เหงื่อโชกชมโบสถ์มรดกโลกนางาซากิ ตอนที่ 6 : อนุสาวรีย์และพิพิธภัณฑ์ 26 นักบุญมรณสักขีแห่งญี่ปุ่น (ภาคปลาย)
สวัสดีค่ะ
มีการประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า พระสันตปาปาฟรังซิสจะเสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 23 – 26 พฤศจิกายน 2019 หลังจากเสร็จสิ้นการเสด็จเยือนประเทศไทยในวันที่ 20 – 23 พฤศจิกายน โดยจะเสด็จไป 3 เมืองได้แก่ โตเกียว นางาซากิ และฮิโรชิม่า เป็นการเสด็จเยือนญี่ปุ่นของพระสันตปาปาในรอบ 38 ปีหลังจากที่พระสันตะปาปายอห์น พอลที่ 2 เคยเสด็จมาในปี 1981 ค่ะ
สำหรับกำหนดการเยือนเมืองนางาซากิในวันที่ 24 พฤศจิกายน พระสันตปาปาฟรังซิสจะเสด็จด้วยเครื่องบินจากโตเกียวไปที่นางาซากิ เสด็จไปที่แสดงปาฐกถาที่สวนสันติภาพ สักการะอนุสาวรีย์นักบุญมรณสักขีทั้ง 26 และประกอบพิธีสหบูชามิสซาขอบพระคุณที่สนามกีฬา Big N Stadium ในช่วงบ่ายก่อนเสด็จต่อไปยังเมืองฮิโรชิม่า
ในตอนที่แล้วป้าหมวยยยจัดเต็มถึงประวัติของ 26 นักบุญมรณสักขีแห่งญี่ปุ่นที่ถูกประหารบนเนินนิชิซากะ สำหรับตอนนี้เราจะมาชมสิ่งปลูกสร้างที่เหลือได้แก่ พิพิธภัณฑ์ 26 นักบุญมรณสักขี และโบสถ์นักบุญฟิลิปป์แห่งเยซูกันต่อนะคะ
พิพิธภัณฑ์ 26 นักบุญมรณสักขี (日本二十六聖人記念館 Nihon Nijūrokuseijin Kinenkan / Twenty Six Martyrs Museum)
พิพิธภัณฑ์ 26 นักบุญมรณสักขีแห่งญี่ปุ่น
พิพิธภัณฑ์นี้อยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาในพื้นที่นางาซากิและบริเวณใกล้เคียง ตั้งแต่การมาถึงญี่ปุ่นของฟรังซิสเซเวียร์ในยุคแรก ๆ ยุคเบียดเบียนศาสนาที่มีผู้ยอมตายเพื่อรักษาความเชื่อ ยุคปกปิดตัวตนของคริสตังลับ และยุคฟื้นฟูหลังได้รับอิสรภาพในการนับถือศาสนา แต่ละชิ้นมีคำบรรยายทั้งภาษาญีปุ่น ภาษาอังกฤษ และบางส่วนเป็นภาษาเกาหลี เป็นสถานที่หนึ่งที่ผู้สนใจในประวัติศาสตร์ด้านนี้ และคริสตชนควรเข้ามาเยี่ยมชม
ภาพโมเสคตกแต่งด้านข้างพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับอนุสาวรีย์และเปิดใช้งานในปี 1962 ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาขึ้นเป็นนักบุญของมรณสักขีทั้ง 26
ตัวอาคารสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กมี 4 ชั้น ออกแบบโดยคุณอิมาอิ เคนจิ (今井兼次 Imai Kenji) สถาปนิกที่เป็นคริสตชนคาทอลิก กำแพงฝั่งตะวันออกตกแต่งลวดลายโมเสคด้วยเครื่องกระเบื้องที่ได้รับบริจาคจากสถานที่ต่าง ๆ ตลอดเส้นทางจากเกียวโตมาถึงนางาซากิ รวมทั้งจากสเปนและเม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของนักบุญบางท่านด้วย
เมื่อเดินมาตามทางเดินด้านซ้ายมือของอนุสาวรีย์เพื่อเข้าสู่พื้นที่พิพิธภัณฑ์ สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจผู้เข้าชม คือภาพโมเสคก้อนหินที่ประดับอยู่ด้านหลังแผ่นหินอนุสาวรีย์
ภาพโมเสค “เส้นทางสู่นางาซากิ” ด้านหลังอนุสาวรีย์
