เมืองท่าโออิตะ (Oita) เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของคิวชูตะวันออก อยู่ริมอ่าวเบปปุ ของจ. โออิตะ (Oita) ทำให้อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารทะเลสดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นฤดูของปลาอะหยิ และจากฤดูใบไม้ร่วงกระทั่งฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นฤดูของปลาซะบะ อีกทั้งปลาปักเป้าในฤดูหนาวก็มีมากเช่นกัน
จังหวัดโออิตะ (Oita Prefecture) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของภูมิภาคคิวชู หันออกทะเลที่อ่าวเบปปุ ใกล้คาบสมุทรคุนิซะคิ
ทางทิศเหนือเป็นภูเขาฮิโคซันคั่นพรมแดนติดต่อกับจังหวัดฟุคุโอกะ
ทางทิศตะวันตกเป็นภูเขาไฟอะโซะคั่นพรมแดนติดต่อกับจังหวัดคุมะโมะโตะ
ทางใต้เป็นภูเขาโซโบซัน และ ภูเขาคะตะมุคิยะมะคั่นพรมแดนติดต่อกับจังหวัดมิยะซะคิ
เมืองท่าโออิตะ (Oita) เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของคิวชูตะวันออก อยู่ริมอ่าวเบปปุทำให้อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารทะเลสดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นฤดูของปลาอะหยิ และจากฤดูใบไม้ร่วงกระทั่งฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นฤดูของปลาซะบะ อีกทั้งปลาปักเป้าในฤดูหนาวก็มีมากเช่นกัน
เมืองโออิตะเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น มีทั้งน้ำแร่ที่ดื่มได้และบำบัดโรคต่างๆ ทำเป็นบ่อน้ำพุร้อนสาธารณะ ให้บริการนักท่องเที่ยวกว่า 30 แห่ง ในเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองโออิตะ (The Oita Municipal Museum) ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ (Ueno Oka Koen) เป็นที่สะสมผลงานศิลปร่วมสมัยกว่า 1,000 ชิ้น อีกทั้งภาพวาดญี่ปุ่นของจิตรกรหลายท่าน อาทิ ท่าน Tatsuo Takayama และ ท่าน Heihachiro Fukuda ภาพวาดญี่ปุ่นส่วนมากที่ได้รับอิทธิพลมาจากสมัยราชวงศ์ซ้ง และถูกขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
การเดินทาง จากสถานี JR Oitaโดยรถบัสลงที่ Oita-Shi Bijutsukan ใช้เวลา 15 นาที จากนั้นเดินอีก 5นาที
นอกเมืองใกล้สถานีมะคิ ถัดไป ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งจังหวัด (Oita Kenritsu Geijutsu Kaikan) เป็นที่จัดแสดงงานศิลปร่วมสมัยของเหล่าจิตรกร อาทิ Chikuden Tanomura, Tatsuo Takayama และ Heihachiro Fukuda ผู้เกิดในชนชั้นพ่อค้าแห่งเมืองโออิตะ เมื่ออายุ 18 ปีได้รับแรงบันดาลใจในการเป็นจิตรกร จึงได้เดินทางไปเรียนที่เมืองเกียวโต และได้สร้างสรรการวาดรูปญี่ปุ่นแนวใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกจัดเป็นผลงานแต่ละวัยในช่วงชีวิตของท่าน จากวัยหนุ่มที่ได้วาดเป็นรูปแกะ ตอนวัย 40 ปีที่ได้วาดเป็นรูปหิมะ และตอนวัย 50 ปีได้วาดเป็นรูปน้ำพุร้อน
การเดินทาง จากสถานี JR Oitaโดยรถไฟสาย JR Nippo Line ลงที่สถานี Maki ใช้เวลา 5 นาที จากนั้น ใช้เวลา เดินไป ถึง พิพิธภัณฑ์ อีก 5 นาที
เมืองเบปปุ (Beppu) อยู่ทางภาคกลาง เป็นเมืองท่าริมอ่าวเบปปุ ที่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมคล้ายพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ทันสมัยกว่าที่อื่น เรียกชื่อว่า อุมิทะมะโกะ Umi Tamago ในสวนน้ำ Oita Marine Palace ที่มีทั้งนกเพนกวิน ปลาโลมา และสัตว์น้ำอื่นๆ มากมายเสมือนโลกแห่งทะเล
การเดินทาง จากสถานี JR Beppu โดยรถบัส Takasakiyama ใช้เวลา 10 นาที
