มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (1) บทนำ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าสู่กลางเดือนมกราคมกันแล้วนะครับ วันนี้ก็จะเป็นวันแรกที่ได้เขียนเรื่องของ “คัมภีร์ห้าห่วง” (五輪書 โกะรินโฉะ) ของมูซาชิ หลังจากที่ได้เกริ่นมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ท่านผู้อ่านครับ อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้วในตอนที่เขียนเรื่องของ “วิถีเดินเดี่ยว” (ด๊กโคโด 独行道) ว่า เราควรเรียนรู้ปรัชญาแนวคิดของมูซาชิ เรียนรู้จากคนที่เคยมีประสบการณ์มามากแล้วในเรื่องของการเอาชีวิตรอดในการต่อสู้ เพื่อที่เราจะได้สามารถเอาตัวรอด เอาชีวิตรอดได้ในยุคสมัยที่น่ากลัวเช่นนี้
ในปี 2564 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เราเหมือนถูกข่มขู่ให้หวาดกลัวโรคที่ชื่อว่า covid ส่วนมันจะน่ากลัวอย่างที่เขาพยายามให้เห็นเช่นนั้นจริงหรือไม่นั้น ก็ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณกันเองนะครับ ในปี 2565 นี้ ดูเหมือนว่าแนวโน้มของสิ่งต่างๆ จะเลวลง เพราะความแตกต่างทางความคิดมันกำลังจะนำไปสู่ความแตกแยก ระหว่างคนที่คิดว่าวัคซีนคือทางรอดเดียว กับคนที่เห็นว่าวัคซีนไม่ใช่ทางรอด ผมมองดูแล้วคิดว่าต่อไปความขัดแย้งต่างๆ จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเรานั้นอาจมีชีวิตเหมือนอยู่ในภาวะสงครามย่อมๆ เลยทีเดียว ฉะนั้นก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านรักษาสุขภาพกายและใจให้เข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ
วันนี้จะขอเริ่มต้นด้วยการนำเอาเนื้อความตามคัมภีร์ห้าห่วงฉบับคำโบราณ (原文 เก็มบุน) ซึ่งผมเอามาจากเว็บ koten.net ในการแปลเป็นภาษาไทยนั้นบางครั้งผมก็ใช้พจนานุกรมคำโบราณออนไลน์ของ Weblio ช่วยด้วยบ้าง โดยพยายามแปลเป็นภาษาไทยถอดแบบคำต่อคำให้ได้มากที่สุด
ไม่พูดเยอะแล้วครับ ขอเข้าสู่เนื้อหาเลยละกันนะครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
序 บทนำ
`兵法の道 `二天一流 `と号し数年鍛錬の事初て書物に書き顕はさんと思ふ
ข้าฯ ขอเรียกวิถีแห่งพิชัยสงครามนี้ว่า “นิเท็นอิจิริว” (二天一流) จากที่ได้ฝึกฝนมาหลายปี จึงได้คิดจะเขียนสำแดงไว้ให้เห็นเป็นครั้งแรก
`時に寛永二十年十月上旬の頃九州肥後の地巌殿山に上り天を拝し観音を礼し仏前に向ひ生国播磨の武士新免武蔵藤原玄信年つもりて六十
เวลานั้น ณ ตอนต้นเดือนสิบ ปีที่ยี่สิบแห่งศักราชคันเอย์ (ราวปี พ.ศ. 2188) ข้าฯ ได้ขึ้นไปยังเขาอิวาโดโนะ (巌殿山) แคว้นฮิโกะที่คิวชู (九州肥後) ไหว้ฟ้าบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมหันหน้าเข้าหาพระพุทธ ข้าฯ ชินเม็งมูซาชิฟุจิวาระฮารุโนบุ (新免武蔵藤原玄信) เป็นนักรบ แคว้นเกิดคือฮาริมะ (播磨) อายุได้หกสิบปี
