ชวนอ่าน : KITCHEN… หนังสือที่ไม่ถึงกับเศร้ามากแต่ก็ไม่สุขเกินของผู้สูญเสียและส่งต่อกำลังใจในการก้าวเดินต่อในชีวิต
เชื่อว่ามีนักอ่านไม่น้อยที่ไม่รู้จักชื่อ Banana Yoshimoto หนึ่งในนักเขียนญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จและมีหนังสือดังหลายเล่มที่ออกมาสู่สายตาของเหล่าหนอนหนังสือ ผลงานส่วนใหญ่ของนักเขียนท่านนี้มักเป็นเรื่องราวของจิตใจมนุษย์และอารมณ์ความรู้สึก
และขอสารภาพตามตรงว่าเราก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับผลงานของ Banana Yoshimoto ที่หลงรักงานเขียนของเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน และเมื่อทางสำนักพิมพ์ Salmon ได้หยิบเอา KITCHEN อีกหนึ่งผลงานอันโด่งดังของเธอมาแปลและตีพิมพ์ใหม่ (ในอดีตหนังสือเล่มนี้เคยถูกแปลและตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อื่นมาก่อนแล้ว) ก็ไม่พลาดที่จะหยิบมาอ่านและแน่นอนว่าไม่ผิดหวังเช่นเคยค่ะ
KITCHEN เป็นงานที่เขียนตั้งแต่ปี 1988 บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวซากุราอิ มิคาเงะ ที่ได้สูญเสียคุณยายซึ่งเป็นญาติคนสุดท้ายไป และจากนั้นเธอก็ได้มาอาศัยอยู่กับครอบครัวของทานาเบะ ยูอิจิ
เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วย “ครัว”
นิยายเรื่องนี้ใช้ “ครัว” เป็นตัวเปิดเรื่อง “ครัว” ที่แสดงให้เห็นว่าสำหรับมนุษย์แล้ว แต่ละคนล้วนมีสถานที่พิเศษหรือสถานที่ในความทรงจำเสมอ เช่นเดียวกับ ซากุราอิ มิคาเงะ ที่มี “ครัว” เป็นสถานที่พิเศษที่เธอหลงรัก
“สถานที่ที่ฉันชื่นชอบที่สุดในโลกนี้ คงจะเป็นครัวนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จะเป็นแบบไหน ขอแค่เป็นครัว เป็นสถานที่ที่ทำอาหารได้ ฉันก็ไม่เดือดร้อน…ต่อให้เป็นครัวสกปรกเลอะเทอะ ก็ยังยากจะห้ามใจตัวเองไม่ให้ชอบได้”
“เวลาใดที่เหนื่อยแทบขาดใจ ฉันมักจะเพ้อฝัน ว่าสักวันหนึ่งเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ฉันก็อยากสิ้นลมหายใจไปในครัว…ขอแค่เป็นครัวก็พอแล้ว”
หลังจากคุณยายของซากุราอิ มิคาเงะ เสียชีวิต ทำให้เธอต้องย้ายจาก “ครัวเดิม” ไปสู่ “ครัวแห่งใหม่” ที่บ้านของครอบครัวยูอิจิ
“ฉันพยักหน้าอืออออย่างพึงพอใจไปพลาง เดินดูไปทั่วๆ เป็นครัวที่ดีเลยล่ะ ตัวฉันเองตกหลุมรักครัวนี้ตั้งแต่แรกเห็น”
“แค่ยืนอยู่ในครัว สรรพสิ่งก็ย้อนกลับมาสู่จุดตั้งต้น บางสิ่งได้หวนกลับมาอีกครั้ง”
ความเศร้าจากการสูญเสีย
แน่นอนว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของการสูญเสีย เริ่มจากการสูญเสียคุณยายของมิคาเงะ ไปจนถึงการสูญเสียแม่(หรือพ่อ)ของยูอิจิ การสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวในชีวิตนับเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง
“ดูเหมือนรอบๆตัวเรา จะเต็มไปด้วยความตายอยู่เสมอเลยนะ…นี่มันจะเกินไปหน่อยไหม จักรวาลกว้างออกปานนั้น แต่คนที่โดนแบบเราทั้งสองคนคงจะไม่มีอีกแล้วล่ะมั้ง”
“น้ำหนักและความมืดมนของคำว่า ‘ไม่มีอีกแล้ว’ ที่นึกขึ้นมาได้ตอนนั้น
ช่างมีพลังคุกคามมหาศาลเสียจนยากจะลืมเลือน”
นอกจากนี้เนื้อหาในเรื่องยังบอกกับเราว่า ช่วงวัยที่เกิดการสูญเสียก็ส่งผลกระทบต่อเราในระดับที่ต่างกันได้ด้วย