เมืองนี้ยังเป็นแดนน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งมากที่สุดในญี่ปุ่น ในเมืองเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติหลายแห่ง อาทิ Beppu Hamawaki Kankaiji และ Kannawa รวมเรียกว่า แหล่งน้ำพุร้อน Beppu Hatto เป็นแหล่งเที่ยวชมน้ำแร่ธรรมชาติหลากสีโดดเด่นแปลกตาที่มีมากถึง 8 บ่อ เช่น บ่อโคลนร้อนสีเทาขาว บ่อน้ำแร่ Tatsumaki-Jikoku (Tornado Hell) บ่อน้ำแร่แดง (Blood Pond Hell) ที่มีแร่เหล็กปะปนอยู่มาก และ บ่อน้ำแร่สีน้ำเงิน (Umi Jigoku) ที่ปะปนด้วยแร่ธาตุกำมะถัน มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าไปเดินชมทุกวัน
การเดินทาง จากสถานี JR Oita โดยสายรถไฟ สาย JR Nippo ลงที่สถานี JR Beppu ใช้เวลา 15 นาที แล้วต่อรถเมล์ลงแวะตามบ่อต่างๆ ได้ โดยใช้บัตรรถเมล์เหมารายวัน
คาบสมุทรคุนิซะคิ (Kunisaki Hanto) อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโออิตะ เคยเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งพุทธศาสนา จึงมีสมบัติทางพุทธศาสนาแห่งชาติมาก ในปลายศตวรรษที่ 12 มีวัดมากกว่า 50 แห่งรวม ทั้งศาสนสถานต่างๆ กว่า 800 ที่เมืองอุสะ (Usa City) มีศาลเจ้าอุสะ(Usa Hachiman Jingu) ถูกสร้างขึ้นแบบ Hachiman Zukuri โดยออกแบบเป็น 2 วิหารคือวิหารนอก (Ge-in) ประกอบด้วยผนังขาวเสาแดงตัดแถบสีดำและสีทองจึงสวยเด่น เสมือนที่ประทับยามทิวาแห่งเทพเจ้าผู้ปกป้องเมืองหลวงและคุ้มครองราชสำนัก และ วิหารใน (Nai-in) เสมือนห้องบรรทมยามราตรี ศาลนี้ถูกจัดเป็นศาลเจ้าชั้นนำใน 4 หมื่นแห่งทั่วญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่เรียกชื่อลงท้ายด้วยคำว่า Hachiman Jingu และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการเชื่อมโยงพุทธศาสนากับลัทธิชินโต ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 8 มีผู้คนเลื่อมใสทั่วเกาะคิวชู ปัจจุบันผู้ศรัทธาเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ด้านการคมนาคมโดยสวัสดิภาพ
การเดินทาง จากสถานี JR Oitaโดยรถไฟด่วนสาย JR Nippo ลงที่สถานี JR Usa ใช้เวลา 30 นาที แล้วต่อรถบัสไปลงที่ป้าย Usa Hachimangu ใช้เวลา 15 นาที
นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ วัดโบราณฟุคิหยิ (Fukiji) ถูกสร้างในปี ค.ศ. 718 เป็นวิหารไม้ (Fukiji-Odo) ที่เก่าแก่ที่สุดในคิวชู ภายใน มีรูปไม้แกะสลักของเทพเจ้า Amida Nyorai และภาพวาดสีบนผนัง อีกทั้งรูปปั้นท้าวจัตุโลกบาลทั้ง 4 ในหอ Maki-Odo และรูปวาดเทพแห่งไฟ บริเวณรอบวัดเหมาะในการชมใบไม้แดงด้วย ทางขึ้นวัด เป็นเนินเขา Usa Fudoki no Oka และเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งจังหวัดโออิตะ (Oita Prefectural of History) ที่จัดแสดงหมู่พระพุทธรูปหินแกะสลักเรียกว่า Kumanomagai Butsu นักท่องเที่ยวจะได้รับความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวพุทธผู้ซึ่งได้นำศาสนาพุทธเข้ามาสู่ดินแดนนี้อีกด้วย
การเดินทาง จากสถานี JR Usa โดยรถบัส ลงที่ป้าย Fukiji ใช้เวลา 30 นาที แล้วเดินอีก 5 นาที
ถัดลงทางใต้ของคาบสมุทรคุนิซะคิ มีเมืองคิจึคิ (Kitsuki City) ทางตะวันออกของเป็นที่ตั้งของปราสาทคิจึคิ (Kitsuki Castle) ที่ถูกสร้างบนเนินที่ราบสูง 30 เมตร เมื่อปี ค.ศ. 1394 โดยเจ้าเมืองชื่อ Kitsuki Yorinao ได้รับการบูรณะเป็นปราสาท 3 ชั้นในปี ค.ศ. 1970 จากบนปราสาทสามารถเห็นทิวทิศน์รอบอ่าวโมริเอ ชั้นล่างมีการแสดงประวัติของปราสาท และมุมสำหรับทดลองสวมชุดนักรบซามุไรเมื่อ 200 ปีก่อนด้วย
การเดินทาง จากสถานี JR Oitoโดยรถไฟด่วนสาย JR Nippo ลงที่สถานี JR Kitsuki ใช้เวลา 25 นาที