`我若年のむかしより兵法の道に心をかけ十三歳にして初て勝負を為す `その相手新当流の有馬喜兵衛といふ `兵法者に打勝ち十六歳にして但馬国秋山といふ強力の兵法者に打ち勝ち二十一歳にして都に上り天下の兵法者に逢ひて数度の勝負を決すといへども勝利を得ずといふことなし `その後国々所々に至り諸流の兵法者に行逢ひ六十余度まで勝負すといへども一度もその利を失はず `その程年十三より二十八九までのことなり
ข้าฯ มีใจฝักใฝ่ในวิถีแห่งพิชัยสงครามมาแต่ก่อนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กแล้ว เมื่ออายุได้สิบสาม ได้สู้เอาแพ้ชนะเป็นครั้งแรก ชนะนักพิชัยสงครามผู้หนึ่ง คู่ต่อสู้ตอนนั้นชื่อว่า อะริมะ คิเฮย์ (有馬喜兵衛) แห่งสำนักชินโตริว (新当流) เมื่ออายุได้สิบหก ได้เอาชนะนักพิชัยสงครามผู้มีพลังแกร่งกล้าชื่อว่า อากิยามะแห่งแคว้นทะจิมะ (但馬国秋山) เมื่ออายุได้ยี่สิบเอ็ด ได้ขึ้นเมืองหลวง พบพานนักพิชัยสงครามในใต้หล้า ตัดสินแพ้ชนะมาหลายครั้งมิเคยมิได้รับชัยชนะ หลังจากนั้นก็ไปยังแคว้นต่างๆ ที่ต่างๆ ได้ไปพบพานนักพิชัยสงครามสายสำนักต่างๆ สู้เอาแพ้ชนะมาถึงหกสิบกว่าครั้ง ไม่เคยเสียชัยชนะแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องราว (ของข้าฯ) ตั้งแต่อายุสิบสามถึงยี่สิบแปดยี่สิบเก้าเป็นประมาณนั้น
`三十を越えて跡をおもひ見るに兵法至極して勝つにはあらず `おのづから道の器用ありて天理を離れざるが故か `又は他流の兵法不足なる所にや `その後猶も深き道理を得んと朝鍛夕錬して見ればおのづから兵法の道にあふこと我五十歳のころなり `それより以来は尋ね入るべき道なくして光陰をおくる
พออายุเลยสามสิบ ลองหวนคิดถึงความหลัง (จึงคิดได้ว่า) ที่ข้าฯ ชนะนั้น จะเพราะข้าฯ เป็นเลิศในทางพิชัยสงครามก็หาไม่ คงเป็นเพราะเผอิญมีทักษะในวิถีอยู่แล้วเอง และมิได้ออกห่างจากหลักการแห่งฟ้า อีกทั้งเป็นเพราะหลักพิชัยสงครามของสายสำนักอื่นมีจุดที่พร่องอยู่กระมัง หลังจากนั้นจึงได้ลองฝึกเช้าฝนเย็น ให้ได้มาซึ่งหลักการให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก กว่าจะได้พบกับวิถีพิชัยสงครามขึ้นมาเองนั้น ข้าฯ ก็อายุราวห้าสิบ จากนั้นเป็นต้นมาก็ผ่านวันเวลาโดยไม่มีวิถีใดให้ต้องเข้าไปเยือนอีก
`兵法の利にまかせて諸芸諸能の道となせば万事に於て我に師匠なし `今この書を作るといへども仏法儒道の古語をもからず軍記軍法の古きことをも用ゐずこの一流の見立実の心をあらはすこと天道と観世音とを鏡として十月十日の夜寅の一点に筆を把りて書き初るものなり
ข้าฯ เมื่อปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความดีของพิชัยสงครามไป เอามันมาใช้ต่างวิถีแห่งศิลปวิทยาทั้งปวงแล้ว ไม่ว่าในกิจอันใด ข้าฯ ก็ไม่ต้องมีอาจารย์ บัดนี้แม้ว่าข้าฯ จะแต่งหนังสือนี้ ข้าฯ ก็มิได้อาศัยคำโบราณจากพุทธหรือขงจื้อ มิได้ใช้เรื่องโบราณจากบันทึกพิชัยสงครามใด การสำแดงข้อวินิจฉัยใจจริงของสายสำนักนี้นั้น เอาหลักการแห่งฟ้ากับพระโพธิสัตว์กวนอิมมาเป็นกระจกเงา จับพู่กันเริ่มเขียนเมื่อตอนกลางคืนยามขาล (ราวตีสามถึงตีห้า) วันที่สิบเดือนสิบ
การตีความและอภิปราย
