โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง
“ความทรงจำและคำอำลา” บ๊ายบาย หอพักนักเรียนนานาชาติคันไซ
…ซากุระที่กำลังเบ่งบานบอกเราให้รู้และเตรียมใจ
ได้ยินเสียงระฆังกังวานลอยมาจากข้างกายที่ใดสักแห่ง
คืออิสระและความกล้าหาญ ที่มอบให้พวกเรา
ได้เดินต่อไป ในวันพรุ่งนี้…
เอ้า จั่วหัวมาซะขนาดนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมานึกครึ้มมาร้องเพลงของ BNK48 หรอกนะครับ อันที่จริงผมก็ไม่ได้อินกับวัฒนธรรมไอดอลอะไรพวกนี้เลยด้วยซ้ำ (กัดฟันพูด) แต่ที่จั่วหัวมาแบบนี้ ก็เพราะจะเปิดภาพดอกซากุระแห่งปี 2004 ที่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาชมดอกซากุระบานในย่านแถบหอพักนักเรียนนานาชาติคันไซ ไปจนถึงสวนสาธารณะเซ็นริมินามิ ว่ามันน่าดูชมแค่ไหน


อะแฮ่ม ชมภาพดอกซากุระกันอิ่มอกอิ่มใจกันแล้วใช่ไหมครับ ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องการอำลา คือการลาจากหอพักนักเรียนนานาชาติคันไซ อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่า ค่าเช่าถูกแต่มีความไม่สะดวกสบายตรงที่
- ห้องน้ำรวม คาดหวังเรื่องความสะอาดไม่ได้
- รำคาญกลิ่นบุหรี่ เสียงดังจากห้องข้างๆ มาก
- ยังไงก็อยู่ได้แค่สองปี แต่ผมต้องเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นสามปี ถ้าต้องหาห้องอยู่ใหม่ ต้องลงทุนเสียเงินพวกค่าแปะเจี๊ยะต่างๆ แล้วก็ลงทุนเสียตอนนี้ดีกว่า พอคิดแบบนี้ปั๊บเลยพอขึ้นเทอมใหม่ก็ตัดสินใจหาหอนอกอยู่
ทีนี้การไปเช่าข้างนอกอยู่ แน่นอนค่าเช่าต้องแพงกว่าอยู่หอพักนักเรียนนานาชาติแน่ๆ แต่ผมก็คิดบวกว่า ต้องหาจุดให้คุ้ม มี trade-off ได้เสีย ก็เลยว่าจะหาห้องเช่าใกล้ๆ มหาลัยเอาแบบเดินไปเรียนได้เลย ก็เท่ากับไม่ต้องเสียค่ารถ (ผมนั่งรถไฟจากมินามิเซ็นริไปเรียนถึงจะใช้ตั๋วเดือนก็จริงแต่ก็ต้องนั่งรถเมล์อีกต่ออยู่ดี) เดินขึ้นเขาไปเรียนลูกเดียว
ในการหาห้องอยู่ ผมได้ใช้บริการนายหน้าหาห้องเช่าที่ร้านค้าสหกรณ์ Shanti ในมหาลัยนี่แหละ หลังจากถูกเจ้าของห้องเช่าที่หนึ่งปฏิเสธเพราะรังเกียจนักเรียนต่างชาติ (เพราะเคยเข็ดกับคนจีน สรุปคนจีนไปอยู่ที่ไหนเป็นที่รังเกียจทุกที่ไป แล้วทำให้คนที่ไม่ใช่คนจีนอย่างผมพลอยลำบากไปด้วย)
ผมก็ได้เจอกับเจ้าของห้องเช่าที่ใจดี ไม่รังเกียจนักเรียนต่างชาติ (เพราะเคยเจอนักเรียนต่างชาติเวียดนามนิสัยดี) และสภาพห้องก็ดี มีห้องน้ำ อ่างอาบน้ำเล็กๆ ในตัว น้ำอุ่นพร้อม (ต่อท่อแก๊สจากบริษัทแก๊ส จ่ายเองรายเดือน) มีอ่างล้างจาน ตู้เสื้อผ้าบิลด์อิน ข้างนอกมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ค่าเช่าห้องสี่หมื่นเยน เรย์คิน 礼金 (เงินกินเปล่า) หนึ่งแสนเยน จะรออะไรครับ เอาเลยสิครับ พอผมบอกเอา นายหน้าดีใจมากมาย
