“พี่คะ หนูขอบคุณสำหรับทุกอย่าง เราคงไม่ได้พบกันอีก…ลาก่อน” ช็อคค่ะ ดิฉันและเพื่อนตกอกตกใจมากกระหน่ำโทรหาตำรวจ ในตอนเช้าทราบข่าวว่าตำรวจได้บุกเข้าไปช่วยเธอส่งโรงพยาบาลหลังจากที่เธอพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับ
กลางดึกคืนหนึ่งตอนที่ดิฉันเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็ได้รับข้อความจากซายูริ รุ่นน้องชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่รู้จักส่งมาว่า “พี่คะ หนูขอบคุณสำหรับทุกอย่าง เราคงไม่ได้พบกันอีก…ลาก่อน”
ช็อคค่ะ ดิฉันและเพื่อนซึ่งตกอกตกใจมากก็กระหน่ำโทรหาตำรวจเพราะไม่รู้ว่าซายูริพักอยู่ที่ไหน ในตอนเช้าทราบข่าวว่าตำรวจได้บุกเข้าไปช่วยเธอส่งโรงพยาบาลหลังจากที่เธอพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับ
ซายูริก็เหมือนกับคนญี่ปุ่นอีกหลายๆ คนที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง เนื่องจากความกดดันในจิตใจ ญี่ปุ่นอาจเป็นประเทศในฝันที่ใครๆ ก็อยากเดินทางมาท่องเที่ยว ในอีกด้านหนึ่งญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากเกาหลีใต้และฮังการี มีคนญี่ปุ่นประมาณ 25,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ย 70 คนที่ฆ่าตัวตายทุกๆ วัน ดิฉันคิดว่าสาเหตุสำคัญน่าจะมาจาก
[ad id=”61″]
ความกดดันทางเศรษฐกิจ
น่าสนใจว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งคนที่ฆ่าตัวตายมีสาเหตุมาจากการตกงาน หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนในอดีต ทำให้ระบบการจ้างงานตลอดชีวิตนั้นเปลี่ยนไปด้วย เมื่อธุรกิจไม่ดีบางคนจึงโดนเลิกจ้าง จะไปหางานใหม่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เมื่องานกับชีวิตเป็นสิ่งเดียวกันดังนั้นเมื่อไม่มีงาน คนญี่ปุ่นก็รู้สึกเหมือนคนไร้ชีวิตไร้ตัวตนด้วย โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อโดนให้ออกจากงานจะเครียดมากเพราะกลัวว่าอำนาจและความเคารพนับถือที่เคยได้รับจากภรรยาและลูกจะหมดไป บางคนถึงขนาดปิดไม่ให้ที่บ้านรู้ว่าโดนให้ออกจากงาน ถ้าเป็นคนไทยก็คงหางานใหม่ได้ไม่ยาก
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อายุมากอาจโดนบีบให้เกษียณก่อนอายุ เงินชดเชยก็ไม่มากพอที่จะเลี้ยงชีพยามแก่เฒ่า ลูกหลานก็ไม่ค่อยเลี้ยงดู (เพราะเอาตัวเองยังไม่รอด) คนเหล่านั้นเหงา โดดเดี่ยว และไม่อยากจะเป็นภาระใครจึงอาจตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเป็นการแก้ปัญหา
ความเครียดจากการทำงานและสภาพสังคม
คนญี่ปุ่นหลายคนจะบังคับลูกให้เรียนหนักแต่เด็กเพื่อสอบเข้ามหาวิทยารัฐบาลที่มีชื่อเสียง (เรียกว่าสร้างความเครียดให้แต่เด็กและเด็กจะยิ่งเครียดมากขึ้นหากสอบเข้าไม่ได้) พอจบปริญญาตรีก็มักจะทำงานที่เดียวไปตลอดชีวิต
ลองคิดดูนะคะว่าหากไม่ถูกกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องทำงานร่วมกันทุกวัน บางคนเจอเจ้านายโรคจิตกดดัน ตะคอกใส่ทุกวันจะเครียดขนาดไหน ทั้งปริมาณงานที่ต้องทำก็เยอะ คนญี่ปุ่นหลายคนแข่งกันทำงานเพื่อให้เจ้านายเห็นผลงานและเผื่อว่าจะได้ขึ้นตำแหน่ง จึงรู้สึกผิดมากหากกลับบ้านตรงเวลาหรือหากจะลาพักร้อน บางคนแข่งกันทำงานล่วงเวลากับเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ใช้วันลาพักร้อนเลย
