Our Little Sister…มาดูอีกหนึ่งรีวิวจากผู้ที่ได้ชมหนังเรื่องนี้แล้วเช่นกัน …ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงคุณภาพและความประทับใจ ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะไปรับชม เมื่อได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง ขอบอกเลยว่านี่คือภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจจริงๆ ค่ะ
เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสไปดูภาพยนตร์เรื่อง “Our Little Sister” รอบสื่อมวลชนมาค่ะ ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2015 และได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมยาวนานถึง 5 นาที หลังจากฉายภาพยนตร์เรื่องนี้จบในงานนั้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับโดย “Hirokazu Koreeda” ผู้ที่เคยสร้างผลงานคุณภาพมาแล้วอย่าง “Like Father, Like Son” และ “Nobody Knows” สร้างมาจากมังงะเรื่อง “Umimachi Diary” เขียนโดย “Yoshida Akami” ตีพิมพ์ในนิตยสารรายเดือน Monthly Flowers เป็นตอนๆ ตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบันค่ะ
ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงคุณภาพและความประทับใจ ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะไปรับชม เมื่อได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง ขอบอกเลยว่านี่คือภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจจริงๆ ค่ะ วันนี้ก็เลยอยากจะมาเล่าถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนที่จะลงฉายอย่างเป็นทางการ ในโรงภาพยนตร์วันที่ 12 สิงหาคมนี้

“Our Little Sister” เรื่องเริ่มจากชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังหนึ่ง ณ เมืองคามาคุระ สมาชิกในบ้านมีพี่น้อง 3 คน ที่อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพัง ได้แก่ “Sachi” (Ayase Haruka) เป็นพี่สาวคนโตที่ต้องดูแลน้องๆ อีก 2 คนคือ “Yoshino” (Nagazawa Masami) และ “Chika” (Kaho) พ่อและแม่ทิ้งพวกเธอไปตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเธอต้องมีชีวิตต่อไปด้วยตัวเอง โดยมี “คุณยาย” เป็นคนคอยช่วยดูอยู่ห่างๆ ด้วยเหตุนี้ “ซาจิ” พี่สาวคนโตเลยต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักของบ้าน ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ “ถูกผู้ใหญ่พรากชีวิตในวัยเด็ก” ไป

และแล้วเหตุการณ์ก็มาพลิกผันเอาตอนที่ทั้งสามได้รับข่าวมาว่า “พ่อ” ของพวกเธอเสียชีวิต พวกเธอเลยเดินทางไปร่วมงานศพ และเหตุการณ์นี้เองทำให้พวกเธอได้พบกับ “Suzu” ลูกสาวของพ่อกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แม้จะมีอายุยังน้อง แต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่สูง ตอนนี้เธออาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงคนใหม่ ด้วยชีวิตที่โดดเดี่ยวของ Suzu เลยทำให้ 3 สาวพี่น้อง ตัดสินใจรับเธอให้มาเป็นสมาชิกของบ้านอีกคน แต่…น้องสาวคนนี้กลับมีปม บาดหมางใจ ก็ตรงที่ว่า แม่ของเธอกับแม่ของ 3 สาว เป็นคนละคนกัน แม่ของ Suzu คือคนรักใหม่ของพ่อ คนที่ทำให้ครอบครัวของ 3 สาวต้องพังทลายนั่นเอง แล้วต่อจากนี้พวกเธอจะใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างไร พี่น้อง 4 คน ที่มีคนหนึ่งเป็นลูกต่างมารดา พวกเธอจะสามารถรักกันจนสนิทใจได้หรือไม่ ความจริงบางอย่างที่จะมาทำให้คุณได้ตื้นตัน และอบอุ่นในหัวใจค่ะ
เสน่ห์ของ Our Little Sister ที่สุดแสนประทับใจ
1. “ความเป็นธรรมชาติ” และ “ความธรรมดา” ที่ลงตัว