ภาพโมเสคนี้เป็นผลงานของคุณอิมาอิ มีชื่อว่า “長崎への道” (Nagasaki e no Michi หรือ The Road to Nagasaki) แสดงความทุกข์ยากในการเดินทางและจิตใจกล้าหาญของนักบุญทั้ง 26 ท่านที่ออกเดินทางจากเกียวโตในวันที่ 4 มกราคม 1597 และเดินทางถึงนางาซากิอันเป็นปลายทางกางเขนในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน
กลุ่มลูกองุ่นทางด้านขวามือแทนนักบุญทั้ง 26 และภาษาละติน “Susum Corda” แปลว่า “จงยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า” สื่อถึงการภาวนายกจิตใจของท่านในการเดินทางอันยากลำบาก ด้านหน้าทางเข้ามีรูปปั้นชายในชุดเสื้อขาวกางเกงดำ ดูลักษณะคล้ายคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าคนญี่ปุ่น ท่านนี้คือ นักบุญลอเรนโซ รุยซ์ (Saint Lorenzo Ruiz) นักบุญองค์แรกของฟิลิปปินส์ที่ได้รับการสถาปนาในปี 1987
นักบุญลอเรนโซ รุยซ์ ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์
ท่านเป็นลูกครึ่งจีน-ฟิลิปปินส์ เกิดที่กรุงมนิลาในปี 1600 ในครอบครัวคาทอลิกที่มีบิดาเป็นชาวจีนและมารดาเป็นชาวฟิลิปปินส์ ท่านแต่งงานและมีบุตรสองคน ต่อมาถูกใส่ร้ายว่าฆ่าชาวสเปนจึงหนีขึ้นเรือพร้อมกับบาทหลวงคณะโดมินิกันในปี 1636 มายังเกาะริวคิวหรือโอกินาวาในปัจจุบัน แต่เวลานั้นเป็นช่วงรัฐบาลกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์อย่างเข้มข้น ท่านและบาทหลวงคนอื่น ๆ จึงถูกจับแล้วนำตัวมายังนางาซากิเพื่อทรมานด้วยทัณฑ์ “อานะสึริ”
ทัณฑ์อานะสึริ ภาพจากภาพยนต์ Silence (2016)
อานะสึริ (穴吊り Anazuri) เป็นหนึ่งในวิธีทรมานอันทารุณโหดร้ายที่รัฐบาลมักนำมาใช้ทรมานคริสตังให้ละทิ้งศาสนา นักโทษจะถูกจับแขวนห้อยกลับหัว ลำตัวถูกมัดเป็นช่วง ๆ ไม่ให้อวัยวะภายในตกจากตำแหน่ง อาจยกเว้นส่วนมือไว้เพื่อให้ส่งสัญญาณได้ ส่วนลำตัวครึ่งบนและศีรษะห้อยอยู่ในหลุมที่บรรจุสิ่งโสโครกเน่าเหม็น มีแผ่นปิดพอดีตรงท่อนบนหรือลำคอเพื่อจำกัดอากาศหายใจ มีการเจาะรูหรือกรีดที่ศีรษะนักโทษเพื่อลดความดันเลือด นักโทษจะต้องทรมานนานหลายวันกว่าจะเสียชีวิตจากเลือดคั่งในสมองในท้ายที่สุด
คริสตังจำนวนไม่น้อยยอมทรมานจนเสียชีวิตด้วยทัณฑ์นี้ดีกว่าละทิ้งศาสนารวมทั้งลอเรนโซซึ่งเสียชีวิตในวันที่ 27 กันยายน 1637 และต่อมาได้รับสถาปนาเป็นนักบุญพร้อมกับโธมัส นิชิและเพื่อนรวม 15 คนโดยสมเด็จพระสันตปาปา ยอห์น พอลที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1987
เมื่อเข้ามาภายในอาคาร จะพบเคาท์เตอร์จำหน่ายบัตรเข้าชมและร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าที่ระลึก หนังสือ และศาสนภัณฑ์ ณ ตอนที่ป้าหมวยยยไปชม สามารถถ่ายภาพภายในพิพิธภัณฑ์ได้แต่ห้ามใช้แฟลชและขาตั้งกล้อง (กรุณาสอบถามเจ้าหน้าที่อีกครั้ง)
ภาพนูนต่ำ 26 กางเขนล้อมรอบสัญลักษณ์อัลฟาและโอเมกา
