สำหรับคนที่ไม่มั่นใจและไม่อยากโชว์ความแข็งแกร่งของชายไทยให้กับหนุ่มๆ แดนอาทิตย์อุทัยดู ก็ขอบอกว่า เราเอาผ้าขนหนูมาพันเอวไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ ข้อห้ามอย่างเดียวคืออย่าเอามันลงน้ำแค่นั้นแหละ
สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินคนพูดเกี่ยวกับญี่ปุ่นมากที่สุดก็คือเรื่องของการอาบน้ำรวม ที่ต่างคนก็สองจิตสองใจว่าถึงแม้จะอยากไปแค่ไหนแต่ก็อดเกิดความเขินอายไม่ได้ ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดเหมือนกันครับ และไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสไปในสถานที่แบบนี้ อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็เกิดขึ้น และขอบอกเลยว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิด! กลับกันมันกลายเป็นอีกหนึ่งความประทับใจในทริปที่ผ่านมาของผมเลยล่ะครับ

จริงๆ แล้วผมไม่ได้มีแพลนจะไปแช่ออนเซ็นหรืออะไรเลยครับ เรื่องคือเพื่อนเขาชวนไปเที่ยวบ้านที่แถวๆ สถานีอิจิกาวะโอโนะ อยู่จังหวัดชิบะ นั่งรถจากโตเกียวไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ด้วยความที่เราค่อนข้างเบื่อกับห้องเล็กๆใ นโตเกียว เลยตัดสินใจเดินทางไปต่างจังหวัดดูบ้างเพื่อได้เห็นบรรยากาศของห้องใหญ่ๆ และได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ใช่แบบเห็นแต่ในโรงเรียนซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่จัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานบริการเพียงอย่างเดียว
บอกไว้ก่อนว่าแต่แรกนั้นผมแค่อยากไปเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบรรยากาศ หาข้าวกินกับเพื่อนและพูดคุยกันตามประสาเท่านั้นครับ แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พอไปถึงบ้านปุ๊บ คุณพ่อคุณแม่ของเขาเอาผ้าชนหนูมาวางกองไว้ตรงห้อง และบอกว่า “เก็บของเลยนะ เดี๋ยวอีกสิบนาทีเราจะไปข้างนอกกัน” ตอนนั้นผมเองก็ออกอาการมึนงงครับ คือไม่รู้ว่าผ้าขนหนูนี้คืออะไร และจะออกเดินทางไปไหน ? และกว่าที่เพื่อนจะมาเฉลย ตัวผมก็อยู่บนรถเก๋งมุ่งหน้าสู่ออนเซ็นเสียแล้ว…

ออนเซ็นในชิบะจะต่างจากในโตเกียวครับ คือสถานที่จะใหญ่กว่าและไม่แอดอัดเท่า ตอนนี้คนจากโตเกียวเริ่มหันมาหาออนเซ็นในชิบะกันมากขึ้นครับเพราะเดินทางไม่นานแต่มีความแตกต่างกันกับในโตเกียวมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาหรือเรื่องขนาดของสถานที่ เวลาเราจะสอดส่องหาออนเซ็น ให้ลองดูป้ายสัญลักษณ์ครับ ส่วนใหญ่แล้วมันจะมีป้ายเป็นตัวฮิรางานะ yu (ゆ) ใหญ่ๆ เอาไว้ให้เรารู้กันว่านี่คือออนเซ็นนะ! อะไรแบบนี้ เราก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้เลย โดยเขาจะมีล็อคเกอร์สำหรับใส่รองเท้าให้บริการอย่างสะดวกสบาย และก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจจะหายครับ เพราะเขาจะทำเป็นสายรัดข้อมือได้เลย เราก็แค่เอากุญแจสวมเข้าใส่ข้อมือตลอดการใช้บริการก็พอแล้ว
จากนั้นก็จะแยกกันไปในหมวดชายหญิง ซึ่งข้างในก็จะมีล็อคเกอร์อีกที ซึ่งตรงนี้เอาไว้ใส่เสื้อผ้าล่ะครับ และตรงนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มให้ผมบอกกับตัวเองว่า “ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ” เพราะล็อคเกอร์ด้านในนี้จะเต็มไปด้วยผู้ชายที่เปลือยกายกันอย่างล่อนจ้อน แต่ละคนท่าทางสดใส เหมือนกับสดชื่นกันมาก ส่วนคนที่เพิ่งมาก็จะมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยแต่มีดวงตาเป็นประกาย ราวกับมั่นใจมากว่าออนเซ็นแห่งนี้จะทำให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเขาหายไป !!!