เมืองยุฟุอิน (Yufuin) เป็นเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่ใสบริสุทธิ์ อยู่ทางตอนกลางของจังหวัด บนที่ราบลุ่มแม่น้ำโออิตะกะวะ ใกล้ที่ราบสูงคุจู (Kuju Plateau) เชิงเขายุฟุอินดะเคะ (Mt.Yufuin-dake) หรืออีกฉายาหนึ่งว่าภูเขาฟูจิแห่งเมืองบุนโกะ (Bungo Fuji) ด้วยทำเลที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสมบูรณ์ ของน้ำแร่ร้อนและเย็นที่ใสบริสุทธิ์ผุดขึ้นตามทุ่งนา และในทะเลสาบคิรินโคะ (Kirin-Ko) ที่อยู่ท้ายเมือง อีกทั้งสายหมอกยามเช้าเหนือทะเลสาบที่เป็นบรรยากาศสุดวิเศษ ไม่ไกลจากสถานียุฟุอิน มีที่แช่น้ำแร่สาธารณะSansuikan Onsen ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวได้สัมผัสน้ำแร่ใสไร้สี และบ่อน้ำแร่แบบกลางแจ้งMusoen Onsen ที่เห็นวิวเขายุฟุ หมู่บ้านยุฟุอินได้เคยผลิตสินค้าท้องถิ่นออกขายเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Isson Ippin แปลว่า 1 หมู่บ้าน 1 ผลิตภัณฑ์ ได้ถูกนำมาเป็นต้นแบบของ Otop (One Tumbon One Preduct) คือ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ของไทยในปัจจุบัน
การเดินทาง จากสถานี JR Oita โดยรถไฟสาย JR Yufuin Kougen ลงที่สถานี JRYufuin ใช้เวลา 50 นาที
เมืองอุสึคิ (Usuki City) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองโออิตะ มีปราสาท (Usuki Castle) ที่ถูกสร้างเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 โดยเจ้าเมืองชื่อ Sorin Otomo ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาท เป็นถนนสายประวัติศาสตร์ถูกสร้างเป็นกำแพงหินขาว ปูด้วยทางเดินหิน Nioza ทางเหนือของเมืองยังมี เมืองท่าซะชิอุ (Sashiu City) ที่เคยมีเรือของชาวดัชท์มาเทียบท่าเมื่อ 400 ปีก่อน นับเป็นการเปิดศักราชแห่งประวัติศาสตร์ทางการทูตและการค้ากับชาวตะวันตก
จากเมืองอุสึคิห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 4 ก.ม. เป็นเนินเขาขึ้นสู่ถ้ำหินที่มีพระพุทธรูปหิน (Magai Butsu) ที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่นมากกว่า 60 รูป ซึ่งถูกแกะสลักเรียงอยู่ตามนอกผนังถ้ำระหว่างศตวรรษที่ 12 – 14 ช่วงปลายยุคเฮอัน กระทั่งต้นยุคคะมะคุระ ได้รับการขี้นทะเบียนเป็นสมบัติแห่งแรกที่สุดในญี่ปุ่น
การเดินทาง จากสถานี JR Oita โดยรถไฟสาย JR Nippo ลงที่สถานี JR Usuki ใช้เวลา 30 นาที
เมืองทะเคตะ (Taketa City) อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโออิตะ มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์หลายที่ เช่น บ้านเรือนซามุไร ปราสาทโอคะ (Oka Castle) ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1185 แต่ปัจจุบันเหลือเพียง เสาหิน และหอคอยด้านตะวันตก จากเนินที่ตั้งปราสาทสามารถมองเห็นภูเขาไฟอะโซะ และ ภูเขาคุจู ทางขึ้นปราสาท ยังมีวัดเจ้าแม่กวนอิม (Kannonji) ทางเดินสู่วัดมีรูปหินแกะสลักของ16 อรหันต์ ตั้งเรียงรายสู่ทางเข้าวัด นับเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ น่าสนใจสำหรับชาวญี่ปุ่น จึงมีอีกฉายาหนึ่งว่า เกียวโตน้อย (Little Kyoto)
ในเมือง ยังมีหอประวัติศาสตร์ (Rekishi Shiryokan Historical Museum) ที่จัดแสดงรูปวาดของจิตรกรลือชื่อ Chikuden Tonomura (ค.ศ.1777 – 1835) และ มีบ่อน้ำแร่ที่สมบูรณ์ด้วยน้ำแร่บริสุทธิ์มาก
การเดินทาง จากสถานี JR Oita โดยรถไฟด่วนสาย JR Hohi ลงที่สถานี JR BungoTaketa ใช้เวลา 1.5 ช.ม.
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
http://www.visit-oita.jp/
www.japan-guide.com
www.asuka.ac.jp
http://english.beppu-navi.jp/item/191
http://blahblahbragship.wordpress.com