ส่วนพิพิธภัณฑ์มี 2 ชั้น แบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ 10 โซน ส่วนอีกสองชั้นที่เหลือเป็นส่วนสำนักงานและคลังข้อมูล
ชั้น 1 ประกอบด้วยส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาทั่วไป การเข้ามาของคริสต์ศาสนาในญี่ปุ่น การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับตะวันตก การเบียดเบียนศาสนา การปกปิดตัวตนของคริสตังลับ และการฟื้นฟูศาสนา
วัตถุโบราณสำคัญที่จัดแสดงที่ชั้น 1 นี้ ได้แก่ จดหมายจากนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ที่เขียนถึงกษัตริย์ยอห์นที่ 3 แห่งโปรตุเกส โดยส่งจากเมือง Amboina (ปัจจุบันอยู่ในอินโดนีเซีย) ในปี 1546, จดหมายของจูเลียน นาคาอุระ (ジュリアン中浦 Julian Nakaura) หนึ่งในคณะยุวทูตเท็นโชที่เดินทางจากญี่ปุ่นไปยังยุโรป, แผนที่โบราณ, ภาพวาด, กางเขน, พระรูปพระเยซูและพระแม่มารีย์, เหรียญบูชา, สายประคำโบราณ, ไปจนถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่คริสตังลับใช้เพื่อดำเนินความเชื่อภายใต้พิธีกรรมและวัตถุของศาสนาอื่น เช่น รูปปั้นพระโพธิ์สัตว์มาเรียคันนงที่ด้านหลังมีกางเขนสลักไว้เป็นต้น
จดหมายฉบับลายมือจริงของคุณพ่อฟรังซิส เซเวียร์เขียนถึงกษัตริย์ยอห์นที่ 3 แห่งโปรตุเกส
กระบัง (โกร่ง) ดาบคริสตังในยุคก่อนเบียดเบียนศาสนา
ซามุไรที่เข้ารีตเป็นคริสตังนิยมทำกระบังดาบ (鍔 Tsuba) เป็นลวดลายกางเขน
ภาพพิมพ์ Our Lady of Seville เทียบกับภาพต้นแบบ
Virgen de la Antigua ที่เซบีย่า ประเทศสเปน (ภาพจาก Wikipedia)
ภาพ Our Lady of Seville (セビリアの聖母 Sebiria no Seibo) เป็นภาพพิมพ์ทองแดง (Chalcography) ซึ่งทำขึ้นจากแม่พิมพ์ copperplate แกะสลักเป็นภาพพระแม่รีย์และพระบุตร โดยมีต้นแบบจากภาพวาดบนผนัง Virgen de la Antigua ที่อาสนวิหารเซบีย่า ประเทศสเปน
ด้านล่างของภาพสลักว่า “in Sem Japo 1597” (in the Japanese Seminary) จึงสันนิษฐานว่า แม่พิมพ์น่าจะน่าจัดทำขึ้นที่สามเณราลัยชั้นต้น (เซมินาริโย) ที่อาริเอะในชิมาบาระในปี 1597
ในช่วงเบียดเบียนศาสนา แม่พิมพ์ได้ถูกนำออกไปนอกประเทศ และคุณพ่อเปอตีต์ฌองที่โบสถ์โออุระไปพบเข้าที่กรุงมนิลาในปี 1869 พร้อมกับภาพครอบครัวศักดิ์สิทธิ์อีกภาพหนึ่ง จึงได้ถวายแก่พระสันตปาปาปิอุสที่ 9 แต่พระองค์ประสงค์ให้เก็บรักษาแม่พิมพ์ไว้ที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสถานที่จัดทำ ปัจจุบันแม่พิมพ์นี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่อัครสังฆมณฑลนางาซากิ
แผ่นบรอนซ์รูปปิเอตาจากอิตาลีที่ยังมีรายละเอียดสวยงาม
แผ่นบรอนซ์รูปพระแม่มารีย์รับพระศพพระเยซู (Pieta – ปีเอตา) จากอิตาลี ทำขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ขุดพบที่นางาซากิในปี 1962 มีรายละเอียดสมบูรณ์มาก ผิดกับแผ่นบรอนซ์จากยุคเดียวกันที่เหลือมาถึงในปัจจุบันซึ่งมักถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลนำมาใช้บังคับให้คริสตังเหยียบในพิธีเอะบุมิ (絵踏み E-bumi) จนรายละเอียดเลือนหาย
พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ใช้บูชาแทนพระเยซูของคริสตังลับ
รูปหล่อโลหะพระศรีอริยเมตรไตรยโพธิสัตว์ (弥勒菩薩 Miroku Bosatsu)องค์นี้มาจากคาบสมุทรเกาหลี เป็นหนึ่งในรูปหล่อที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นโดยอายุย้อนไปถึงราวศตวรรษที่ 6 คริสตังลับในนางาซากิเคยบูชารูปหล่อนี้แทนพระเยซูในช่วงเบียดเบียนศาสนา
สำหรับภาพวาด Our Lady of the Snows (雪のサンタマリア Yuki no Santa Maria) นี้ ถูกค้นพบในปี 1973 ที่โซโตเมะ (外海 Sotome) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองนางาซากิซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยมีคริสตังลับใช้ชีวิตโดยปกปิดความเชื่อมายาวนานหลายร้อยปี
ภาพวาด Our Lady of the Snows เคยปรากฏในฉากหนึ่ง
ของภาพยนต์ Silence (2016) ของผู้กำกับ Martin Scorsese
แต่เดิมภาพถูกเก็บรักษาไว้ในลำไม้ไผ่ ทั้งแผ่นมีขนาด 21 ⅹ 27 ซม. แต่ตัวภาพมีขนาดเล็กเพียง 10 ซม. และมีการซ่อมแซมอย่างหยาบ ๆ เป็นภาพวาดพระแม่มารีย์อย่างตะวันตก แต่วาดบนกระดาษญี่ปุ่นด้วยสีและเทคนิคการวาดแบบญี่ปุ่น สันนิษฐานว่า นักวาดภาพแบบตะวันตก (ภาพนัมบัง) ที่ได้รับการฝึกสอนจากคุณพ่อนิโคเลา (Fr. Nicolao) เป็นผู้วาดขึ้นในช่วงปี 1600 – 1614 ที่นางาซากิ ภาพยังมีความคมชัดและสีสันที่สดใสแม้ผ่านเวลามาหลายร้อยปี
วิดีโอถ่ายทำพิธีฉลองคริสต์มาสอีฟครั้งสุดท้าย
ของคริสตังลับบนเกาะนารุชิม่า (หมู่เกาะโกโต้) ในปี 1995
ภายในพิพิธภัณฑ์ ถ่ายจากชั้น 2 ผนังด้านบนตกแต่งด้วยสเตนกลาสรูปบุคคล ตราสัญลักษณ์ และภาพที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาในญี่ปุ่น
ภาพสเตนกลาสตรงบันไดกลางขึ้นสู่ชั้น 2 ด้านหนึ่งเป็นภาพดอกบ๊วยสีขาว สื่อถึงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของมรณสักขีที่มอบวิญญาณแด่พระเจ้าในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดอกบ๊วยเริ่มออกดอกตูม และอีกด้านหนึ่งเป็นภาพดอกคาเมลเลียสีแดง สื่อถึงหยดเลือดของมรณสักขีที่ตกลงพื้นดินเหมือนดอกคาเมเลียที่ร่วงลงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่นางาซากิ
ภาพสเตนกลาสรูปดอกบ๊วยและดอกคาเมลเลีย
ชั้นที่ 2 จัดแสดงวัตถุสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในญี่ปุ่นและโลกตะวันตกช่วงสมัยปลายคริสตศวรรษที่ 16 ที่เกิดเหตุการณ์ 26 มรณสักขี รวมทั้งศิลปวัตถุสมัยใหม่ได้แก่ ภาพปูนเปียก (เฟรสโก) หรือกระจกสีสเตนกลาสที่บอกเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์
ภาพปูนเปียกเฟรสโกลงสีปิดทองบรรยายเหตุการณ์มรณสักขีของนักบุญทั้ง 26
ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ หากสังเกตดี ๆ จะพบภาพวาดและภาพสเตนกลาสเป็นภาพหญิงสูงศักดิ์ที่คุกเข่าพนมมือมีสายประคำคล้องที่แขน ท่านนี้คือ ท่านหญิงโฮโซคาวะ การาชะ (=การ์เซีย) (細川ガラシャ Hosokawa Garasha = Garcia) ผู้เป็นหนึ่งในคริสตังคนสำคัญในสมัยสงครามกลางเมืองหรือยุคเซ็นโงกุ
ท่านหญิงการาชะ
ท่านมีชื่อเดิมว่า “อาเคจิ ทามะ” หรือ “ทามะโกะ” (明智 玉 Akechi Tama/玉子 Tamako) เป็นบุตรสาวของอาเคจิ มิทสึฮิเดะ ผู้ซึ่งต่อมาทรยศโอดะ โนบุนากะ เมื่ออายุ 16 ปีแต่งงานเป็นภรรยาของโฮโซคาวะ ทาดะโอกิ ต่อมาท่านสนใจในศาสนาคริสต์จากหญิงรับใช้ผู้เป็นคริสตัง หลังเข้ารับการล้างบาปแล้ว ท่านการาชะประพฤติตนเยี่ยงคริสตังที่ดี แต่ในช่วงสงครามเซกิงาฮาระ ฝ่ายตรงข้ามจะเข้ายึดปราสาทและจับท่านเป็นตัวประกัน ในฐานะนายหญิงแห่งตระกูลซามุไรที่ต้องป้องเกียรติแห่งตนและตระกูล ท่านจึงยอมรับความตายจากโดยซามุไรใกล้ชิดอย่างกล้าหาญ
หนึ่งในห้องสำคัญอันเป็นโซนสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ได้แก่ ห้องพระสิริรุ่งโรจน์ (栄光の間 Eikou no ma) เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระธาตุกระดูกของมรณสักขีหลายท่านที่ได้สละชีวิตเพื่อความเชื่อในต่างห้วงวาระกัน รายล้อมด้วยพระรูปมาเรียคันนง (マリア観音 Maria Kannon) หรือรูปพระโพธิสัตว์ที่คริสตังลับเคยใช้สักการะแทนพระแม่มารีย์ และเป็นสถานที่ที่อันเงียบสงบให้ผู้เข้าชมได้สำรวมจิตใจระลึกถึงนักบุญมรณสักขีภายใต้เพดานรูปกางเขน
ภาพสเตนกลาสตรงกลางตกแต่งให้มีสัญลักษณ์กางเขน คำ “TESTES CHRISTI” แปลว่า “สักขีพยานแห่งพระคริสต์” ส่วนคำว่า 神は愛なり (Kami wa ai nari) แปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ความรัก”
ภายในแท่นตรงกลางบรรจุพระธาตุกระดูกของมรณสักขี เช่นเดียวกับภายในห้องเล็ก ๆ ทางมุมซ้ายและขวา ห้องหนึ่งประดิษฐานพระธาตุกระดูกของมรณสักขีจำนวนหนึ่งในบุญราศี (ลำดับขั้นก่อนขึ้นเป็นนักบุญ) ทั้ง 188 ที่เคยถูกนำออกไปเก็บรักษาที่มาเก๊าตั้งแต่ปี 1614 เป็นระยะเวลานานกว่า 380 ปีก่อนที่จะนำกลับมายังญี่ปุ่นในปี 1995
พระธาตุกระดูกส่วนหนึ่งของมรณสักขีทั้ง 188 จากมาเก๊า
อีกห้องหนึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุกระดูกแขนของนักบุญดีเอโก (ยากอบ) คิไซ (聖ディエゴ喜斉 / St. James Kisai) หนึ่งใน 26 มรณสักขีผู้ถูกประหารด้วยการตรึงกางเขนบนเนินนิชิซากะแห่งนี้ในปี 1597 พระธาตุกระดูกของท่านถูกนำไปเก็บรักษาที่สเปน และได้นำกลับมายังญี่ปุ่นในอีก 400 ปีให้หลัง
ภาชนะบรรจุพระธาตุกระดูกแขนของนักบุญดีเอโก (ยากอบ) คิไซ
ที่ชั้น2 มีทางออกไปสวนเล็ก ๆ ซึ่งจะมีป้ายสุสานคริสตังสมัยยุคก่อนเบียดเบียนศาสนา ราวคริสตศวรรษที่ 16 – 17 จึงสามารถมองเห็นรูปกางเขนที่สลักไว้ อีกอันหนึ่งระบุว่าเป็นป้ายสุสานของคริสตังลับราวปี 1764 – 1771 และ อนุสาวรีย์รำลึกถึงมรณสักขีชาวญี่ปุ่นและเกาหลีที่ถูกเผาทั้งเป็น ณ เนินนิชิซากะที่แห่งนี้ในปี 1624 คือ ดีเอโก (ยากอบ) โคอิจิ (ディエゴ小市 Diego Koichi) และกายุสชาวโชซอน (เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า朝鮮人カイヨ Chōsenjin Kaiyo) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Caius of Korea
