานเทศกาลดอกไม้ไฟ Sumidagawa Firework ในปี 2011 ถูกยกเลิกไปเพราะตอนต้นปีญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ เขาจึงไม่ค่อยจัดงานรื่นเริงกัน ส่วนเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2013 ที่ผ่านมา ก็ต้องถูกยกเลิกอีกเพราะฝนตกหนักและลมแรงมาก ดังนั้น 3 ปีที่ผ่านมานี้ นักท่องเที่ยวจึงมีโอกาสได้ดูพลุที่นี่กันแค่ในปี 2012 เท่านั้น (เราโชคดีมากๆ ที่ได้ดู)











เกือบๆ สามทุ่ม ทีมงานทุกคนก็มารวมตัวกันนั่งหมดแรงอยู่ที่หน้าวิหารน้อยทางด้านซ้ายของวิหารหลักของวัดเซนโซจิ (วิหารน้อยที่มีพระพุทธรูปประจำวันราศีเกิดอยู่น่ะ… เค้าว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ… เรามาสักการะที่วิหารนี้เกือบทุกครั้งที่มาวัดนี้เลย) แต่ละคนเหงื่อโทรมกาย เพราะผู้คนเยอะมากจริงๆ กว่าจะเดินมาถึงวัดก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นัก แล้วยังหิวกันจนจะเป็นลม สุดท้ายก็เลยหาของกินกันตามแผงลอยงานวัดเนี่ยแหล่ะ เหอ เหอ


ช็อตสุดท้าย… การเดินทางกลับ (คิดผิดสุดๆ เฮ้อ!) เราคิดว่าสถานี JR Asakusa (Asakusabashi) น่าจะเดินใกล้กว่า เลยออกที่ประตูหน้าวัด (Kaminarimon) เหมือนตอนจะไปกินเทมปุระเมื่อกลางวัน แต่พอถึงซุ้มประตูวัด คราวนี้เราเดินเลี้ยวซ้ายแทน… ก็ไกลได้โล่อยู่เหมือนกัน แต่ที่ว่าคิดผิดแบบสุดๆ ก็คือมาใช้บริการ JR ในวันงานเทศกาลแบบนี้ คนเยอะแน่นสถานีมากๆ แอบคิดเล่นๆ ว่าเดินไกลอีกนิด ย้อนกลับไปที่สถานี Asakusa ของ Tsukuba Line คนจะน้อยกว่านี้มั้ยน้ออออ (มันเป็นสายเอกชนนี่ แพงกว่านิดนึง … แต่ก็ไม่แน่ คนอาจจะแน่นกว่าก็ได้ ฮะ ฮะ)
เอาหล่ะ! สุดท้ายเราก็เดินทางกลับถึงโรงแรม Prince Shinjuku กันอย่างสวัสดิภาพ ในสภาพที่ไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว อาบน้ำนอนเลยดีกว่า
พรุ่งนี้… (29 กรกฎาคม 2012) จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ในกรุงโตเกียวสำหรับทีมงานกองถ่ายทั้งสองรายการแล้ว ….เราจะไปตะลุยโอไดบะกันอีกครั้งหนึ่งจ้าาาาา
เรื่องและภาพโดย : The 8th Ronin www.marumura.com
ขอบคุณข้อมูล :
http://www.sadachiyo.co.jp/e/eindex.html
http://www.hanayashiki.net/e/index.html
http://sumidagawa-hanabi.com/index_eg.html
http://www.princehotels.com/en/shinjuku
http://www.wifi-rental.jp
สนับสนุนโดย :