“เทศกาลโอบ้งระลึกถึงบรรพบุรุษ: กตัญญูแค่ไหนกำลังดีย์”
เดือนสิงหาคมเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น นอกจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว เสียงจั๊กจั่นเซ็งแซ่ เด็กๆ ที่พากันออกมาวิ่งเล่น ปิดตาตีแตงโม กินน้ำแข็งไส ไปทะเล ยังมีเทศกาลที่สำคัญมาก คือ เทศกาลโอบ้ง (お盆祭り)
เทศกาลนี้คนส่วนใหญ่จะลางานเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิด มีการทำพิธีต้อนรับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่เดินทางจากโลกภูมิกลับไปหาลูกหลานเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ พอครบกำหนดบรรพบุรุษจะต้องกลับไป แต่ละภูมิภาคจัดงานโอบ้งไม่พร้อมกัน ส่วนใหญ่มักจัดกันวันที่ 12 -16 สิงหาคมของทุกปี (เป็นสงกรานต์ของชาวญี่ปุ่นนั่นเอง) นับได้ว่าเทศกาลนี้เป็นการแสดงความกตัญญูระลึกถึงบรรพบุรุษที่เคยมีเลือดเนื้อ แม้จะไม่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังอยู่ในความทรงจำของลูกหลาน
เทศกาลโอบ้งเป็นการรวมญาติคนในครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันมานาน รักษาความสัมพันธ์ให้ยังคงอยู่ต่อ มีกิจกรรมทำร่วมกัน เช่น การจัดเตรียมอาหารสำหรับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ในแต่ละวันจะมีพิธีกรรมไม่ซ้ำกัน เริ่มจากการใช้แตงกวาและมะเขือม่วงทำเป็นรูปม้าวัว เรียกว่าโชเรียวอุมะ (精霊馬) เพื่อเป็นพาหนะให้บรรพบุรุษเดินทางมายังโลก เมื่อเริ่มวันโอบ้ง 13 สิงหาคมจะใช้กิ่งกัญชงจุดไฟ (迎え火) เป็นป้ายบอกทางให้บรรพบุรุษกลับมาบ้านได้ถูก หลังจากนั้นวันที่ 14-15 สิงหาคม ทุกคนในครอบครัวจะไปเคารพหลุมศพ ทำความสะอาด วางดอกไม้ จุดธูป เมื่อเสร็จพิธีจะมีการกินข้าวพูดคุยกัน โดยมีการระลึกถึงผู้ที่จากไป และสนทนาเรื่องราวทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เมื่อมีการพบต้องมีการลาจาก วันที่ 16 สิงหาคมจะมีการจุดไฟ (送り火) ให้ควันนำทางผู้ล่วงลับกลับไปอีกภพ ที่เกียวโตมีงานเทศกาล “โกะซันโอคุริบิ” (五山送り火) ไฮท์ไลต์เป็นการจุดไฟบนเขาให้เห็นเป็นรูปตัวอักษร 大 (ได) หรือรูปเสาประตูโทริอิ บางท้องที่มีประเพณี “โชโรนากาชิ” (精霊流し) ลอยโคมบนแม่น้ำเป็นการส่งวิญญาณกลับปรโลก ภาพที่เห็นเป็นความงามที่เจือความเศร้าเพราะต้องลาจาก แต่ปีหน้าจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
>> ความกตัญญูแบบคนญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นมีความเชื่อทัศนคติเรื่องความกตัญญูที่ต่างจากคนจีนและคนไทยพอสมควร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นไม่คาดหวังว่าลูกจะมาดูแลตนเองในยามชรา และไม่ต้องการเป็นภาระ ดังนั้นในช่วงที่ทำงานมีรายได้อยู่ พวกเขาจะเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อนำไปใช้จ่ายช่วงบั้นปลายชีวิตหรือไปอยู่บ้านพักคนชรา นอกจากนี้รัฐยังมีสวัสดิการต่าง ๆในการช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้เองโดยพึ่งพาลูกหลานให้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทอดทิ้งพ่อแม่ให้อยู่ตามลำพัง บางคนยังให้พ่อแม่อยู่ที่บ้านตัวเองและดูแลเต็มที่ แต่ถ้าบ้านไหนต้องทำงาน จะให้พ่อแม่ไปอยู่ที่บ้านพักคนชราแล้วไปเยี่ยมในวันหยุด
บางคนที่อ่านวิธีการดูแลผู้สูงอายุของคนญี่ปุ่นแล้วใช้กรอบความคิดแบบคนไทย/คนจีน อาจคิดว่า “ทำไมเป็นชนชาติที่อกตัญญูจัง” แต่จริง ๆ แล้ววัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นมีการปลูกฝังให้ระลึกถึงบุญคุณของทุกสิ่งอย่างที่ช่วยเราเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของ สถานที่ เช่น พิธีกรรมขอบคุณเข็มเย็บผ้า “ฮาริคุโย” (針供養) เป็นการนำเข็มเย็บผ้าที่ผ่านการใช้งานจนชำรุดปักลงบนวัตถุอ่อนนุ่ม เพื่อขอบคุณที่เข็มเย็บผ้าทำงานหนัก แม้จะไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว แต่เข็มสมควรได้รับการพักผ่อนบนวัตถุที่นุ่มสบาย