อนุสาวรีย์ระลึกถึงมรณสักขีชาวญี่ปุ่นและเกาหลี
ดีเอโก โคอิจิวัย 41 ปีเป็นชาวนาอยู่ที่อุราคามิ และช่วยดูแลธรรมทูตคณะโดมินิกัน ส่วนกายุสเป็นชาวโชซอน (เกาหลี) ที่ถูกจับตัวมาที่ญี่ปุ่นในครั้งญี่ปุ่นเข้ารุกรานเกาหลีในปีช่วงปี1592 – 1598 เดิมเป็นชาวพุทธและต่อมาศรัทธาในคริสต์ศาสนา จึงรับศีลล้างบาปแล้วช่วยเหลือกิจการคณะเยซูอิตจนถูกจับกุม ทั้งสองพบกันในคุกและบังเกิดความผูกพันทางจิตวิญญาณ พร้อมรับความทรมานในฟอนไฟจากทัณฑ์เผาทั้งเป็นด้วยความยินดีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1624 เถ้าร่างของทั้งสองถูกโปรยทิ้งลงในทะเล
อีกฝั่งหนึ่งเป็นรูปปั้นของคุณพ่อโทมัส คินทสึบะ จิเฮียวเอ (トマス金鍔次兵衛 Thomas Kintsuba Jihyōe) ผู้เคยได้รับการศึกษาที่สามเณราลัยอาริมะ ข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาต่อที่มาเก๊าและฟิลิปปินส์ในคณะออกัสติน แล้วกลับมายังญี่ปุ่นในปี 1631 ซึ่งกำลังคุกรุ่นไปด้วยการเบียดเบียนศาสนา
รูปปั้นคุณพ่อคินทสึบะสะพายดาบกระบังทองภายในสวน (ภาพจาก Oratio.jp)
ท่านคินทสึบะแฝงตัวเข้าไปในจวนผู้ว่านางาซากิในฐานะคนเลี้ยงม้า และลักลอบเข้าไปในคุกช่วยบรรเทาใจคริสตังที่ถูกจำขังพร้อมกับเก็บข้อมูลจากฝ่ายรัฐบาล ตกกลางคืนปลอมตัวสอนศาสนาให้คริสตังในที่ลับเป็นเวลากว่า 3 ปี ท่านเคยปลอมตัวเป็นซามุไรสะพายดาบกระบังสีทองจึงได้ชื่อว่า “คินทสึบะ” ที่แปลว่า “กระบังดาบทอง”
ในปี 1634 ทางราชการล่วงรู้ถึงตัวตนจริงของท่าน ท่านจึงไปซ่อนตัวในภูเขาหลายแห่ง กล่าวกันว่าเมื่อจวนตัวท่านหลบหนีได้รวดเร็วแคล้วคลาดการจับกุมหลายครั้ง จนเล่าลือกันไปว่าเป็น “บาเทเร็น” ผู้ใช้วิชาเวทย์มนต์ (伴天連 Bateren = บาทหลวง)
ต่อมาท่านคินทสึบะถูกจับตัวได้ในปี 1637 และถูกทรมาณด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อบังคับให้บอกชื่อผู้ช่วยเหลือท่านหลบหนี แต่กระนั้นท่านก็ไม่ยอมหักหลังผู้มีพระคุณ สุดท้ายจึงถูกคาดทัณฑ์อานะสึริ ท่านทนทรมานอยู่ 2 วัน พอดีมีเรือโปรตุเกสเข้าน่านน้ำญี่ปุ่น จึงถูกนำตัวกลับมาออกมาให้ไปช่วยสอบปากคำคนบนเรือ ท่านให้ความร่วมมือในการนี้เป็นอย่างดีแต่ไม่ยอมปริปากเรื่องอื่นใดอีก จึงถูกนำตัวไปรับทัณฑ์อานะสึริเป็นครั้งที่สองบนเนินนิชิซากะแห่งนี้จนเสียชีวิตในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1637 ด้วยวัย 37 ปี ท่านคินทสึบะได้รับยกขึ้นเป็นบุญราศีพร้อมกับมรณสักขีอีก 187 คนในปี 2008
พิพิธภัณฑ์ 26 นักบุญมรณสักขี
• เปิดทำการทุกวัน ปิดทำการวันที่ 31 ธันวาคม – 2 มกราคม
• เวลาทำการ 9:00 – 17:00 น.
