คั่นรายการโดย Lordofwar Nick
ถอดรหัส “รัฐนิยม” (5) พันธมิตรของเรา เล่นเอาเศรษฐกิจแย่
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่ได้พูดถึงประวัติศาสตร์โดยไปโฟกัสที่ประวัติศาสตร์สงครามไปแล้ว คราวนี้อยากจะมาพูดถึงในแง่เศรษฐกิจกันบ้าง ว่า การที่ประเทศไทยจากที่ว่า “ยอมให้ผ่านแดน” ไปเป็น “พันธมิตร” กับกองทัพญี่ปุ่นนั้น มีราคาที่ต้องจ่ายในด้านเศรษฐกิจอะไรยังไงบ้าง
หาดพูดแบบกลางๆ ในสมัยโบราณนั้น การทำสงครามไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ซับซ้อนไปกว่าการปล้นเมือง ปล้นชิงทรัพยากรของชนชาติอื่น มาบำรุงบำเรอคนในชนชาติของตน ได้ที่ดินก็เอามาเพาะปลูก สร้างบ้านเมือง ได้ผู้คนก็เอามาเป็นแรงงานทาส ได้แก้วแหวนเงินทองก็เอามาใช้สอย ก็อย่างอาณาจักรโรมันนั่นแหละครับ ยิ่งใหญ่ร่ำรวยได้จากการปล้นการตีชิงเอาบ้านอื่นเมืองอื่นมาเป็นของตน
แต่พอมายุคหลังเมื่อคนเรามีแนวคิดทางสังคม ศีลธรรม เยอะขึ้น ก็เริ่มแต่งแต้มเหตุผลของการทำสงครามให้ดูดี ดูยิ่งใหญ่ ต้องมีแนวคิดอุดมการณ์อะไรอยู่ข้างหลัง ซึ่งไปๆ มาๆ มาถึงสมัยนี้ บางอันยังมองไม่ออกเลยว่าทำแล้วใครจะรวยขึ้น แต่บางคนเขาว่าไอ้ที่ทำแล้วรวยไม่ได้รวยจากการได้ดินแดนได้ทรัพยากรหรอก รวยเพราะขายอาวุธต่างหาก แต่เอาจริงๆ สงครามมันก็คือการลงทุน ถ้าชนะก็อาจรวย อาจมีกำไร (อาจนี่คือใช่หรือไม่ก็ได้) แต่ถ้าแพ้ มันคือการขาดทุน และบางทีรบไปก็ขาดทุนไปก็มี
แล้วการที่ไทยไปเป็นพันธมิตรร่วมกับญี่ปุ่นรบกับสัมพันธมิตร กำไรหรือขาดทุนล่ะ? ถามก่อนว่าเราได้อะไรก่อนดีกว่า
ในการทำสัญญาพันธไมตรี ญี่ปุ่น-ไทย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นั้น ญี่ปุ่นได้มอบ “ของขวัญ” คือ เมืองเชียงตุง เมืองพาน และเมืองมลายูอีกสี่เมือง ไทรบุรี, กลันตัน, ตรังกานู และปะลิส รัฐบาลไทยตอนนั้นเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า “สี่รัฐมาลัย”…
ถ้าญี่ปุ่นไม่แพ้สงคราม ประเทศไทยอาจไม่มี “ไฟใต้” รึเปล่า 5555 แค่คิดขำๆ น่ะครับ แต่มันไม่เกิดขึ้นจริงหรอก ดีไม่ดีอาจเป็นไฟที่กองใหญ่กว่าเดิมก็ได้ใครจะไปรู้ 5555 ปกติหัวเมืองพวกนี้ก็ปกครองไม่ง่ายอยู่แล้วเพราะเป็นพวกต่างศาสนา ยากที่จะกล่อมเกล่าให้มีโลกทัศน์ไปในทางเดียวกัน
นี่คือสิ่งที่เรา “ได้” ซึ่งก็ได้ชั่วประเดี๋ยวเดียว สุดท้ายเราก็ต้องคืนให้อังกฤษไป และมันก็เป็นจุดเริ่มของปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญจนถึงปัจจุบัน
แล้วสิ่งที่เราต้อง “จ่าย” ล่ะ? อ่ะมาดูกัน เอาแบบ quick facts ละกันนะครับ
-