>> ความกตัญญูแบบตะวันออกที่ยึดหลักขงจื๊อ
แนวคิดแบบขงจื้อมีที่มาจากประเทศจีนส่งผลต่อทัศนคติความเชื่อของชาวตะวันออกอย่างมาก อย่างเรื่อง
ของ “ความกตัญญู” มีความเชื่อว่าเด็กต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาและตอบสนองความต้องการของพ่อแม่อย่างไม่มีข้อแม้ หากคนเรามีความกตัญญูจะกระตุ้นให้คนอยากทำงานและขยันพยายามมากขึ้นเพื่อให้พ่อแม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย หากใครยิ่งกตัญญูมากจะได้รับการยกย่องชื่นชมจากสังคม พ่อแม่จะได้ความดีความชอบไปด้วยว่าอบรมเลี้ยงลูกมาเป็นอย่างดี สรุปโดยรวม คือ ทุกคนในครอบครัวได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดี
อย่างสังคมไทยเองความเชื่อของคนรุ่นเก่ามีค่านิยมที่อยากให้ลูกหลานกตัญญูสูงมาก กลายเป็นทัศนคติว่า
“ความกตัญญู” (gratitude) เป็นคุณธรรมที่สูงส่งเหนือความคุณธรรม/ความดีอื่น ใครทำดีอะไรแต่ถ้าไม่กตัญญูก็ถือว่าเป็นคนชั่ว และใครทำชั่วอะไรแต่ถ้ากตัญญูก็กลายเป็นคนดี มีคนอธิบายสมมุติฐานที่ทำให้คนไทยคิดและเชื่อแบบนี้ว่า
1. อิทธิพลจากศาสนา: หลายศาสนาเน้นการให้เคารพเชื่อฟังและเลี้ยงดูตอบแทนบิดามารดาอย่างไม่มีข้อแม้ หากลูกไม่ทำตามจะเป็นคนชั่วที่ต้องตกนรก
2. สวัสดิการการดูแลประชาชนของรัฐ: รัฐที่ไม่ค่อยมีสวัสดิการในการดูแลประชาชน อย่างการดูแลผู้สูงอายุ ประชาชนต้องดูแลตัวเองเอาตัวรอดให้ได้ ดังนั้นเมื่อพ่อแม่แก่ตัวไปเราไม่สามารถหวังพึ่งรัฐให้ช่วยดูแลได้ จึงต้องมีการปลูกฝังให้ลูกหลานดูแลรับผิดชอบผู้สูงอายุ
3. เหตุผลอื่น: เช่น ความเชื่อว่าพ่อแม่เป็นเจ้าของชีวิต ลูกเป็นทรัพย์สินที่ต้องเชื่อฟัง ดังนั้นต้องทำตามทุกอย่าง
“ความกตัญญู” เป็นสิ่งที่ดี เมื่อมีใครทำดีกับเรา เราอยากตอบแทนด้วยความรู้สึกขอบคุณ การกตัญญูหรือการตอบแทนจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการช่วยเหลือค้ำจุนกัน ทำให้สังคมยังไปต่อได้ แต่ความกตัญญูมีข้อเสียเช่นกัน เช่น ในกรณีที่อีกฝ่ายเรียกร้องจะเอาสิ่งต่างๆมากจนเกินไป อาจนำไปสู่การตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีที่ผิดจริยธรรม, แม้อีกฝ่ายจะไม่เรียกร้องแต่ผู้ที่ต้องการจะแสดงความกตัญญูด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง อาจทำสิ่งที่ผิดแต่มีเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง “เพราะฉันเป็นคนกตัญญู ฉันจำเป็นต้องทำ” แล้วถือการ์ดนี้เป็นข้อแก้ตัวกับสิ่งแย่ๆที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไปเอารัดเอาเปรียบซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
นิยามความกตัญญูของแต่ละคนแตกต่างกัน สำหรับหมอ หมอคิดว่าการทำสิ่งที่เรียกว่าความกตัญญู บางครั้งเราอาจเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็อยากทำให้ สำคัญที่ต้องไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน ไม่เอาเปรียบใคร เช่น แพทย์ต้องไม่ทำผิดกฎเรื่องการฉีดวัคซีน Pfizer เข็ม 3 ที่มีเงื่อนไขชัดเจนว่าใครจะได้ฉีด แล้วใช้อภิสิทธิ์ที่ตัวเองมีอยู่เอาเปรียบบุคลากรทางการแพทย์และด่านหน้าที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ด้วยการนำคนในครอบครัวที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไขดังกล่าวมาฉีด แล้วมาหงายการ์ด “ลูกกตัญญู” นอกจากจะทำผิดกฎวินัยแล้วยังเป็นการสร้างตรรกะผิดๆให้กับคนอื่นต่อไปอีก อันนี้รับไม่ได้จริงๆ ค่ะ
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “โตเกียวโอลิมปิก 1964: ฟื้นคืนจากความสิ้นหวังไปสู่แสงอันเจิดจ้า”
– “การตัดสินใจจัดพิธีเปิดโตเกียวโอลิมปิก: หยุดแค่นี้หรือไปต่อดี”
– “ไคเซน: ทำงานอย่างฉลาดพาชาติเจริญ”
– “สูญสิ้นความเป็นคน: รอยยิ้มที่กลบเสียงร่ำไห้”
– “ภัยพิบัติ x PTSD: ญี่ปุ่นรับมือกันอย่างไร”
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#เทศกาลโอบ้งระลึกถึงบรรพบุรุษ: กตัญญูแค่ไหนกำลังดีย์