เอาจริง ๆ แล้ว จากประสบการณ์การไปดื่มกับคนญี่ปุ่นมาหลายครั้ง ผมมักจะพบว่าวันรุ่งขึ้น คนที่เราเคยคุยกันบนโต๊ะอาหาร ในวันรุ่งขึ้นเราก็ไม่ได้มีอะไรจะคุยกับเขาสักเท่าไร เงียบเหมือนเดิม ไม่ได้ช่วยเรื่องความสัมพันธ์อะไรสักอย่าง
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
อย่างที่ทราบกันดีว่าเวลาไปทำงานที่ญี่ปุ่น จะต้องมีการชวนไปกินเลี้ยงตอนเย็น
สำหรับคนที่มีระยะเวลาสั้น ๆ ไปทำงาน 1 สัปดาห์ ทำงานเลิกในวันธรรมดา เราก็อยากออกไปหลั่นล้า ดูบ้านเมืองประเทศเขา ช้อปปิ้ง ทั้งของของตัวเองหรือไม่ก็ต้องไปซื้อของตามลิสต์รายการที่คนฝากเราซื้อ
เวลาเป็นสิ่งจำกัด
แต่ทว่าเวลาที่เป็นทรัพยากรอันมีค่าของเรานั้นก็มักจะถูกพรากไปด้วยปัจจัยหนึ่ง
“ชวนไปดื่ม”
หลาย ๆ คนทราบกันดีว่าญี่ปุ่นมักจะชวนไปกินเลี้ยง เป็นการพบปะสังสรรค์ ทำความรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงาน เอาจริง ๆ แล้วมันมีบรรยากาศของ “การทำงาน” แฝงอยู่ มีคนเป็นหัวหน้า มีลูกน้อง ลูกน้องรินเบียร์ให้หัวหน้า คอยกำกับดูแลสั่งอาหารที่ขาดเหลือ
มีคนบอกว่าการดื่มนั้นเป็น Nominication มาจากคำว่า Communication + Nomu (แปลว่า “ดื่ม” ในภาษาญี่ปุ่น) ก็เป็น มุขตลก “ประจำ” อย่างหนึ่งที่ได้ยินมาหลายสิบครั้ง
เอาจริง ๆ แล้ว จากประสบการณ์การไปดื่มกับคนญี่ปุ่นมาหลายครั้ง ผมมักจะพบว่าวันรุ่งขึ้น คนที่เราเคยคุยกันบนโต๊ะอาหาร ในวันรุ่งขึ้นเราก็ไม่ได้มีอะไรจะคุยกับเขาสักเท่าไร เงียบเหมือนเดิม ไม่ได้ช่วยเรื่องความสัมพันธ์อะไรสักอย่าง ไม่ได้ช่วยเรื่อง Communication ตรงไหน เมื่อวานยังคุยกันเยอะ ๆ อยู่ดี ๆ มาวันนี้ก็เหมือนเป็นคนไม่รู้จักเช่นเดิม เป็นแบบนี้บ่อย ๆ จนเออชินแล้ว
เท่าที่คุยกับคนญี่ปุ่นมาหลาย ๆ คนก็รู้สึกว่าการไปดื่มกันหลังเลิกงานก็เป็นอะไรที่พวกเขาไม่ได้อยากไปเท่าใด แต่เหมือนที่เขาไป มันเป็นหน้าที่กลาย ๆ อย่างหนึ่ง เหมือนว่า “มีแขกมาก็ชวนไปกินสักหน่อย ไม่ชวนก็จะเสียน้ำใจ”
ตรงนี้ที่ผมก็มองว่าจะว่าดีก็ดี จะว่าดีก็ไม่ดี ตรงที่ไม่ดีก็คือ ผมว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยทำตามหัวใจตนเองสักเท่าไหร่ ต้องคอยทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมมาตลอด และอาจสร้างความกดดันให้ตนเองไม่รู้ตัว