นอกจากนี้หากอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ชาวญี่ปุ่นยังต้องเผชิญความเครียดจากการแก่งแย่งเบียดเสียดบนรถไฟไปและกลับจากทำงาน การแย่งกันหาร้านกินข้าว และต้องรีบกินเร็วๆ เพราะร้านจะคนเยอะมาก การแย่งกันซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่แต่กลับอยู่แบบตัวใครตัวมันทำให้เกิดความอ้างว้างและโดดเดี่ยวจนอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า
การไม่แสดงความรู้สึก
ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบโดยปราศจากความยืดหยุ่น เช่น การเข้าแถวขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบ การห้ามส่งเสียงดังบนรถไฟ วินัยการจราจรดีเยี่ยม นอกจากนี้ สังคมญี่ปุ่นยังขึ้นชื่อเรื่องความเอาจริงเอาจังและความรับผิดชอบ การขาดความยืดหยุ่นนี้เองทำให้ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ถือมารยาทในสังคมสูง และจะไม่แสดงอารมณ์ด้านลบทางสีหน้าให้ใครเห็น อารมณ์ความรู้สึกด้านลบใดๆ ก็ต้องปิดเอาไว้บอกใครไม่ได้ เช่น ความโกรธ ความโมโห ความไม่พอใจ จนกลายเป็นความเก็บกด บางคนจึงคิดว่าตายดีกว่า
ไม่มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
หากเป็นคนไทยหรือฝรั่ง เวลาเครียดก็อาจจะเข้าวัด สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรืออธิษฐานต่อพระเจ้าก็พอจะคลาดความเครียดไปได้บ้าง แต่ญี่ปุ่นไม่ยึดถือคำสอนของศาสนาใดอย่างจริงจังและไม่เชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปเหมือนชาวคริสต์หรือพุทธ ในทางตรงกันข้ามคนญี่ปุ่นกลับถือการฆ่าตัวตายเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำใดๆ ที่ล้มเหลวของตน เหมือนเช่นการฆ่าตัวตายแบบฮาราคีรีของซามูไรในสมัยก่อนเพราะละอายต่อความผิดพลาดของตัวเอง จึงไม่มีหน้าไม่มีศักดิ์ศรีพอที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นต่อไป

สังคมแบบรวมกลุ่ม
สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมแบบกลุ่มนิยมและมักจะทำอะไรเหมือนๆ กัน เวลาเดินอยู่ในโตเกียวในวันทำงาน เราจะเห็นพนักงงานออฟฟิสใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันและแต่งตัวลักษณะคล้ายๆ กันเดินขวักไขว่ มองไปช่างดูไร้สีสันอย่างสิ้นเชิง คนญี่ปุ่นชอบทำตัวให้เหมือนๆ คนอื่นและไม่ต้องการแปลกแยก พวกเขาเรียกร้องการยอมรับจากคนอื่น ซีเรียสกับภาพลักษณ์และแคร์สายตาคนอื่นมากๆ ค่าของคนๆ หนึ่งจะขึ้นอยู่กับว่าเขาได้รับการยอมรับจากคนอื่นมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นเขาก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง หากโดยเพื่อนที่โรงเรียนหรือเพื่อนที่ทำงานกีดกันหรือกลั่นแกล้งแล้วละก็ เขาก็จะรู้สึกถึงความกดดันแบบที่ยอมรับไม่ได้
เฮ้อ ดิฉันขอตัวไปนั่งสมาธิก่อนนะคะ เขียนเรื่องนี้แล้วเครียดจริงๆ ค่ะ