พอเข้าไปปุ๊บสิ่งแรกที่เราต้องทำคือชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนครับ เขาจะมีจุดให้เราเอาน้ำราดตัวทำความสะอาดก่อนจะเข้าไปที่บ่อรวม น้ำจะค่อนข้างอุ่นๆ หน่อย จากนั้นก็สามารถใช้บริการได้ตามอัธยาศัย
สระที่ผมไปนั้นเป็นบ่อธรรมชาติ แต่เขาก็ทำทางเดินลงเหมือนกับสระว่ายน้ำเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังเอาเหล็กมากั้นเป็นคอกๆ สำหรับช่วยในการจับรวมไปถึงแยกสัดส่วนให้ชัดเจนครับ สระที่ผมใช้ก็จะเป็นสระร้อนประมาณ 40 องศา, สระร้อน 45 องศา, สระเกลือ, สระสมุนไพร รวมไปถึงสระที่พ่นน้ำแรงมาก (ให้อารมณ์เหมือน…) ทั้งหมดต้องบอกว่าช่วยในการผ่อนคลายมากๆ ครับ น้ำอาจจะมองว่าร้อนไปนิดหนึ่งแต่เราอย่าเล่นตัวมากครับ คือถ้าเราแบบหย่อนๆ แล้วดีดตัวไปดีดตัวมา เราก็จะร้อนนาน แต่ถ้าเรากลั้นใจค่อยๆ หย่อนขาลงไป หย่อนตัวตามลงมา แล้วก็แช่อยู่อย่างนั้น แป๊บเดียวก็ปรับสภาพได้แล้วครับ เราต้องใช้ความเป็นสัตว์เลือดอุ่นให้เป็นประโยชน์ แค่นี้ก็รับรองได้ว่าการแช่ออนเซ็นจะประสบความสำเร็จครับ

สำหรับคนที่ไม่มั่นใจและไม่อยากโชว์ความแข็งแกร่งของชายไทยให้กับหนุ่มๆ แดนอาทิตย์อุทัยดู ก็ขอบอกว่า เราเอาผ้าขนหนูมาพันเอวไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ ข้อห้ามอย่างเดียวคืออย่าเอามันลงน้ำแค่นั้นแหละ ดังนั้นเราจะหย่อนขาแล้วค่อยๆ ไล่ผ้าขึ้นมาจนจังหวะสุดท้ายที่จุ่มน้ำไปก็สามารถทำได้เช่นกัน เสร็จแล้วคนญี่ปุ่นเขามักเอาผ้ามาโปะหัว มาเก็บไอความร้อนโปะหน้า อะไรก็ว่าไป เป็นการรีแลกซ์ของเขาครับ
สิ่งที่โหดที่สุดสำหรับผมก็คือซาวน่านั่นเองครับ คือใช่ว่าผมจะไม่เคยผ่านการเข้าห้องซาวน่ามาก่อน แต่ซาวน่าแบบเข้าไปเปลือยๆ และเป็นซาวน่าแบบเต็มไปด้วยสมุนไพรเนี่ย มันทั้งร้อนโคตรๆ และแสบตามากๆ (คือจะลืมตายังลำบาก) เราพยายามอดทนอยู่ได้ คิดว่าไม่นานเท่าไหร่เลย ก็ต้องรีบพุ่งตัวเองออกมาอย่างทุลักทุเล ในที่นี้มีกฎอยู่นิดหนึ่งครับ ปกติในห้องซาวน่าเนี่ยเขาจะทำเป็นเก้าอี้ให้แต่ละคนเลย แต่ด้านบนของเก้าอี้มันจะมีฝักบัวเอาไว้ อันนี้เอาไว้ทำความสะอาดหลังจากเราใช้บริการครับ คือพอเราคิดว่าอบซาวน่าไม่ไหวแล้ว อยากออกแล้ว เราก็ลุกขึ้นมาและเอาน้ำฉีดเก้าอี้ที่เรานั่ง เป็นการทำความสะอาดให้กับคนที่จะมาใช้บริการต่อไป ใจเขาใจเราครับ ห้ามลืมเด็ดขาดเลย
ตัวผมเองนั้นพยายามหลบมุมตลอดครับ หามุมที่น้ำมันกระเทือนๆ มีคลื่นแรงๆ เพื่อหวังว่ามันจะช่วยปกปิดอะไรได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เพื่อนผมกะตะโกนเรียกว่า “เห้ย นายยย มานี่ มานี่” … เราก็คงว่ามันมีอะไรหว่า สรุปว่าเขาให้ไปนั่งชิลอีกฝั่งนึงที่พอเงยหน้าแล้วจะมองเห็นพระจันทร์ครับ เขาบอกว่านี่คือคอนเซปต์ของการมาออนเซนเลยล่ะ การทำร่างกายให้สบาย การมองสิ่งที่อยู่ไกลตัวออกไปบ้าง การทำให้ตัวเองดูเล็กที่สุด ผ่อนคลายที่สุด กังวลน้อยที่สุด และออกจากออนเซ็นไปอย่างเบิกบาน ต้องบอกว่ามันก็ชิลอย่างที่เขาว่าจริงๆครับ เป็นการสงบจิตใจได้เลย ยิ่งจากการทำงานในเมืองหลวงแสนวุ่นวายอย่างโตเกียวแล้ว ไม่สงสัยเลยครับว่าทำไมออนเซ็นจึงเป็นสถานที่อีกแห่งที่คนนิยม