ด้วยหลาย ๆ อย่างที่พบเจอกับตนเอง ผมเลยสรุปว่าการดื่มของคนญี่ปุ่นไม่ได้ช่วยให้เรา Communication กับคนญี่ปุ่นดีขึ้น หนำซ้ำยังทำให้เวลาอันมีค่าของเราหายไปอีก
เวลาของอีกฝ่ายก็ด้วยเช่นกัน การได้ดื่มเป็นแค่การทำความรู้จักอีกฝ่ายอย่างผิวเผิน เมื่อเทียบกับเวลาแล้ว ค่อนข้างจะไม่คุ้มค่าสักเท่าใด จริง ๆ แล้วเป็นเหมือนพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นการเข้าสังคมแบบหนึ่ง เป็นภาษีสังคมที่เราจ่ายไป เพื่อให้ค่ากินเลี้ยงนั้นเอาไปหมุนเวียนให้กับกลุ่มธุรกิจร้านอาหารซะมากกว่า
มาคิดกันจริง ๆ แล้ว การ Communication หรือว่าความไว้วางใจ การเชื่อใจในอีกฝ่ายนั้น น่าจะเกิดมาจากการบรรลุเป้าหมายในการทำงานอะไรสักอย่าง
มิใช่การดื่มเพียงสองสามชั่วโมงด้วยกัน
แหม่ ไม่ต้องคิดขนาดนั้นเราก็พอจะรู้ได้
โดยสรุปแล้วผมว่าเมื่อเทียบกับเวลา เราก็อาจจะตอบ “No” ต่อการดื่มบ้าง เราอาจจะมองการดื่มที่เป็นลักษณะพิธีกรรมที่มีคนทั้งแผนก และการดื่มที่เป็นไปในแนว Casual นิดนึง
การดื่มแบบพิธีกรรมนั้นก็ควรจะเข้าร่วมหน่อย แต่ก็ลองเทียบเคียงกับหัวใจของคุณดู การดื่มแบบ Casual ก็ชั่งใจดูว่าคุณรู้สึกสบายอกสบายใจที่จะไปดื่มไหม หรือว่าคุณอย่างลองก้าวไปใน “ดินแดนลึกลับบางอย่าง” เผื่อจะมีอะไรให้จดจำกลับไป
สำหรับประเทศญี่ปุ่นที่ต้องการจะทำธุรกิจให้เข้ากับนานาประเทศได้มากขึ้นนั้น ผมรู้สึกว่าพวกเขาต้องปรับความคิดต่อ “การดื่มหลังเลิกงาน” ตรงนี้
หลังเลิกงานก็ไปเจอคนกลุ่มอื่นบ้าง เจอครอบครัว เจอความคิดอะไรหลาย ๆ แบบ เผื่อมันจะได้เอาลับสมองพวกเราแต่หล่ะคน ให้ปิ๊งไอเดียอะไรใหม่ ๆ และทำให้ชีวิตดูมีสีสันบันเทิงและเราจะมีความสุขกับการทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นมากขึ้น
หรือเอาจริง ๆ แล้วมันก็อาจจะไม่ได้จำกัดในเฉพาะใน “บริษัทญี่ปุ่น” อย่างเดียวก็เป็นได้นะครับ
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
ทักทายพูดคุยกับ Wasu ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– การขว้างลูกเบสบอล : ครั้งแรกที่ได้เล่น รู้สึกยังไง
– เชื่อถือในอดีต เชื่อมั่นในอนาคต : คำว่า “เชื่อ” สองแบบของภาษาญี่ปุ่น
– ตัวอักษรเหล่านี้จำไปได้ไง : คันจิ [漢字]
– คุณจะทำงานไปจนถึงอายุเท่าไร?
– “โอกง” ว่ากันด้วยคำว่า สีทองเหลืองอร่ามและสัปดาห์ทอง
#ล่ามญี่ปุ่น