เสน่ห์ของเรื่องนี้เห็นทีจะเป็นความ “ธรรมชาติ” และ “ธรรมดา” ที่ลงตัวค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกถ่ายทอดในเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องธรรมดาที่เรา สามารถพบเห็นได้ในชีวิตของคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้จริงๆ ทั้งฉาก ทั้งบรรยากาศทำให้เรารู้สึกว่า “ฉันอยากจะไปอยู่ในที่แบบนี้จังเลยนะ” มันช่างสงบและน่าอยู่มากค่ะ
อีกทั้งตัวละครเอกก็มีความเป็นมนุษย์ จริงๆ เสริมปั้นเติมแต่งน้อยมาก ทุกคนมีอากัปกิริยาที่เป็นไปอย่างธรรมชาติที่คนทั่วๆ ไปเขาเป็นกัน มันเป็นอาการของคนที่อยู่บ้านจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลานอนเล่นอยู่บ้าน พูดคุยกับพี่น้อง หรือตอนทะเลาะกัน การเดินทางไปทำงาน เดินกลับบ้าน การทักทาย การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ทุกอย่างมันช่างเหมือนกับชีวิตเราจริงๆ ค่ะ และนี่แหละที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า พวกเราคนดูทุกคนเหมือนกำลังได้แอบ นั่งจ้องมองชีวิตของพวกเขาอยู่ โดยที่พี่น้องทั้ง 4 คนไม่รู้ตัว รวมถึงไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าพวกเขากำลังเป็นนักแสดงอยู่หน้ากล้อง แต่เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังใช้ชีวิตปกติทั่วๆ ไป
2. การดำเนินเรื่องที่ราบเรียบแต่สะกดทุกความเคลื่อนไหว
เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเรียบๆ แต่สะกดทุกความเคลื่อนไหวค่ะ ในช่วงแรกๆ จะเดินเรื่องไปอย่างรวดเร็วมาก เรื่องพยายามจะรีบบอกให้คนดูรู้ว่า…นี่เป็นเรื่องราวของพี่น้องต่างมารดา ที่จะมาอยู่ด้วยกันนะ แล้วต่อจากนั้นเรื่องก็ค่อยๆ ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ให้คนดูค่อยๆ ได้ซึมซับไปกับชีวิตหลังจากที่รับน้องสาวต่างมารดามาอยู่ด้วย และนี่ก็คืออีกเสน่ห์หนึ่งของละครญี่ปุ่นค่ะว่า ไม่ได้พยายามปิดบังว่า นี่เป็นลูกคนละแม่นะ แต่จะบอกตั้งแต่แรกเลยว่า “ใช่…ฉันคือลูกคนละแม่กับพวกเธอ แล้วยังไงล่ะ เราจะรักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ ได้ไหม”
การดำเนินเรื่องที่เป็นไปอย่างไม่หวือหวา ทำให้เรามีเวลาได้ค่อยๆ พินิจพิจารณาดูถึงชีวิตหนึ่งผ่านหน้าจอ แล้วด้วยความที่เรื่องมันค่อยๆ ไปนี่แหละค่ะ เลยทำให้คนดูส่วนใหญ่รู้สึกเห็นถึง “ความงดงาม” อย่างปฏิเสธไม่ได้
3. เก็บทุกรายละเอียด
ความตระการตาอีกอย่างในเรื่องนี้ ไม่ใช่ฉากในแบบอลังการงานสร้างแบบโอเวอร์อะไร แต่เป็นฉากธรรมดาที่เก็บทุกรายละเอียด และนี่อาจจะเป็น “ความอลังการ” อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้ มีความละเอียดตั้งแต่ฉาก สถานที่ รวมถึงตัวละคร ที่แสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ราวกับว่าพวกเธอเป็นพี่น้องกันจริงๆ ค่ะ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงคนหนึ่งที่ไม่ได้รับบทล่วงหน้า นั่นก็คือ “Suzu Hirose” น้อง สาวคนสุดท้องของบ้าน และด้วยเหตุนี้ก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้น้อง Suzu แสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ แม้จะมีอายุน้อยกว่าใครเพื่อน แต่ก็สามารถแสดงเข้ากับนักแสดงรุ่นพี่ได้เป็นอย่างดีค่ะ ดูไปดูมาก็พลอยจะหลงรักสาวน้อยคนนี้ไปด้วยจริงๆ ค่ะ

ส่วนฉากแห่งความละเอียดที่ชามะนาวประทับใจสุดๆ เห็นทีจะเป็นฉากนี้ค่ะ ฉากที่ “Suzu” ซ้อนท้ายจักรยานเพื่อนหนุ่ม(?) ไปยังอุโมงค์ต้นซากุระ ทีมงานได้ไปถ่ายทำกันที่ “สวนเกนจิยามะ” สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองคามาคุระค่ะ ขอบอกว่าฉากนี้เป็นฉากที่สวยงามสุดๆ ค่ะ มันเห็นถึงความละเอียดในการจัดหา Location ที่สวยสะดุดตา แล้วเข้ากับอารมณ์ของเรื่อง ที่ Suzu กำลังนึกถึงพ่อ ซึ่งมีดอกซากุระเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างความทรงจำของพ่อลูก เพื่อนหนุ่มคนนี้ก็เลยพาไปดูดอกซากุระอีกสักครั้ง เพื่อให้เต็มอิ่ม ซาบซึ้งใจไปกับความทรงจำเหล่านั้น
ฉากที่ละเอียดสุดๆ คงเป็นตอนที่ Suzu เงยหน้าขึ้นมาดูซากุระ พร้อมหลับตาอย่างมีความสุข และในระหว่างนั้นเองก็มี “ซากุระ 1 กลีบ” (ขอย้ำนะคะว่า 1 กลีบ ไม่ใช่ 1 ดอก) มาติดที่เส้นผมของเธออยู่นานสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยให้กลีบดอกซากุระนั้นหลุดลอยไปเองอย่างธรรมชาติ พอกล้องจับโฟกัสที่ฉากนี้อย่างเนิ่นนาน ทำให้เราสัมผัสได้ว่า นี่ไม่ใช่ความบังเอิญที่ดอกซากุระมาติดผมนะ มันอาจเป็นความจงใจที่อยากให้มีดอกซากุระ 1 กลีบปลิวมาติดที่เส้นผม แล้วภาพนี้มันสวยจริงๆ ค่ะ เรารู้สึกว่า กลีบซากุระนั้นเหมือนแทนถึง “พ่อ” ที่กลับมาสัมผัส ลูบหัวเธออีกครั้ง ก่อนที่จะหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง ช่างสุดยอดจริงๆ ค่ะ
รวมถึงคำพูดในบทสนทนา ทุกคำพูด แม้จะสั้นๆ แต่ก็เป็นคำพูดที่มีความหมาย และส่งผลต่อบทและความรู้สึกค่ะ คำพูดที่เราชอบมากก็คือ “พี่จำเรื่องของพ่อไม่ได้แล้วล่ะ ว่างๆ เล่าเรื่องของพ่อให้พี่ฟังบ้างนะ” นี่ไม่ใช่ประโยคที่คมคาย แต่ถ้าดูเรื่องนี้ไป ประโยคแบบนี้มันกลับกระทบความรู้สึกที่อยู่ข้างใน
4. ปรัชญาชีวิตของความเป็นมนุษย์