ความประทับใจแรกของผมที่อ่านย่อหน้าแรกก็คือ มูซาชินั้นเป็นคนที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านเรื่องวิถีเดินเดี่ยวซึ่งผมเคยเขียนไปเมื่อปีที่แล้วนั้นก็จะเห็นว่าในคำสอน 21 ข้อของมูซาชินั้น หลายข้อเห็นได้ชัดเจนเลยว่ามาจากหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา เช่นโภชเนมัตตัญญุตา มรณานุสติ การกระทำตนให้ห่างไกลจากกิเลส เป็นต้น ฉะนั้นผมเองพออ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็เชื่อว่าในคัมภีร์ห้าห่วงนั้นก็น่าจะแฝงหลักธรรมของพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยเช่นกัน
เรื่องที่สองก็คือเกี่ยวกับประวัติชีวิตในวัยหนุ่มของมูซาชิเองนั้น ถึงนี้มูซาชิจะพูดว่าตัวเองผ่านการดวลมาแล้ว 60 กว่าครั้ง ไม่เคยแพ้ใคร ซึ่งถ้าอ่านข้อความนี้ผิวเผินแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกว่ามูซาชินั้นเป็น “ฮีโร่” มีอะไรสักอย่างที่เหนือมนุษย์หรือเก่งเกินมนุษย์ ซึ่งการตีความในลักษณะโรแมนติกแบบนี้เนี่ยผมก็เข้าใจว่าหลายๆท่านที่รู้จักเรื่องราวของมูซาชิจากที่มีคนถ่ายทอดมาเป็นภาษาไทยนั้น ที่ผ่านมาส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดนั้นมักจะถ่ายทอดโดยเอา “นิยาย” ที่แต่งโดยโยชิคาวะ เอจิ มาเป็นพื้นทั้งสิ้น การจะเสพเรื่องราวของฮีโร่วีรบุรุษหรือคนที่เก่งเกินคนธรรมดานั้น ถ้าแค่เพื่อความบันเทิงละก็พอได้ แต่มันจะเป็นเรื่องแย่มากถ้าเราไปถือมันเป็นจริงเป็นจัง ไปถือเอาเรื่องแต่งกลายเป็นเรื่องจริงไปเสีย
ซึ่งในย่อหน้าต่อมานั้นตัวมุซาชิเองก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่า การที่เขาสามารถเอาชนะและเอาชีวิตรอด (เพราะถ้าไม่ชนะก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงอายุ 60 มานั่งเขียนคัมภีร์ให้คนอ่านได้) ได้นั้น ไม่ใช่เพราะเขาเก่งกาจหรือมีวิชาเป็นเลิศที่สุดแต่อย่างใด (ถ้าคิดอีกแง่ดีไม่ดีหลายคนที่เขาเอาชนะได้บางทีบางคนอาจจะเก่งกว่าเขาด้วยซ้ำ) แต่มุซาชิก็พูดว่าที่เขาเอาชนะได้นั้น คงเป็นเพราะว่าเขามีทักษะที่ “มันมีของมันเอง (ตามธรรมชาติ)” (ภาษาญี่ปุ่นต้นฉบับว่า おのづから=自ら โอโนซึคาระ)ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายผมคิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “สัญชาตญาณ” และ “แรงขับดัน” ที่จะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็คิดว่ามันมีอยู่ในตัวคนทุกคนนั่นแหละ เพียงแต่ว่า คนเรานั้น พอเราเกิดและเติบโตมาในสังคมโดยเฉพาะสังคมสมัยนี้ เราก็ถูกกระบวนการต่างๆ ทั้งครอบครัว โรงเรียน อะไรต่อมิอะไร กล่อมเกลาว่า ต้องทำอย่างนั้นถึงจะดี ต้องทำอย่างนี้ถึงจะถูก ตามครรลองของสังคม ตามกฎระเบียบ ตามหลักวิชา ตามทฤษฎี อะไรต่อมิอะไรมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เสียจนเราลืมสิ่งที่เป็นสัญชาตญาณเดิมๆ แท้ๆ ดิบๆ ในฐานะที่เราเป็น “สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง” ไปเสีย