“ตอนที่พ่อแม่ตาย ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่ ตอนที่คุณตาตายฉันกำลังอยู่ในห้วงความรัก และตอนที่คุณยายตายนั่นแหละฉันจึงต้องอยู่ตามลำพังจริงๆ แต่หากเทียบความรู้สึกในช่วงเวลาเหล่านั้นกับขณะนี้แล้ว ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากมายยิ่งกว่า”
ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปและในความเศร้าก็ยังมีความสุข
“ทำไมคนเราถึงได้ไร้สิทธิ์ที่จะเลือกถึงปานนี้นะ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับเป็นมดปลวก ก็ยังต้องหุงข้าวกินอยู่หลับนอนต่อไป ต่อให้คนที่รักทุกคนจะตายจากไป แต่ตัวเองก็ยังต้องดันทุรังใช้ชีวิตต่อ”
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนะคะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้พาเราเศร้าจนดำดิ่ง ในเนื้อเรื่องก็ยังมีช่วงเวลาดีๆที่ทำให้เราได้อมยิ้ม และดีใจไปกับตัวละครที่สามารถก้าวผ่านความโศกเศร้ามาได้ในที่สุด
“ความทรงจำอันแสนสุขที่แท้นั้นจะยังคงมีชีวิตอยู่ เปล่งประกายพร่างพราย มีลมหายใจอยู่อย่างไม่ขาดสาย แม้กาลเวลาจะผันผ่านไป”
“ความมืดไม่ได้เจือปนด้วยความตายอีกแล้ว ได้แค่นี้ก็ถือว่าดีถมเถ”
หนังสือที่เหมาะกับผู้สูญเสียและอยากก้าวเดินต่อไป
เราเป็นหนึ่งในคนที่เพิ่งเสียคนสำคัญในครอบครัวไปไม่นาน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่หนังสือเล่มนี้ตรงใจเราในหลายๆด้าน หนังสือเล่มนี้ไม่ได้พยายามยัดเยียดเรื่องราวที่ว่า ต้องสู้สิ ต้องเข้มแข็งสิ หากแต่เป็นการค่อยๆใช้เวลา ค่อยๆปลอบโยน ให้ “เวลา” ได้สามารถเยียวยาหัวใจของเราไปเอง จนถึงวันที่เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับตัวเอกของเรื่องที่มีทั้งช่วงเวลาที่หดหู่ และการก้าวเดินต่อไปได้ในที่สุด และนอกจากเรื่องราวที่ต้องต่อสู้ภายใจจิตใจตัวเองแล้ว กำลังใจดีๆจากคนรอบข้างก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ทั้งจากเพื่อน พี่น้อง หรือคนรัก ล้วนแต่เติมพลังใจให้กับเหล่าผู้สูญเสียได้ไม่แพ้กัน
นอกจากเรื่องราวของ KITCHEN แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่องสั้น นั่นก็คือ Moonlight Shadow ที่พูดถึงการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตและการก้าวผ่านความเศร้าเช่นกัน
“ฉันอยากจะมีความสุข อยากใส่ใจกับทรายทองเพียงหยิบมือเดียวที่อยู่ในกำมือให้มากกว่าความโศกเศร้าตรงก้นแม่น้ำที่ถูกพัดพาหลากไหลให้ไม่หยุดยั้งมาเนิ่นนาน และฉันก็ปรารถนาให้ทึกคนที่ฉันรักต่างก็มีความสุขด้วยเช่นกัน”
หนังสือเล่มนี้จึงเข้ากันได้ดีกับผู้ที่กำลังสูญเสีย ผ่านการสูญเสียและเตือนถึงสิ่งที่ต้องยอมรับสำหรับอนาคตที่การสูญเสียจะต้องมาเยือนอย่างแน่นอนได้เป็นอย่างดี เป็นหนังสือที่เรียบง่ายแต่ทว่าดีงามจนอยากให้ได้ลองอ่านกันค่ะ
หนังสือ : KITCHEN คิตเช่น
ผู้เขียน : Banana Yoshimoto
ผู้แปล : อิศเรศ ทองปัสโณว์
สำนักพิมพ์ : แซลมอน
เรื่องแนะนำ :
– สายกาแฟต้องโดน! กับ 4 แบรนด์เมล็ดกาแฟจากญี่ปุ่น
– ENEN แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ยั่งยืนที่เน้นคุณภาพและราคา!
– เอาใจคนรักเลโก้ด้วยชุดต่อปราสาทฮิเมจิและสวนเซนแบบญี่ปุ่น
– เพลิดเพลินไปกับเหล่าโมเดลอาหารจาก GANSO SAMPLE
– ชวนอ่าน : GYAKU SOCRATES โสกราตีส สลับขั้ว
#ชวนอ่าน : KITCHEN… หนังสือที่ไม่ถึงกับเศร้ามากแต่ก็ไม่สุขเกินของผู้สูญเสียและส่งต่อกำลังใจในการก้าวเดินต่อในชีวิต