แต่ข้อแม้ที่สำคัญอย่างหนึ่งของออนเซ็นก็คือ คนมีรอยสักหรือเพนท์หรือลายบนลำตัว บางแห่งเขาจะไม่ให้เข้าครับ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันกับการเข้าโรงยิมหรือพื้นที่สาธารณะทั้งหลายด้วยนะครับ คนญี่ปุ่นบางคนที่มีรอยสักเขาจะพยายามหาทางแก้ด้วยการเอาผ้าพันแผลมาพันตรงรอยสัก ปกปิดกันไป แต่แน่นอนว่าเราก็เอาตรงนั้นจุ่มน้ำไม่ได้ ดังนั้นก็จะไม่สะดวกสบายเท่าไหร่และไม่ชิลสมกับการมาออนเซ็นครับ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ

การแช่ออนเซ็นนั้นอย่างที่บอกไปคือมันเป็นน้ำร้อนมากๆ คนญี่ปุ่นก็จะใช้วิธีการแช่น้ำร้อนแล้วออกมาเอาน้ำเย็นราดให้สบายตัวก่อนจะกลับเข้าไปแช่น้ำร้อนอีก ทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ครับ และเมื่อถึงจุดที่ตัวเองจะกลับแล้ว เขาก็จะมีส่วนของฝักบัวและเครื่องอาบน้ำให้ วางเรียงๆ กัน พร้อมกับกระจกและเก้าอี้นั่งตัวเตี้ยๆ แต่ละคนก็จะไปอาบน้ำเรียงๆ กันไป ยี่สิบสามสิบคน ก็สะดวกสบายดีครับ เหมือนกับเป็นการปิดฉากการ heal ตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ อ้อ! เขาจะมีพวกไดร์เป่าผม น้ำยาใส่ผมพวกนี้ให้ด้วยนะครับ เรียกว่าครบวงจรเลย ออกมานี่คือหลับสบายอย่างแรง
ดังนั้นถ้าถามผมแล้ว ผมมั่นใจว่าการมาลองออนเซ็นสักครั้งไม่ใช่เรื่องที่ต้องอายเลยครับ ไม่มีใครมาสนใจมองเราเลย ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนชีวิตประจำวัน เหมือนชีวิตปกติ ออนเซ็นครั้งแรกของผมเปลี่ยนจากความเขินอายและความกังวล กลายเป็นความประทับใจ และเป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณจะได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ นอกเหนือจากการอ่านหนังสือหรือเดินตามไกด์ทัวร์ ย้ำอีกครั้งว่าหากมีโอกาส ลองดูนะครับ ^^
หากใครมีประสบการณ์อยากจะแชร์หรือเข้ามาพูดคุยกัน ก็ติดต่อผมได้ทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii นะครับ ^^ ยินดีพูดคุยกับทุกคนครับ