- ปกติไทยเรายุคนั้นขายข้าวให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว และการที่ญี่ปุ่นทำสงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องซื้อข้าวจากไทยมากขึ้น! แต่ แต่ เราก็ได้แต่ขายข้าวให้ญี่ปุ่นครับ เราขายข้าวให้พวกประเทศยุโรปและอเมริกาไม่ได้ (เพราะเป็นศัตรูกันไปแล้ว) อ้อ ยางพารากับดีบุกด้วย เรื่องขายข้าวให้ญี่ปุ่นก็มีปัญหาเพราะมีเรื่องโวยวายว่า ญี่ป่นบอกให้ใช้วิธี Ex-Godown (ส่งมอบที่คลังสินค้าของผู้ขาย) แทน F.O.B. (ผู้ขายจะจัดการเรื่องส่งมอบถึงท่าเรือต้นทาง) ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวได้แค่หาบละ 9.10 บาท ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ยอม บอกต้องซื้อขายที่ราคา 9.60 บาท
- ญี่ปุ่นเคยเสนอจะซื้อยางพาราจากไทย ปีละ 30,000 ตัน แต่ดันไปซื้อจากมลายูและชวาแทน (เพราะถูกกว่า) รัฐบาลไทยต้องยอมลดราคายางพารา ลดอากรขาออกเพื้อดั๊มป์ราคา แต่ญี่ปุ่นซื้อยางพาราเอาไปทำยางรถยนต์ กลับขายแพงซะงั้น ก็อย่างว่า สินค้าอุตสาหกรรม มันบวก “มูลค่าเพิ่ม” เข้าไปได้
- เนื่องจากเราได้เป็นศัตรูกับชาติสัมพันธมิตรไปแล้ว จึงไม่อาจผูกค่าเงินบาทเข้ากับดอลลาร์หรือปอนด์ได้ (เงินที่ฝากอังกฤษกับอเมริกาไว้ก็โดนยึด) ก็เลยต้องกำหนดค่าเงินบาทกันใหุม่ กลายเป็น 1 บาท = 1 เยน (ก่อนหน้านั้น 1 บาท = 1.50 เยน) เงินบาทไทยราคาเลยถูกลงอย่างแรง เท่ากับราคาเหลือสองในสามจากเดิม และเวลาจะซื้อขายจ่ายกัน ให้ใช้เงินเยน! อา ก็ต้องหาเงินเยนมาเพื่อได้แลกมาใช้ คิดแบบโง่ๆ ก่อนหน้านั้น จ่าย 2 บาท แลกได้ 3 เยน ตอนนี้ ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 3 บาทแน่ะ! พิมพ์แบงค์ไปสิครับ (แล้วก็เงินเฟ้อ)
- รัฐบาลญี่ปุ่นยังกู้เงินรัฐบาลไทยไปใช้เพื่อการทหารด้วย กู้เป็นเงินบาทนะ แลกกับการขายทองคำ น้ำมัน เหล็กกล้า ฯลฯ ให้ กู้เงินบาทมาใช้จ่ายในไทย พิมพ์แบงค์ไปสิ อา
งานนี้ของแพงทั้งแผ่นดินแน่นอนไม่ต้องสงสัย
มีเกร็ดขำๆ มาเล่าปิดท้าย จริงแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่มันเข้ากับเนื้อเรื่องตอนนี้ดี ก็คือว่า พอทหารญี่ปุ่นเข้ามาในไทยเยอะๆ ก็มีบางพวกบางกลุ่มได้คิดวิธีที่จะเบ่งกินฟรีไม่ต้องจ่ายสตางค์ คือยกพวกไปกินก๋วยเตี๋ยว พอเจ้าของร้านจะเก็บเงิน ก็ชักดาบให้เจ้าของร้านดู (ก็ดาบ “กุนโต” ที่พวกนายสิบเขาพกกันนั่นแหละ) เป็นการข่มขู่กลายๆ ก็เลยกลายเป็นสำนวน “ชักดาบ”
ที่ฮาสุดๆ คือ เชื่อไหม มันมีเพลงมาร์ชเพลงหนึ่งของทหารญี่ปุ่นยุคนั้น ชื่อว่าเพลง “บัตโตไต” (抜刀隊 “กองกำลังชักดาบ”) เห้ย มาเป็นกองกำลังเลยนาเว้ยเห้ย 555 ว่าแล้วก็ จัดไปครับ
เอาล่ะครับ การเล่าประวัติศาสตร์ก็จบแต่เพียงเท่านี้ก่อน เรามาอ่านรัฐนิยมกันต่อครับ
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๙