ห้องเช่าอพาร์ทเมนต์ที่ว่านี้ก็คือ CASA DEL SOLE “บ้านพระอาทิตย์” ของคุณป้าเซ็ทสึโกะ นั่นเอง
มาชมบรรยากาศที่น่าคิดถึงของอพาร์ทเมนต์คุณป้ากันดีกว่า
อพาร์ทเมนต์คุณป้าที่ขนาดกระจุ๋มกระจิ๋ม สามชั้น ชั้นละสามหรือสี่ห้องหว่า อยู่ติดกับนาข้าว เม็ดข้าวญี่ปุ่น ป้อมๆ สั้นๆ น่ารักดี ข้าวญี่ปุ่นกินแล้วอิ่มกินแล้วอ้วนมากมาย
เดินออกมานอกถนน ย่านนี้เรียกว่า อะโอมะดะนินิชิ 粟生間谷西 คืออะโอมะดะนิ “ตะวันตก” ที่อยู่ของมหาลัยคือ อะโอมะดะนิฮิงาชิ 粟生間谷東 คืออะโอมะดะนิ “ตะวันออก”
สภาพภายในห้องพัก มีตู้เสื้อผ้าบิลด์อิน โต๊ะนั่งท่างานคอม เก้าอี้ เจ้าของห้องเช่า (ลุงกับป้า) หามาให้ ได้มาจากโรงงานรีไซเคิลของอำเภอนั่นล่ะครับ เจ้าตุ๊กตาแฮมทาโร่ก็มาจากโรงงานรีไซเคิลเช่นกัน ญี่ปุ่นนี่การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมเขาดี ขยะมีที่จัดเก็บเป็นห้องหับหน้าอพาร์ทเมนต์ มีเทศบาลมาเก็บตรงเวลา ห้องผมอยู่ชั้นล่างสุด บางคนว่าไม่ดี แต่ผมไม่ถือ บางวันนั่งๆ นอนๆ ได้ยินเสียงเด็ก (ญี่ปุ่น) วิ่งเล่นกันก็เพลินๆ ดี
ลุงกับป้าถามจะเอาเตียงไหม (ซึ่งถ้าผมเอาก็คงหาจากโรงงานรีไซเคิลได้) แต่ผมไม่เอา ซื้อฟูกมาปูนอนกับพื้นเอาง่ายกว่า ตื่นมาก็เก็บใส่ตู้ บนโต๊ะทำงานคอมจะเห็นว่ามีเครื่องโทรศัพท์ ผมเช่าเบอร์จาก NTT เอาไว้ใช้ยามจำเป็น (ผมไม่ใช้มือถือเลย) มีดิกชันนารีสองสามเล่ม มีต่วยตูนด้วย (ฮา) ผมตอนนั้นชอบอ่านต่วยตูนนะ เคยส่งเรื่องไปอยากจะลงด้วยแต่เขาไม่ลงให้ (เศร้า) แต่ไม่เป็นไร ชั่วโมงนี้มาลงกับ marumura แทนละ ได้เป็นนักเขียนแล้วจ้า
ออกมาเดินดูถนนใหญ่อีกที เห็นหมู่ตึกบนยอดดอยนั่นไหม นั่นแหละ มหาลัยผมเอง เดินเท้าขึ้นไปเรียนโลด
เอาเป็นว่า ตอนนี้ผมมาอยู่ใกล้มหาลัยละ พูดง่ายๆ ก็คือผมย้ายอำเภอที่อยู่แล้วนะจากอำเภอซุยตะ กลายเป็นอำเภอมิโน่ 箕面市 ละ เป็นอำเภอสุดขอบเหนือของโอซาก้า ย่านอะโอะมะดานินิชินี่แทบจะเรียกว่า “ตีนดอย” ได้เลย
ตอนหน้าเรามาเที่ยวในอำเภอมิโน่กันดีกว่าครับ
เรื่องแนะนำ :
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (3) วิชาต่อสู้ของญี่ปุ่นที่คนไทยไม่ (น่าจะ) รู้จัก
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (2) พื้นฐานของวิชาดาบอิไอ
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (1) บูโดคังอำเภอซุยตะ
– วัดชิเทนโนจิ (อีกรอบ) กับเนื้อย่างเกาหลีย่านทสุรุฮาชิ 29 กุมภาพันธ์ 2004
– (เรื่องแทรก ด่วนพิเศษ) เมื่อผมได้พบกับ “มือดาบซามูไร” ในลานประลองยูยิตสู SIAM CUP BJJ 2020
#ความทรงจำและคำอำลา บ๊ายบาย หอพักนักเรียนนานาชาติคันไซ