• ค่าเข้าชม 500 เยนสำหรับผู้ใหญ่ นักเรียนมัธยมต้น-มัธยมปลาย 300 เยน นักเรียนประถม 150 เยน
• ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://26martyrs.com
โบสถ์นักบุญฟิลิปป์แห่งเยซู (聖フィリッポ・デ・ヘスス教会 Sei Firippo de hesusu Kyōkai / Saint Philip of Jesus Church)
โบสถ์นักบุญฟิลิปป์แห่งเยซู เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับอนุสาวรีย์และพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญฟิลิปป์แห่งเยซู (St. Philip of Jesus) หรือนักบุญฟิลิปโป เด เฮสซู หนึ่งใน 26 มรณสักขีและเป็นนักบุญชาวเม็กซิโกองค์แรก คนท้องถิ่นมักเรียกโบสถ์แห่งนี้ตามชื่อสถานที่ว่า “โบสถ์นิชิซากะ”
นักบุญฟิลิปป์แห่งเยซู เกิดที่เม็กซิโก เป็นนักบวชคณะฟรังซิสกันที่ไปร่ำเรียนวิชาเทวศาสตร์ที่ฟิลิปปินส์ เมื่อสำเร็จการศึกษา นักบวชหนุ่มวัยเพียง 24 ปีผู้นี้ได้ขึ้นเรือซานเฟลิเป (San Felipe) ออกเดินทางจากฟิลิปปินส์เพื่อกลับไปรับศีลบวชเป็นบาทหลวงที่บ้านเกิด แต่ระหว่างทางเรือถูกพายุพัดเกยตื้นที่ญี่ปุ่น ข้าหลวงเข้าสอบสวนคนบนเรือซึ่งโอ้อวดการล่าอาณานิคมของสเปน เมื่อความถึงโทโยโทมิ ฮิเดโยชิที่ไม่ไว้ใจต่างชาติจึงออกคำสั่งจับกุมนักบวชและคริสตังในโอซาก้าและเกียวโต รวมทั้งนักบุญฟิลิปป์ที่อยู่บนเรือ และนำตัวมาประหารที่เนินชิซากะแห่งนี้ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1597
คุณอิมาอิ เคนจิ ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์และโบสถ์แห่งนี้ เป็นสถาปนิกคาทอลิก มีชื่อเสียงในฐานะผู้นำแนวคิดการออกแบบของอันโตนี เกาดี้ (Antoni Gaudí) สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงของสเปนมาสู่ญี่ปุ่นเป็นคนแรก
จุดเด่นภายนอกของโบสถ์นักบุญฟิลิปป์คือ รูปทรงอาคารที่แลดูทันสมัยและเสาคู่สูงรูปทรงแปลกตา เป็นผลงานที่สะท้อนการออกแบบที่ได้รับอิทธิพลจาก ”เกาดี้สไตล์” ที่มีความโดดเด่นในการแสดงความโค้งมน และการตกแต่งด้วยโมเสคแบบ Trencadis โดยใช้ถ้วยจานชามที่ขอรับบริจาคจากสถานที่ต่าง ๆ ตลอดทางที่มรณสักขีเดินเท้าจากเกียวโตมาถึงนางาซากิ รวมทั้งจากสเปนและเม็กซิโก
รายละเอียดงานโมเสคของโบสถ์ ที่ใช้ภาชนะกระเบื้องตกแต่ง
เสาคู่สัญลักษณ์ของโบสถ์นักบุญฟิลิปป์แห่งเยซู
เสาคู่แสดงถึงการสื่อถึงกันระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ เสาทางซ้ายมือคือ เสาแห่งพระแม่มารีย์ เป็นสัญลักษณ์การสวดภาวนาต่อสวรรค์ และเสาทางขวามือคือ เสาแห่งพระจิต เป็นสัญลักษณ์ของพระหรรษทานจากสวรรค์
ภายในโบสถ์เป็นเพดานตกแต่งด้วยไม้ รอบข้างเป็นหน้าต่างรูปทรงแปลกตา ริมกำแพงฝั่งซ้ายพระรูปพระแม่มารีย์ และฝั่งขวาเป็นรูปนักบุญฟิลิปป์แห่งเยซู หน้าพระแท่นเอกมีภาพ 26 กางเขนล้อมรอบสัญลักษณ์อัลฟาและโอเมกาเหมือนกับที่ประดับตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ทางฝั่งซ้ายประดิษฐานกางเขนไม้เก่าแก่จากสเปน ทำขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 16-17