เรื่อง ภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดีด้วยรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า การที่ชาติไทยจะดำรงถาวรและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปนั้น ย่อมต้องใช้ภาษาและหนังสือของชาติเป็นส่วนประกอบอันสำคัญ คณะรัฐมนตรีจึ่งได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ ดั่งต่อไปนี้
๑.ชนชาติไทยจะต้องยกย่อง เคารพ และนับถือภาษาไทย และต้องรู้สึกเป็นเกียรติยศในการพูดหรือใช้ภาษาไทย
๒.ชนชาติไทยจะต้องถือว่า หน้าที่ของพลเมืองไทยที่ดีประการที่หนึ่งนั้น คือ ศึกษาให้รู้หนังสือไทยอันเป็นภาษาของชาติ อย่างน้อยต้องให้อ่านออกเขียนได้ ประการที่สอง ชนชาติไทยจะต้องถือเป็นหน้าที่อันสำคัญในการช่วยเหลือสนับสนุนแนะนำชักจูงให้พลเมืองที่ยังไม่รู้ภาษาไทยหรือยังไม่รู้หนังสือไทยให้ได้รู้ภาษาไทยหรือให้รู้หนังสือไทยจนอ่านออกเขียนได้
๓.ชนชาติไทยจะต้องไม่ถือเอาสถานที่กำเนิด ภูมิลำเนา ที่อยู่ หรือสำเนียงแห่งภาษาพูดที่แปร่งไปตามท้องถิ่น เป็นเครื่องแสดงความแตกแยกกัน ทุกคนต้องถือว่า เมื่อเกิดมาเป็นชนชาติไทย ก็มีเลือดไทยและพูดภาษาไทยอย่างเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างกันในการกำเนิดต่างท้องที่หรือพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงต่าง ๆ กัน
๔.ชนชาติไทยจะต้องถือเป็นหน้าที่ในการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีแห่งชาติ ช่วยแนะนำชักชวนกันสั่งสอนผู้ที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจหน้าที่พลเมืองดีของชาติให้ได้รู้ได้เข้าใจในหน้าที่พลเมืองดีแห่งชาติไทย
ประกาศมาณวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๓
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๑๐
เรื่อง การแต่งกายของประชาชนชาวไทยด้วยรัฐบาลได้สังเกตุเห็นว่า การแต่งกายของประชาชนชาวไทยในสาธารณสถานหรือที่ชุมนุมชนยังไม่สุภาพเรียบร้อยสมกับวัฒนธรรมของชาติไทย
คณะรัฐมนตรีจึ่งได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ ดั่งต่อไปนี้
๑.ชนชาติไทยไม่พึงปรากฎตัวในที่ชุมชน หรือสาธารณะสถาน ในเขตต์เทศบาล โดยไม่แต่งกายให้เรียบร้อย เช่น นุ่งแต่กางเกงชั้นใน หรือไม่สวมเสื้อ หรือนุ่งผ้าลอยชาย เป็นต้น
๒.การแต่งกายที่ถือว่าเรียบร้อยสำหรับประชาชนชาวไทย มีดั่งต่อไปนี้
ก.แต่งเครื่องแบบตามสิทธิและโอกาสที่จะแต่งได้
ข.แต่งตามแบบสากลนิยมในทำนองที่สุภาพ
ค.แต่งตามประเพณีนิยมในทำนองที่สุภาพ
ประกาศมา ณ วันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔
ในฉบับที่ ๙ นั้น ปัญหาสำคัญก็คือว่า แต่ไหนแต่ไรมา ประเทศไทยนั้นมีอัตราการรู้หนังสือที่ต่ำ คำว่าต่ำในที่นี้หมายถึงมีคนอ่านหนังสือ (ไทย) ไม่ออกมากกว่าคนที่อ่านออก และถ้าจะพูดลงลึก คนในพื้นที่ต่างๆ ที่เคยเป็นประเทศราช เคยเป็นหัวเมืองห่างไกล คนก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะเรียนอานเขียนภาษาไทยเท่าไหร่ คล้ายๆ จะมองว่าเอาไว้เรียนสำหรับคนที่จะไปทำงานราชการเท่านั้น (แต่ไม่ใช่สำหรับชาวบ้าน)