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้จะพูดแค่ว่าให้ “ข้อคิด” ไม่ได้ค่ะ แต่ต้องเรียกได้ว่าเป็น “ปรัชญา” ชีวิตเลยค่ะ แม้เรื่องราวจะดูดราม่านิดๆ แต่พอไปดูเข้าจริงๆ กลับ “ไม่ดราม่า” อย่างที่คิดค่ะ แต่เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจ เป็นความเศร้า ความซึ่งใจที่ไม่ฟูมฟาย ดูแล้วน้ำตาคลอเบ้าไปเป็นระยะๆ สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ที่นอกจากจะทำให้เห็นมุมคิดต่อเรื่องความรักระหว่าง พี่น้องก็คือ เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้กับ “ความผิดพลาด” และ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ของมนุษย์ค่ะ ตลอดทั้งเรื่อง เรื่องได้พยายามสื่อให้เห็นถึงถึงความผิดพลาด และปมของตัวละครแต่ละตัว แม้แต่คนที่เป็นพ่อคนแม่คนก็ยังสามารถทำผิดพลาดกันได้ หรือตัวละครพี่น้อง 4 คน ต่างก็มีปมในจิตใจ รวมถึงผลกระทบต่อจิตใจจากความผิดพลาดที่เราไม่ได้ก่อ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ค่ะว่า ถ้าในเมื่อมนุษย์เราเกิดมาเจอกับเรื่องแบบนี้ แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร พร้อมทั้งเรื่องบางเรื่องอาจไม่ได้มีใครผิด หรือว่าต้องมีใครถูก แต่มันเป็นความพลั้งเผลอที่ไม่ได้ตั้งใจของคนเราที่ไม่อาจหักห้ามได้ และเมื่อเราได้ทำผิด ก็ไม่ใช่ตัวการันตีได้ทันทีว่าเราจะเป็น “คนไม่ดี” หรือคนที่ดูเหมือนมีพื้นเพชีวิตที่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสมบูรณ์แบบถึงขั้นไม่ทำผิดอะไรเลยในชีวิตนี้ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่า “ทำไมคนคนนั้นดีหรือไม่ดี” แต่มันอยู่ที่ว่า “เพราะเราเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง” ที่มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
ที่ทำให้มีสิ่งล้ำค่าอย่างเด็กคนนี้เกิดมาบนโลกใบนี้”
ถ้าจะให้พูดว่า “Our Little Sister” เป็น ภาพยนตร์แบบไหน ก็ขอบอกว่า นี่คือภาพยนตร์สไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้ค่ะ เป็นเรื่องที่ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ทั้งมุมภาพ การกระทำของตัวละคร หรือบทสนทนา ที่ทุกอย่างล้วนมีความหมาย

ถ้าเปรียบพล็อตเรื่องนี้เป็นเส้นตรง ก็คงเป็นการลากบรรจงที่สวยงาม…
ท่ามกลางชีวิตที่แสนจะวุ่นวายของคนในปัจจุบัน พยายามจะแข่งขันเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จอย่างเคร่งเครียด แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งค่ะ ตัวละครทุกคนในเรื่องก็ยังใช้ชีวิตในโลกที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้อย่างปกติ แต่วิถีชีวิตของพวกเขาและเธอกลับทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้ว บางทีชีวิตเรา มันอาจจะขอเพียงแค่นี้ก็ได้ อาจจะไม่ต้องดีเลิศกว่าใคร ก็สามารถมีความสุขได้ในแบบที่เป็น ชีวิตที่แสนธรรมดา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรมา ก็ยังมี “คนในบ้าน” อยู่เฝ้ารอ และพร้อมเคียงข้างไปด้วยกัน…
ตามติดบทความ ของ ChaMaNow ทั้งหมด คลิ๊ก >>> Sakura Dramas
ทักทายพูดคุยกับ ChaMaNow ได้ที่ >>> Facebook Sakura Dramas