ยิ่งสมองของเราถูกครอบงำ ถูกยัดให้เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ หลักศีลธรรมจรรยา ข้อห้ามต่างๆ นานามากมายเท่าไหร่ ผมว่าเราก็จะยิ่งหลงลืมสัญชาตญาณเดิมของตัวเอง ลืมธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเอง (ซึ่งในที่นี้มูซาชิใช้คำว่า “หลักการแห่งฟ้า” 天理 เท็นริ พูดอีกอย่างก็คือกฎธรรมชาติธรรมดาของความเป็นไปในโลกนี่เอง) ถ้อยคำนี้ของมูซาชิมันสะกิดให้ผมระลึกอะไรขึ้นมาได้
…พอผมย้อนระลึกไปถึงการฝึกของตัวเองบนเบาะที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าละอายเหลือเกิน ที่ปล่อยให้หลักการและความนึกคิดเข้าครอบงำมากเกินไปจนบดบังธรรมชาติที่ตัวเองควรจะปล่อยออกมาไปเสีย…
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในตัวมูซาชิก็คือ หลังจากที่เขาได้คิดและสงสัยแล้ว เขาก็ไม่ได้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ เขาก็ฝึกฝนตนเองเพื่อที่จะได้ค้นพบอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ได้ใช้เวลาตั้งแต่อายุเลย 30 มาจนถึงอายุ 50 กว่าจะได้ค้นพบหลักการสำคัญที่ทำให้เขาสิ้นความสงสัยได้ เมื่อเขาตกผลึกความคิดแล้ว พอถึงจุดหนึ่งเขาจึงเขียนคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง ซึ่งเขาก็มีความชัดเจนในความคิดของตัวเองว่า ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาค้นพบด้วยตัวเอง เขาก็จะเขียนมันโดยใช้ภาษาหรือถ้อยคำของตัวเอง โดยไม่ต้องไปคิดยืมคำเก่าคำโบราณคำสอนเก่าๆ เพื่อสร้างเครดิตความน่าเชื่อถือหรือเพิ่มความขลังแต่อย่างใด
การเรียนรู้ที่จะฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถ ในแบบที่มิใช่การเอาสิ่งภายนอก หลักการ ทฤษฎี อันผิวเผินมาใส่ตัว แต่เป็นการเข้าไปค้นหา “ความสามารถ” ที่มีอยู่แล้วในตัวเราเอง (แต่เราถูกอะไรบางอย่างที่สังคมป้อนใส่หัวเรามา “บดบัง” มันจน “หลงลืม” มันไป) นั้น ผมคิดว่านี่แหละคือทางที่เราจะได้กลับไปเป็นคน กลับไปเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ เสียที (มิใช่หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรที่ถูกป้อนโปรแกรมให้ต้องคิดต้องทำไปทางเดียวกันหมด) การที่มูซาชิบอกว่าเขาได้เขียนคัมภีร์นี้ขึ้นมาโดยไม่อิงกับเรื่องราวหรือถ้อยคำโบราณนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า “เราต้องทำตัวให้บรรลุถึงการเป็นอิสระทางความคิด”