ภายในโบสถ์ขณะกำลังมีพิธีมิสซาของกลุ่มแสวงบุญชาวเกาหลี
สังเกตว่าคริสตชนหญิงบางท่านสวมผ้าคลุมผม (Vail) ด้วย
โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุกระดูกของนักบุญ 3 ท่านในกลุ่ม 26 นักบุญมรณสักขี ได้แก่ นักบุญโยฮัน (ยอห์น) แห่งโกโต้ (聖ヨハネ五島Saint John of Goto), นักบุญเปาโล มิกิ (聖パウロ三木Saint Paul Miki), และนักบุญดีเอโก (ยากอบ) คิไซ (聖ディエゴ喜斉 Saint James Kisai) โดยพระธาตุของพวกท่านได้ถูกนำออกไปจากญี่ปุ่น และเก็บรักษาที่มาเก๊าและฟิลิปปินส์ยาวนานถึง 350 ปีจนได้กลับมาสู่มาตุภูมิในปี 1962
พระธาตุกระดูกของ 3 นักบุญ เขียนชื่อบนท่อนกระดูกเป็นภาษาสเปน และป้ายชื่อเป็นภาษาละติน จากบนลงล่างได้แก่ นักบุญยอห์นแห่งโกโต้, นักบุญเปาโล มิกิ และนักบุญยากอบ คิไซ
โบสถ์แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่ได้รับการรับรองโดยสันตะสำนัก (วาติกัน) นอกจากมีพิธีมิสซาภาษาญี่ปุ่นและภาษาต่างประเทศตามเวลาแล้ว คณะผู้แสวงบุญสามารถติดต่อใช้สถานที่ในการประกอบพิธีมิสซากลุ่มส่วนตัวได้ จึงมักมีคณะแสวงบุญจากเกาหลี ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่น ๆ มาเยี่ยมชมและทำพิธีมิสซาอยู่เป็นประจำ ดังนั้นผู้ชมจึงควรรักษาความสงบไม่ไปรบกวนพิธีจนกว่าจะเสร็จสิ้น
ในตอนหน้า ป้าหมวยจะพาไปชม Unseen Nagasaki อะไรอีกบ้าง ติดตามชมกันนะคะ
เรื่องแนะนำ :
– เหงื่อโชกชมโบสถ์มรดกโลกนางาซากิ ตอนที่ 6 : อนุสาวรีย์และพิพิธภัณฑ์ 26 นักบุญมรณสักขีแห่งญี่ปุ่น (ภาคต้น)
– เหงื่อโชกชมโบสถ์มรดกโลกนางาซากิ ตอนที่ 5 : สัมผัสเรือเจ็ตฟอยล์ นิทรรศการเลโก้ และพิพิธภัณฑ์นักบุญกอลเบ
– เหงื่อโชกชมโบสถ์มรดกโลกนางาซากิ ตอนที่ 4 : ขับรถเที่ยวทั่วเกาะฟุคุเอะ (ภาคต้น)
– เหงื่อโชกชมโบสถ์มรดกโลกนางาซากิ ตอนที่ 3 : ชมเมืองฟุคุเอะและเตรียมรับมือกับพายุ
– เหงื่อโชกชมโบสถ์มรดกโลกนางาซากิ ตอนที่ 2 : ทัวร์วันเดียวเที่ยวสองมรดกโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.nagasaki-museum.jp/permanent/archives/233?fbclid=IwAR3CftoRnF4d3LE9DQEEF15hDH7wW7cWKXY1Spc-rUs7wFvH3x4RdUwPpJw
-https://es.wikipedia.org/wiki/Virgen_de_la_Antigua
-https://en.wikipedia.org/wiki/Lorenzo_Ruiz
-http://oratio.jp/p_column/17seiki-maria
-https://ja.wikipedia.org/wiki/金鍔次兵衛
-https://www.christiantoday.co.jp/articles/20203/20160331/26-martyrs-japan-korea.htm
-https://www.cbcj.catholic.jp/catholic/saintbeato/kibe187/densetsu/
-http://yuriko2771.ec-net.jp/jihei.htm
-http://oratio.jp/p_column/ninja-shinpu
-http://www.city.nagasaki.lg.jp/nagazine/church/6/index.html
#Nagasaki #เที่ยวยางาซากิ #มรดกโลกญี่ปุ่น