แต่ในยุคที่สังคมมันไม่ใช่สังคมเล็กๆ แค่คุยกันเองในหมู่บ้านหรือตำบล แต่เป็นสังคมระดับประเทศที่ต้อง “เชื่อมโยงถึงกัน” สื่อถึงกันในระดับใหญ่ การอ่านหนังสือไม่ออกและพูดภาษาคนละสำเนียงกัน (ซึ่งต่างกันรุนแรงขนาดอาจฟังไม่รู้เรื่อง) เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารอย่างแรง และเป็นช่องว่างทางจิตใจด้วย ว่าพูดคนละภาษา เป็นคนละพวก คนละเผ่า คนละกลุ่มกัน ซึ่งมันไม่โอเค
เอาอย่างถ้าท่านผู้อ่านไปร้านอาหาร เจอเด็กเสิร์ฟต่างด้าว พูดไทยไม่ชัด ฟังคำสั่งออเดอร์อาหารไม่รู้เรื่อง สั่งอย่างได้อย่าง หรือไม่ก็ ignore ไม่ฟังคำสั่งเราเลย ท่านผู้อ่านรู้สึกโอเคไหมครับ?
ส่วนฉบับที่ ๑๐ นั้น นานแล้วที่มีคนหยิบเรื่องนี้มาโจมตีว่า บังคับให้สวมหมวก ห้ามนุ่งโจงกระเบน ห้ามกินหมาก บลาๆ ฯลฯ นัยว่าเพื่อใส่ไคล้ โทษด่าว่าเป็นการข่มขืน ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิม บลาๆ ผมอ่านข้อความแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันคือการ refine ยกระดับทำให้ดีขึ้น ประณีตขึ้น มีความเป็นสุภาพชนมากขึ้นต่างหาก (ค.แต่งตามประเพณีนิยมในทำนองที่สุภาพ) และสิ่งที่ต้องการให้ทำนั้น ก็จำกัดบริบทอยู่ใน “ที่สาธารณะ” (ฉะนั้นการจะถอดเสื้อนั่งอยู่กับบ้านหรือเดินไปเดินมาในบ้านก็ไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐนิยมฉบับนี้)
ผมหวังว่าการนำเอามาเผยแพร่ในครั้งนี้ คงจะทำให้ท่านผู้อ่านมองภูมิหลังและเจตนาของรัฐนิยมด้วยใจที่เป็นธรรม ให้ความเป็นธรรมต่อแนวคิดนี้นะครับ
เอาล่ะครับ การเล่าประวัติศาสตร์ตรงนี้ เราก็คงจะมาถึงตอนสุดท้ายในตอนหน้าแล้ว อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับสวัสดีครับ
บทความโดย : Lordofwar Nick www.marumura.comเรื่องแนะนำ :
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (4) เราจะไม่มี “พม่าไทใหญ่” ถ้าเราได้มี “สหรัฐไทยเดิม”
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (3) “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” Will Make Thailand Great Again
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (2) “ญี่ปุ่นมหามิตร” เพื่อเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ยังไง
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (1) “เจแปนโมเดล” เมื่อไทยเราจะเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่าง (แทนฝรั่ง)
– ว่าด้วย “ชาตินิยมใหม่” (Neo-nationalism) กับปรากฎการณ์ล่าสุดในญี่ปุ่นและไทย#ถอดรหัส “รัฐนิยม” (5) พันธมิตรของเรา เล่นเอาเศรษฐกิจแย่