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือในต้นฉบับนั้นเขาใช้คำว่า “นักพิชัยสงคราม” (兵法者 เฮียวโฮฉะ) แทนที่จะใช้คำจำพวกว่า จอมยุทธ์ หรือ นักดาบ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ผมเดาว่า วิชาการต่อสู้ในความรับรู้ของคนยุคนั้นคือ “ศิลปะแห่งสงคราม” มันคือเรื่องของพิชัยสงคราม ซึ่งไม่ได้จำกัดมิติของการต่อสู้แค่ว่าใครแรงเยอะกว่า ตัวโตกว่า หรือเชี่ยวชาญเพลงอาวุธกระบวนท่ามากกว่าจึงจะเป็นผู้ชนะเท่านั้น มันมีมิติของการใช้แทคติก ลูกไม้ลูกเล่นทางจิตวิทยา การใช้สภาพแวดล้อมรอบตัวให้ตัวเองได้เปรียบ ที่เรียกรวมๆ ว่า “กลยุทธ์” เข้าไปด้วย ฉะนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านเลิกสนใจเรื่องโรแมนติคเพ้อฝันจำพวกจอมยุทธ์ที่สำเร็จวิชาลับมีพลังเหนือมนุษย์ โยนเรื่องพวกนี้ทิ้งจากหัวสมองไปเสีย แล้วหันมามองดูความเป็นจริงของคนเดินดินธรรมดาดีกว่าครับ เราควรจะเรียนรู้วิธีการที่เป็นคนที่ดีขึ้นเก่งขึ้นจากคนธรรมดาในชีวิตจริง ไม่ใช่ฝันอยากจะเก่งเหมือนพวกยอดมนุษย์ในนิยาย
วันนี้สำหรับการอภิปรายเนื้อหาของคัมภีร์ห้าห่วงก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ก่อน ก่อนจากกันผมแบบว่าอยากลงรูป “อาหารโอเซจิวีแกน” ของร้าน Aeeen (อาอีน) ที่ผมได้ไปกินมาเมื่อวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2565 เอาฤกษ์เอาชัยหลังจากการลงเบาะซ้อม bjj ครั้งแรกของปีตอนขึ้นปีใหม่ (ซึ่งคนที่มาซ้อมวันปีใหม่เห็นมีแต่ผู้สูงวัย คาดว่าหนุ่มๆ คงเมาหลับวันสิ้นปีกันหมด 555) ได้ซ้อมจนเหงื่อท่วมตัวแล้วมากินอาหารญี่ปุ่นวีแกนแบบนี้ช่างดีต่อจิตวิญญาณและร่างกายเสียจริงๆ นะครับ
น้ำเอนไซม์ละมุด อร่อยเปรี้ยวหวานชื่นใจ “เห็นผลทันตาภายในสามชั่วโมง”
เขายกเห็ดหอมกับคอนยัคคุต้มมาก่อนพร้อมครีมมันม่วง
โอโซนิ (ซุปใส่โมจิ) กินพอชื่นใจ จิ๋วๆ
ข้าวหุงถั่วแดง กินให้มีโชคมีชัย
จานหลักเป็นกับจิ๋วๆ หกอย่าง กินเอาเพลินๆ สวยงาม
แต่บอกตรงๆ นะ ผมกินไม่อิ่ม 55 เลยสั่งข้าวปั้น (โอะมุสุบิ) มากิน คราวนี้เอาเป็นโนริมาโย อร่อยเหมือนกัน แต่ผมชอบอุเมะมาโยมากกว่า ผมชอบบ๊วยญี่ปุ่น เปรี้ยวๆ สดชื่นทำให้เจริญอาหารดีนักแล
สัปดาห์หน้าจะขึ้น “คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน)” ละนะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (ตอนพิเศษ) เพื่อนของผม ดาบของผม และการไล่ตามความฝันในวิชาดาบอีกครั้งของเพื่อนผมในวัย 45 ปี!!!
– Free Talk ต้อนรับปีใหม่ 2565 จากใจคน Gen X ที่โตมากับยุค JAPAN BOOM!!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (12) ถึงทุกสิ่งล้วนเป็น “อนิจจัง” (มุโจ 無常) ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (11) ฝึกวิชาต่อสู้เพื่อ “ชีวิต” ฝึกสมาธิจิตเพื่อ “เตรียมตัวตาย”
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (10) “พลังลมปราณ” 気 (คิ) กับการจัดการกับความกลัว
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ: https://www.se-ed.com/
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (1) บทนำ